วิเศษ รังษีสิงห์พิพัฒน์
โน้ต-วิเศษ รังษีสิงห์พิพัฒน์ นอกจากจะเป็นหนึ่งในผู้บริหารกลุ่มบริษัท เรเซอร์การไฟฟ้า ประเทศไทย ธุรกิจหลักของครอบครัวแล้ว ในบทบาทล่าสุดเขายังเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เอชทูโฟล์ว (H2Flow) บริษัทที่ก่อตั้งร่วมกับเพื่อนรักอีกสองคน ซึ่งตอนนี้กำลังส่งผลิตภัณฑ์ Slin Drink เครื่องดื่มโลว์แคลอรี่นวัตกรรมใหม่จากประเทศญี่ปุ่นออกมาแชร์ส่วนแบ่งตลาด ธุรกิจเครื่องดื่มและคนรักสุขภาพ
มองหาโอกาส
“ผมเรียนจบปริญญาตรีสาขา BEng Mechanical Engineering ที่ University College London แล้วจึงเรียนต่อปริญญาโท MA in Business Management มหาวิทยาลัย Kingston ประเทศอังกฤษเช่นเดียวกัน เมื่อเรียนจบผมจึงเข้ามาช่วยครอบครัวดูแลธุรกิจเกี่ยวกับหลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่าง โดยเป็นผู้บริหารกลุ่มบริษัท เรเซอร์การไฟฟ้าฯ ร่วมกับพี่ชายอยู่หลายปี (น็อต-วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์) ด้วยการที่เราทำงานในบริษัทตัวเองมานาน ในปี พ.ศ.2556 ก็เลยอยากหาอะไรใหม่ ๆ ให้ชีวิต จึงตัดสินใจลงเรียน MBA ที่มหาวิทยาลัย Imperial College London ช่วงนั้นเรียนเป็น Part-Time ซึ่งจะบินไปเรียนเดือนละ 4-5 วัน ที่ลอนดอน โดยเรียนทั้งหมด 19 เดือน คือทั้งเรียนและทำงานไปด้วย จนกระทั่งจบ ก็หันมามองโอกาสตัวเองในการทำงานด้านอื่นบ้าง”
จุดเริ่มต้นของ H2Flow
“H2Flow เกิดขึ้นจากการที่ผมได้มีโอกาสได้ไปอบรมคอร์สบริหารของนักธุรกิจรุ่นใหม่ จึงได้รู้จักกับ ริศ-นริศ วิทยาวรากรณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยยินตัน และแพน-ปฏิญญา เทวอักษร ซึ่งผ่านการบริหารงานในตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงินและด้านกลยุทธ์ธุรกิจให้กับหลากหลายบริษัท เราคุยกันถูกคอจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน จึงเป็นที่มาของการตั้งบริษัทเอชทูโฟล์ว เพื่อทำธุรกิจใหม่ที่เราเพิ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ นั่นคือ เครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงค์แบรนด์ ‘สลินดริงค์’ (Slin drink) ครับเนื่องจากตอนนี้เทรนด์รักสุขภาพยังคงมาแรงพวกเราจึงมองเห็นช่องว่างทางการตลาดของเครื่องดื่มสุขภาพในประเทศไทย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียในการผลิตเครื่องดื่มแบรนด์นี้
“ต้องบอกว่าหุ้นส่วนของผมคือคุณนริศ ทำธุรกิจนำเข้าสินค้ากับทางญี่ปุ่นอยู่แล้ว เราได้ทราบถึงสารซึ่งสกัดมาจาก Rosa-Canina Extract สารตัวนี้สกัดมาจากห้องแล็ปในบริษัทที่เป็น Partner ของเราในประเทศญี่ปุ่น หน้าที่ของมันคือช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกายให้ดีขึ้น เราจึงได้ซื้อลิขสิทธิ์สารตัวนี้มา และเป็นผู้จำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วจึงตัดสินใจร่วมกันผลักดันให้เกิดผลิตภัณฑ์ ‘สลินดริงค์’ เป็นเครื่องดื่มประเภท Slimming Refreshment โดยกลุ่มลูกค้าของเราจะโฟกัสไปที่ผู้หญิงอายุ 18-40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนรักสุขภาพที่ดูแลตัวเอง และเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งมี 3 รสชาติคือ B-ern (บี-เอิร์น) รสเบอร์รี่, B-loc (บี-ล็อก) รสชาผสมกาแฟ และ B-tox (บี-ท็อกซ์) รสพรุนผสมน้ำองุ่นขาว ซึ่งแต่ละรสชาติก็มีฟังก์ชัน
แตกต่างกันไป สามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อได้เลยครับ”
มุมมองการบริหารงานแบบฉบับของโน้ต วิเศษ
“การบริหารธุรกิจครอบครัวนั้น เราซึมซับการบริหารจัดการมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ เพราะคุณพ่อพาเข้าไปในไลน์ผลิตของโรงงานตั้งแต่ 8-9 ขวบ เราได้ซึมซับมันมา เลยทำให้เวลาเรียนจบแล้วมาทำงาน ก็จะได้เจอกับสิ่งที่คุ้นเคย แต่พอมาเปิดบริษัทใหม่นี้ ทำให้ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อีกเยอะ เพราะเป็นด้านใหม่ในชีวิตก็ว่าได้ หน้าที่ผมหลัก ๆ คือดูแลด้านการตลาด ซึ่งตรงนี้สินค้าของผมคือเครื่องดื่ม ตลาดนี้การแข่งขันสูงมาก แต่ผมโชคดีที่มีที่ปรึกษาที่ดีมาก ๆ ทำให้การทำงานของผมนั้นเหมือนการเรียนรู้มากกว่าครับ นอกจากนี้ทีมงานที่เราเลือกมาร่วมงานเป็นคนรุ่นใหม่ และรุ่นนี้เราต้องเข้าใจพฤติกรรมของเขา ผมว่าคนรุ่นนี้ต้องการ Work Life Balance ฉะนั้นการทำงานในออฟฟิศนั้น ผมพยายามให้เป็น Positive Working Environment ครับ คือทำให้สภาพแวดล้อมเป็นเชิงบวกและต้องการให้พนักงานรักในการทำงาน
“ด้วยความที่เอชทูโฟล์วเป็นบริษัทเปิดใหม่ จึงมีอุปสรรคสำคัญในการทำงานอยู่บ้าง แต่เราก็มีวิธีการแก้ไขปัญหาโดยหาที่ปรึกษาที่เป็นซีเนียร์และมีความรู้ความเชี่ยวชาญมาให้คำปรึกษากับพนักงานในบริษัท เท่าที่ผ่านมาก็ค่อนข้างโอเค เพราะเขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และค่อย ๆ ปรับตัวได้ ช่วงเริ่มต้นบริษัทเราได้ระดมทีมงานให้ช่วยกันศึกษาตลาดเครื่องดื่มสุขภาพในเมืองไทย พร้อมทั้งศึกษาเกี่ยวกับโปรดักส์ที่ผลิตออกมาเป็นอย่างดี ซึ่งการทำรีเสิร์ชเหล่านี้น่าจะตอบโจทย์คนที่ดูแลสุขภาพและรักษารูปร่างได้ตรงจุด“หลักในการทำงานของผม ต้องการให้พนักงานรวมทั้งสิ่งแวดล้อมในบริษัทมีแต่พลังงานด้านบวก การบริหารงานของผมยังเป็นแบบสบาย ๆ ไม่กดดันพนักงานมากจนเกินไปครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นงานที่ออกมาก็ต้องได้คุณภาพด้วยนะครับ (หัวเราะ) เรียกว่าทั้งสนุกทั้งได้งาน อีกอย่างโดยส่วนตัวแล้วการทำงานของผมจะต้องบาลานซ์กับการใช้ชีวิตของผมด้วยเช่นกัน”
มุมมองด้านการตลาดเพื่อต่อยอดธุรกิจ
“การที่เราเพิ่งเปิดตัวโปรดักส์ใหม่ไปหมาด ๆ ทำให้ทีมงานและตัวผมต้องโฟกัสกับการทำการตลาดมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเราเพิ่งก้าวเข้ามาในธุรกิจเครื่องดื่ม นี่จึงเป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ผมคิดว่าในอนาคตข้างหน้า เราจะพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ มาให้คนไทย
ได้เห็นกันอีกแน่นอน ส่วนเคล็ดลับสำคัญในการทำการตลาดคือ ต้องทำให้ผู้คนรู้จักและเข้าใจว่าเครื่องดื่มแบรนด์ ‘สลินดริงค์’ คืออะไร ดีต่อผู้บริโภคอย่างไร ใช้วัตถุดิบพิเศษชนิดใดบ้าง เพราะจากการรีเสิร์ชพบว่า คนไทยที่รักสุขภาพยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้น
เพื่อสิ่งที่ดีกว่า อีกอย่างสิ่งสำคัญในการสื่อสารกับผู้คนก็คือต้องหาพรีเซนเตอร์ที่น่าเชื่อถือมาชักชวนให้คนสนใจในตัวสินค้า“พรีเซนเตอร์ของสลินดริงค์ คือ ปู-ไปรยา ลุนด์เบิร์ก ซึ่งเราเห็นว่าดูเหมาะกับตัวผลิตภัณฑ์มาก ๆ เพราะถ้าพูดถึงในการใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพควบคู่กันได้ดี คุณปูเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่ตอบโจทย์ในข้อนี้ เพราะเธอสามารถบาลานซ์การใช้ชีวิตและการทำงานของตัวเองได้เป็นอย่างดี เมื่อถึงเวลาทำงานเธอก็ทำเต็มที่ และเมื่อถึงเวลาดูแลรูปร่างเธอก็ดูแลเต็มที่เช่นกัน มีความเป็นธรรมชาติเหมือนกับโปรดักส์ของเรา เธอจึงเป็นพรีเซนเตอร์ที่เหมาะสมที่สุดซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อแบรนด์ด้วยเช่นกัน”
ไฮโซหนุ่มเนื้อหอม
“จริง ๆ ก็อยู่ที่สื่อจะพูดกันไปยังไงมากกว่า เพราะว่าสำหรับตัวผมแล้วผมไม่เคยมองว่าตัวเองเป็นคนดัง เป็นดารา หรือเป็นไฮโซอะไรอยู่แล้ว สื่อค่อนข้างที่จะเลือกนำเสนอในแง่มุมทางด้านนั้นมากกว่า เพราะถ้าหากว่าตัดเรื่องของการที่ผมมีข่าวกับนักแสดงคนนั้นคนนี้ ผมว่ามันก็เป็นเรื่องปกติของคนธรรมดาทั่วไปนะ แต่ถ้าหากว่าเรามองกลับกันจากที่สื่อนำเสนอออกมา ก็จะได้ข้อมูลอีกด้านที่ว่าผมค่อนข้างที่จะเลือกคบคน แล้วก็คบใครแต่ละคนค่อนข้างนาน สื่อที่นำเสนอออกมามันมีสองด้านเสมออยู่ที่เราเลือกจะมองยังไงมากกว่าครับ แล้วการที่คนอื่นมองว่าเป็นไฮโซ เป็นเพลย์บอย มันก็ทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลไกของสื่อในประเทศไทยว่าเค้าทำงานกันยังไง ฉะนั้นแล้วเราต้องใช้วิจารณญาณในการเสพสื่อตรงนี้ด้วย เพราะว่าตัวผมเองจะเลือกไม่ให้ข่าวต่าง ๆ ส่งผลกระทบกับการทำงาน หรือว่าการดำเนินชีวิตประจำวัน บางครั้งข่าวที่ออกมาไม่จริง เราก็ปล่อยไป ไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรน อย่าให้สิ่งที่คนอื่นพูดกันมา มีผลกระทบกับสิ่งที่จำเป็นต้องทำในแต่ละวันก็พอแล้วครับ”
ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน
“ผมทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน ซึ่งก็ถือว่าปกติ เพราะผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าประสบการณ์อยู่ในที่ทำงานก็จริง แต่ความรู้ใหม่ ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่นอกออฟฟิศ ดังนั้นจึงต้องออกไปหาความรู้ใหม่ ๆ และไปพบปะสังสรรค์กับผู้คนเพื่อสร้างคอนเนคชั่นอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการสร้างมิตรในเชิงธุรกิจให้กับตัวเราได้อย่างดี หลังเลิกงานสิ่งที่ผมชอบก็คือการหาของอร่อยกินหรือดื่มสังสรรค์กับเพื่อน ๆ บ้าง เพื่อพูดคุยกันในเรื่องธุรกิจเสียส่วนใหญ่ สำหรับการออกกำลังกาย ส่วนมากผมจะชอบไปวิ่งที่สวนสาธารณะ เพราะจะได้เห็นธรรมชาติและได้บรรยากาศที่ดีมากกว่าการไปวิ่งบนเครื่องวิ่งในฟิตเนส ส่วนในวันหยุดถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ ผมจะชอบพักผ่อนอยู่บ้าน หรือถ้าเป็นทริปท่องเที่ยวผมชอบไปดำน้ำ เพราะการดำน้ำจะทำให้เราได้ตัดขาดจากโลก ได้พักผ่อนสมองของเรา
อย่างเต็มที่และยังได้อยู่กับสิ่งที่มันธรรมชาติที่สุด ไม่ต้องเจอหรือคิดอะไรเลยครับ เหมือนได้ไปเติมพลังให้ตัวเองทั้งร่างกายและรีสตาร์ทสมองของเรา คือผมจะหาสถานที่ใหม่ ๆ ให้เราได้ไปเห็นอยู่ตลอดเวลาครับ”
กับช่วงเวลาที่ผ่านมามีวิธีรับมืออย่างไร
“อย่างที่ทราบกันคือทางเรามีการวางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในช่วงเวลาประมาณตุลาคม-พฤศจิกายน แต่ทว่าประเทศไทยขณะนั้นได้เกิดเหตุการณ์มหาวิปโยคอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ทำให้แผนงานทั้งหมดที่เตรียมไว้จำเป็นจะต้องชะลอและเลื่อนออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนดครับ เพราะมันคงเป็นการไม่เหมาะสมแน่ถ้าหากเราจะดึงดันให้มันเกิดขึ้นต่อไป ที่สำคัญก็คือ ณ ช่วงเวลานั้นผมก็ไม่สามารถที่จะดำเนินงานต่อไปได้จริง ๆ ผมตกใจและกังวลมาก ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นจะได้รับทราบข่าวทางโซเชี่ยลบ้าง แต่ก็พยายามไม่เชื่อจนได้เห็นประกาศจากทางสำนักพระราชวัง ด้วยความอาลัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ผมก็ได้มีโอกาสเข้าไปกราบพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เห็นคนไทยมารวมตัวกันถวายความจงรักภักดีและรำลึกถึงท่าน ไม่ว่าจะเป็นมาร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีหรือมาร่วมแจกอาหารแก่คนไทยด้วยกันเต็มบริเวณท้องสนามหลวง ทำให้ผมตระหนักว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงสามารถทำให้ความรักแสดงออกมาเป็นรูปธรรมได้ ให้คนสัมผัสถึงความรักได้ว่าเป็นยังไง ยิ่งใหญ่และมีอานุภาพมากเพียงใดครับ”
ความรู้สึกที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
“ผมเชื่อว่าคนไทยทุกคนคงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน พระองค์ทรงทำเพื่อคนไทยมาตลอดชีวิต จนไม่สามารถบรรยายได้หมด ณ ตอนนี้แค่อยากให้พวกเราทุกคนสานต่อ และประพฤติปฏิบัติตามแนวทางที่พระองค์สอนเราไว้ สำหรับผมได้แรงบันดาลใจจากพระองค์ท่านที่นำมาปรับใช้กับตัวเองเสมอมาคือ ความเพียรและพอเพียง เป็นพระราชดำรัสที่สอนคนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าจะยากดีมีจน หากเรามีความมุ่งมั่น ขยัน พยายาม ย่อมสำเร็จได้ในสักวัน อย่างผมทำธุรกิจ ความมุ่งมั่นเป็นสิ่งสำคัญ กอปรกับการรู้จักตนเอง การอยู่กับปัจจุบัน รวมถึงกำลังความสามารถที่เรารับมือได้ เพื่อนำพาธุรกิจของเราสู่จุดที่เราตั้งใจไว้ผมว่ามันดีที่สุด หนึ่งในพระราชดำรัสของพระองค์ที่เป็นข้อคิดในการใช้ชีวิตคงเป็นคำที่ท่านตรัสว่า ‘ทำตัวให้สบายอย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้ว อะไร ๆ ก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก’ ผมว่าทุกปัญหาที่เกิดขึ้นถ้าเราคิดบวก ปัญหามันจะถูกมองในอีกแบบหนึ่งทันที ขึ้นอยู่กับมุมมองครับ”