เอิร์ธ ศัลย์ อิทธิสุขนันท์

เอิร์ธ ศัลย์ อิทธิสุขนันท์

‘เอิร์ธ ศัลย์ อิทธิสุขนันท์’ เป็นคนหนึ่งที่อยู่วงการบันเทิงในบทบาทของพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการแถวหน้าของเมืองไทยมาหลายสิบปี จุดนี้เองแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานการทำงานที่คงเส้นคงวา ไม่ว่าจะมีรายการหรือการจัดงานในลักษณะใดเขาจึงเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ เสมอ

คุณเอิร์ท เริ่มต้นเข้าวงการบันเทิงจากการถ่ายแบบลงปกหนังสือ แล้วขยับเข้ามาในสายของพิธีกรให้กับรายการชื่อดังมากมายอาทิ เป็นวีเจรายการทางแชนแนล วี ไทยแลนด์, เกมจารชน, สตาร์สเตจ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีงานละครให้ร่วมเล่นบ้าง แต่สิ่งที่ถนัดที่สุดก็เห็นจะเป็นแนวพิธีหรือผู้ดำเนินรายการนั่นเอง

“ผู้ประกาศ พิธีกร และผู้ดำเนินรายการ ความจริงแล้วถ้าแยกให้ละเอียดจะทำหน้าที่ต่างกัน ผู้ประกาศจะต้องสำรวมเคร่งครึม พิธีกรอาจทำคนเดียว ผู้ดำเนินรายการก็อาจจะทำตั้งแต่ต้นจนจบโดยที่ต้องใช้ปฏิภาณไหวพริบ ซึ่งผมผ่านมาหมด แต่โดยส่วนมากจะมีเรื่องที่ต้องแก้ปัญหามาโดยตลอด ซึ่งโชคดีที่เราเคยทำรายการสดมาก่อน ซึ่งรายการสดเราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเฉพาะหน้าบ้าง ทำให้มีประสบการณ์พอสมควรเวลาออกไปทำงานอีเว้นท์

“การทำอาชีพพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการมันต้องมีองค์ประกอบสองด้านคือพรสวรรค์และพรแสวง ผมเริ่มทำงานในช่วงแรกจะเริ่มในรายการเฉพาะกลุ่มอย่างการเป็นวีเจ ซึ่งแนวทางของผมจะทำงานด้วยสไตล์ความร่าเริงพอเป็นแบบนี้ก็จะทำให้ไม่ตลกมากหรือเป็นทางการเกินไป ทำให้เป็นที่มาของการทำงานได้หลากหลาย ซึ่งคนจัดงานเขาเลือกผมเพราะคาแรกเตอร์ในแบบที่ผมเป็น

แต่การทำงานไม่ใช่มีแต่ความราบเรียบเสมอไป ความผิดพลาดในงานก็มีให้เห็นตลอดเวลาทั้งที่มาจากในตัวพิธีกรหรือทางผู้จัดงาน ซึ่งคุณเอิร์ธบอกว่าเป็นเรื่องปกติ แต่อย่าเอาความผิดพลาดมาทำให้เสียความมั่นใจต้องจำเอาไว้เป็นประสบการณ์และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไป

“ความผิดพลาดของผมเองก็มีครับ เช่นในงานหนึ่งต้องมีการพูดชื่อขอบคุณธนาคาร แต่ผมพูดชื่อธนาคารผิดโดยไม่รู้ตัวซึ่งชื่อมันคล้ายกันมาก พอลงเวทีผมนึกขึ้นได้ก็ไปบอกกับเจ้าของงานว่าไม่รับค่าตัวก็ได้นะ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร แบบนี้ผิดพลาดกันได้ เรื่องแบบนี้บางทีต้องปล่อยไปเพราะถ้ายิ่งแก้ยิ่งไปตอกย้ำมันก็ใหญ่มากขึ้น

“ส่วนอีกงานหนึ่งมันเป็นงานใหญ่ระดับประเทศมีวงออเครสตร้าและโขน มาแสดง ตามกำหนดการณ์ผมต้องขึ้นไปกล่าวเปิดบนเวทีตามลำดับขั้นตอน เริ่มงานด้วยเพลงอินโทรที่ยาวมาก พอใกล้จบผมเดินขึ้นบนเวที กำลังพูด แต่ผิดคิวโขนออกมาเล่นเลย ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็โค้งคำนับแล้วก็ลงมาจากเวที คือถ้าเราเบรกแล้วไปพูดมันก็ยิ่งไม่เป็นปกติ ซึ่งข้างหน้าเวทีอาจดูไม่ออกแต่ข้างหลังเวทีวิ่งกันวุ่น เพราะหลังจากโขนเล่นเสร็จจะต้องมีนักร้องขึ้นมาแสดงต่อ ซึ่งนักร้องทั้งหมดยังกินข้าวไม่เสร็จ สุดท้ายแล้วมันก็จบลงด้วยดีแต่งานนั้นก็สนุกมากในความวุ่นวาย”

ส่วนเรื่องการทำงานด้านพิธีกรผู้ดำเนินรายการมาอย่างยาวนานนี้เอง ทำให้ คุณเอิร์ธเห็นถึงความแตกต่างจากสมัยก่อนที่มักทำงานกันอย่างเคร่งครึม แต่ปัจจุบันมีความเป็นทางการน้อยลง สนุกสนานมากขึ้น ตรงนี้เองสะท้อนให้เห็นถึงสังคมที่เปลี่ยนไปด้วย

“เมื่อก่อนคนที่จะเป็นผู้ประกาศหรือพิธีกรต้องมีการเรียนอบรมมีใบประกาศแต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เพราะสมัยนี้มีสื่อออนไลน์มากขึ้น ใครอยากเป็นพิธีกรก็สามารถทำ Live สดเองได้เลย แล้วคอยดูผลตอบรับจากยอดการติดตาม คอมเม้นท์จากคนใกล้ตัวว่าออกมาเป็นอย่างไร  

“สำหรับคนที่อยากจะเป็นพิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการควรจะเริ่มตั้งแต่ตัวเอง โดยใช้ความชอบและความรักให้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน และถามตัวเองว่าเป็นคนที่พูดรู้เรื่องหรือเปล่า ซึ่งไม่ได้หมายความอักขระไม่ชัดเจน แต่อาจเป็นคนเล่าเรื่องแล้วงง หลักการตามทฤษฎีการเรียงเรื่องมันมีอยู่ แต่ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จของพิธีกร ซึ่งมันต้องมีแขกรับเชิญ มีเหตุการณ์สภาพแวดล้อมที่คาดการณ์ไม่ได้มันต้องใช้ทักษะแล้วต้องฝึกให้หนัก”

นอกจากงานพิธีกรแล้วเขายังมีธุรกิจที่ทำมานานแล้วนั่นคือร้านชั้นขนมหวาน โดยจุดเริ่มต้นของการทำร้านชั้นขนมหวานนี้มาจากที่คุณเอิร์ธเป็นคนชอบทานขนมหวานมากทำให้มีแนวคิดจะเปิดร้านขนมหวานของตัวเอง หลังจากนั้นจึงลงมือทดลองทำสูตรขนมของตัวเองขึ้นมา แม้ในช่วงแรกต้องทำการทดลองเสียหายไปเยอะ แต่สุดท้ายแล้วก็ได้ขนมหวานที่อร่อยในรสชาติกลมกล่อมตามที่ตัวเองต้องการ 

“รสชาติขนมของที่ร้านจะทำขนมไม่หวานมาก มันมาจากโจทย์ที่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของผมป่วยเป็นเบาหวาน จึงได้ทำขนมออกมาให้มีน้ำตาลน้อยที่คนป่วยสามารถกินได้ด้วย ต่อมาผมเคยไปออกร้านในงานหนึ่งแล้วเห็นความแปลกใหม่เกี่ยวกับขนมหวาน 
จึงคิดว่าทำไมขนมไทยต้องอยู่ในใบตอง จึงค่อย ๆ คิดดัดแปลงแพ็คเกจที่สวยงามทำออกมาให้มันเป็นกล่องเป็นถ้วยเพื่อเพิ่มมูลค่า จุดเด่นของร้านเราตอนนี้คือขนมไทยใส่ไอเดีย

“ชุดที่ขายดีของร้านจะเป็นชุดกระเช้ามีตะโก้ หยกมณี พวกนี้จะทำเป็นขนมถ้วยเล็ก เอามาพลิกแพลงให้น่ากิน ใส่แพ็คเกจสวยงามคล้ายขนมของญี่ปุ่น แต่สิ่งเดียวที่เราทำไม่ได้เหมือนเขาก็คือเรื่องของการเก็บไว้นานเพราะขนมไทยจะเสียง่าย จึงต้องขายของสด โดยร้านเราจะไม่ใส่สารกันบูดกันราลูกค้าประจำก็จะเข้าใจเหตุผลนี้ ในอนาคตผมก็อยากต่อยอดทำร้านกาแฟที่มีจำหน่ายขนมหวานไทยร่วมด้วย แต่ด้วยภารกิจงานของผมยังเยอะอยู่ถ้ามีเวลาเมื่อไหร่หวังว่าคงจะได้เห็นกันครับ” 

ประสบการณ์สอนทุกสิ่ง