Suicide Squad
หลังจากที่ Suicide Squad เข้าฉายตามโรงภาพยนตร์ทั่วไป ทั้งแฟนพันธ์ุแท้และขาจรของตัวร้ายแห่งสายพันธุ์ DC ก็คงจะได้ชมความวายป่วงของทีมพลีชีพมหาวายร้ายนี้กันไปแล้ว ในขณะที่ตัวหนังได้ถูกวิพากย์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนบนโลกโซเชียล สิ่งที่ทางค่ายหนังซุกไว้ก็ค่อย ๆ เผยออกมาทีละน้อย
พูดถึงตัวหนังจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้นหรอก ดูเอาเพลิน ๆ สนุกสนาน ได้แง่คิด หรือถ้าใครจะเข้ามาเสพดนตรีเพราะ ๆ ก็ไม่น่าผิดหวังอะไร เพียงแต่ประเด็นที่ผู้ชมกล่าวถึงกันมากที่สุดกลับไม่ใช่ตัวหนัง แต่เป็นการที่ตัวผู้ชมสังเกตได้ว่าหลายฉากในตัวอย่างถูกตัดหายไป ซึ่งก็สอดคล้องกับทางทีมงานที่ออกมายอมรับกันหน้าตาสลดว่าถูกทางผู้สร้างสั่งให้ปรับไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านค่ายหนังกันยกใหญ่ ลองมาดูกันว่าอะไรในหนังที่ถูกดัดแปลงไปบ้าง
อย่างแรกเลยก็คือช่วงเปิดเรื่องที่ค่อนข้างยืดเยื้อและเสียเวลา การที่เปิดเรื่องด้วยการแนะนำตัวมันก็ไม่ใช่อะไรที่แย่ ตามแบบแพทเทิร์นหนังแบบทั่วไป แต่การที่นำเสนอซ้ำ ๆ แบบวนไปวนมามันก็ไม่ใช่เรื่องดี เอาจริง ๆ ก็คือมันน่าเบื่อมากนะ ถ้าตัดช่วงแรกออกไปสักสิบห้านาที แล้วเปิดด้วยตัวละคร อแมนด้า วอลเลอร์ เอาแฟ้มไปนั่งคุยกับบรรดาผู้พันที่ร้านอาหาร แล้วค่อยเฟดตัดย้อนเล่าที่มาของแต่ละตัวละคร แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ยืดเยื้อเสียเวลาอีกด้วย ซึ่งถ้าใครอ่านบทสัมภาษณ์หลังจากหนังเข้าฉายแล้ว คงจะมีความเห็นอกเห็นใจ David Ayer เป็นอย่างมาก เพราะว่าตัวเขาได้ออกมาเปิดเผยว่าทางสตูดิโอสั่งให้เขาตัดหนังออกมาทั้งหมด 7 เวอร์ชั่นด้วยกัน แล้วเวอร์ชั่นไหนที่เราได้ชมกันล่ะ?
สิ่งที่ดูจะเป็นปัญหาอีกอย่างก็ดูจะเป็นเรื่องการเกลี่ยบท หลายครั้งก็รู้สึกว่าตัวละครบางตัวไม่มีที่มาที่ไปเลย ถูกยกมาลอย ๆ ในเมื่อมีแฟลชแบคใช้แล้วทำไมถึงไม่ตัดให้เป็นการแนะนำตัวแบบเล่าย้อนไปเลยล่ะ ตัวละครทุกตัวในทีม Suicide Squad ก็ไม่ใช่ตัวร้ายตัวประกอบทั่วไป อย่างตัวละคร Killer Croc แบคกราวน์ประวัติน่าสงสารมาก และมันจะสื่อไปถึงฉากในบาร์ที่พี่เข้พูดถึงรูปลักษณ์ของตนเองในเชิงภูมิใจ ทั้งที่ตัวเขาถูกมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดมาตลอดนับตั้งแต่ลืมตาดูโลก หรือแม้กระทั่งเทพเจ้าเชือก Slipknot ที่ถึงแม้จะโผล่มาเป็นตัวแถมฉากเดียวตาย ก็ควรจะสาธยายความเก่ง ความชั่วของเขาหน่อย ว่าไปทำอะไรมาถึงติดคุก อีกอย่างคือพาร์ทตอนจบกับภาพของชีวิตแต่ละคนที่เปลี่ยนไป ตัวละครบางตัวกลับถูกลืมไปสิ้น น่าเสียดายจริง ๆ
เรื่องต่อมานี้คงจะเกิดขึ้นเฉพาะสำหรับคนที่อ่านคอมมิคมาก่อน สำหรับคนที่ไม่ได้รู้พื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักนักปั่น (สมอง) อย่าง Joker และ Harley เชื่อขนมกินได้เลยว่าจะต้องมองเห็นทั้งคู่เป็นคู่รักที่อินเลิฟ และผูกพันต่อกันอย่างยิ่งยวด
เนื่องจากว่าเรื่องราวในหนังค่อนข้างที่จะสื่อไปในทางนั้นค่อนข้างมาก แต่ถ้าว่าตามความเป็นจริงแล้วความสัมพันธ์ของทั้งคู่คือการที่ ตัวโจ๊กเกอร์เห็น Harley เป็นแค่ของเล่น และการที่ถ้าของเล่นจะทำให้เดือดร้อนเขาก็จะเป็นคนฝังมันด้วยมือตัวเอง เพราะฉะนั้นเหตุผลที่โจ๊กเกอร์มาช่วย Harley ก็คือการที่เขาจะสามารถแน่ใจได้ว่า Harley จะตายแน่ ๆ ด้วยน้ำมือของเขา
ซึ่งมันเกือบจะดีแล้วถ้าตอนที่ผลัก Harley ตกเครื่องบิน เป็นการ “ฆ่า” ไม่ใช่การ “ช่วย” มันจะสมเหตุสมผลของคู่นี้ที่สุด มันจะช่วยขับเรื่อง “มิตรภาพ” ในฉากไคลแมกซ์ได้อีกโขเลย ว่าทำไม Harley ถึงเลือก “เพื่อน” มากกว่าที่จะปล่อยให้ความต้องการของตัวเองครอบงำ เพราะว่าตัวเธอเองนั้น “ถูกทิ้ง” รวมถึงเป็นเหตุผลที่ดีในการที่ตัวเองอุตส่าห์รอดไปแล้ว กลับย้อนมาสู่ทีมที่เธอทิ้งไปอีกครั้ง ซึ่งด้วยคาแรกเตอร์ของเธอแล้วนั้น ที่ยืนของเธอที่เดียวคืออยู่ข้างมิสเตอร์ J ในเมื่อ Joker ปฏิเสธการมีอยู่ของเธอ ที่สุดท้ายที่เธอจะกลับไปจึงมีเพียงแค่ทีม Suicide เท่านั้น และตอนจบที่ Joker ยังอุตส่าห์ดั้นด้นมาช่วยถึงในคุก บอกตรง ๆ เลยว่า “น่าผิดหวัง” เพราะมันเป็นชนวนให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่มากขึ้นไปอีก
และการที่ตัวหนังพยายามพูดถึงความสัมพันธ์ที่เรียกว่า “มิตรภาพ” มันเลยกลายเป็นการย้อนแย้งในตัวเองอย่างมาก ทำให้ประเด็นที่หนังต้องการจะสื่อถูกทำให้คลาดเคลื่อนไป ซึ่งสาเหตุหลักก็คงหนีไม่พ้นเหตุผลจากทางสตูดิโอผู้สร้าง ที่ต้องการลดเรต
ของหนังให้มาอยู่ที่ PG-13 ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงได้มากขึ้น ในขณะที่ตัวของผู้กำกับเองอยากให้หนังเป็นเรต R ด้วยซ้ำ เนื่องจากความรุนแรงทั้งหลายที่ปรากฏในหนัง และเชื่อด้วยว่าหากทางค่ายหนังไม่เข้ามาจัดการ Suicide Squad คงจะเป็นหนังที่น่าจดจำมากกว่านี้
เหมือนเช่นที่เคยทำกับ Batman V Superman: Dawn Of Justice นี่ดูทรงแล้วน่าจะวางจำหน่ายแผ่นในเวอร์ชัน Director Cut ออกมาแน่นอน ตัวอย่างดี ๆ อย่าง Deadpool ทำไมไม่เอาเป็นแบบ ไปเดินตามรอย BvS ให้เสียคนทำไมก็ไม่รู้ อย่างน้อยหนังเรื่องนึงมันจะดีหรือไม่ก็ตามแต่ คนที่ตัดสินใจน่าจะเป็นผู้ชมมากว่าทางสตูดิโอผู้สร้าง นี่คืออีกหนึ่งปัญหาที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ถ้าหากว่าผู้กำกับยังถูกแทรกแซงด้วยอำนาจของคนออกเงิน อนาคตคงมีคนทำหนังอินดี้กันเยอะขึ้นแหละ คือเข้าใจนะว่าทำเพื่อผลกำไร แต่บางอย่างก็ปล่อยให้ธรรมชาติดีกว่ามั้ย อย่างไรก็ตามคนดูหนังตาดำ ๆ อย่างพวกเรานี่แหละต้องรับกรรมต่อไป
Film Info
ผู้กำกับ : David Ayer
ประเภท : Action, Adventure, Comedy
สัญชาติ : USA
ความยาว : 123 นาที
Ratings : 8/10