The Legend of
ในวันที่ 3 เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นับว่าเป็นเดือนแห่งความเศร้าอีกเดือนหนึ่งที่จะได้รับการจารึกลงไปในหน้าประวัติศาสตร์ของโลก ด้วยมีข่าวเศร้าของการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ของนักมวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 ที่มีชื่อเสียงต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน ทั่วทั้งโลกต่างร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของเขา ใช่แล้วครับผมกำลังพูดถึงการจากไปของ Muhammad Ali อดีตแชมป์มวยโลกรุ่นยักษ์ 3 สมัยที่จากโลกนี้ไปด้วยวัย 74 ปี และแน่นอนครับใน Legend ฉบับนี้ผมจะมาบอกเล่าถึงเรื่องราวของชายผู้เป็นตำนานคนนี้กัน The Black Superman , Muhammad Ali
เรื่องราวชีวประวัติของ Muhammad Ali นั้นล้วนได้รับการตีแผ่สู่สังคม อาทิเกิดวันที่ 17 มกราคม 1942 ชกมวยเป็นแชมป์ เป็นนักกีฬาจอมโว เรียกตัวเองว่า The World Greatest เป็นเจ้าของวลีเด็ด “โบยบินเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง” (Float like a Butterfly, Sting Like a Bee) และเรื่องราวอื่น ๆ อีกมาก แต่เชื่อหรือไม่ครับเรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องราวทั่ว ๆ ไป แต่ยังมีเรื่องราวอีกหลาย ๆ อย่างที่เขาเป็นผู้กระทำขึ้นและสร้างอิทธิพลต่อสังคมหรือคนรอบข้างเป็นอย่างมาก โดยหลาย ๆ การกระทำของเขานั้นล้วนมีเรื่องราวของความรู้สึกและหลักเหตุผลเข้ามาเกี่ยวข้อง และ Muhammad Ali นั้นถือได้ว่าเป็นคนที่เชื่อในเรื่องของความถูกต้อง เรื่องของศักดิ์ศรี และมีความมั่นใจเป็นที่สุด วันนี้ผมจึงอยากขอนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ ในหลาย ๆ มุมซึ่งมีทั้งที่คุณรู้แล้วและมีทั้งที่คุณยังไม่รู้ โดยผมจะนำเสนอเป็น Timeline ให้อ่านกันอย่างง่าย ๆ ลองติดตามรับชมกันดูนะครับ
1. เรื่องราวแรกของเขาเกิดขึ้นเมื่อตอน Muhammad Ali อายุเพียง 18 ปี ซึ่งในขณะนั้นเขายังใช้ชื่อว่า เคสเซียส มาเซลลัส เคลย์ จูเนียร์ (Cassius Marcellus Clay Jr.) หรือที่พวกเรานิยมเรียกสั้น ๆ ว่า เคสเซียส เคลย์ (Cassius Clay) ในขณะนั้นตรงกับปี 1960 เป็นช่วงปีที่ยากลำบากของคนผิวสีในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากมีการเหยียดสีผิวอย่างรุนแรง มีการแบ่งแยกโรงเรียน แบ่งแยกทีมกีฬา รวมไปถึงร้านค้า ระหว่างคนผิวสีหรือคนผิวขาว ในปีนั้นอาลีได้เป็นตัวแทนทีมชาติสหรัฐอเมริกา ไปลงแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศอิตาลี และได้เหรียญทองกลับมาในการแข่งขันชกมวยรุ่นไลท์เฮฟวี่เวท เขาเดินทางกลับมายังบ้านเกิดของเขาที่ Louisville รัฐเคนตักกี้ เขาได้ไปที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งเพื่อที่จะทำการเลี้ยงฉลอง แต่ได้รับการปฏิเสธ เนื่องจากกฎของทางร้านที่จะไม่ให้บริการแก่คนผิวสี เป็นเหตุให้เขาโมโหเป็นอย่างมาก เลยตอบโต้โดยการถอดเหรียญทองโอลิมปิกที่ห้อยคอไปด้วยออกมาและเขวี้ยงลงไปที่แม่น้ำโอไฮโอเพื่อเป็นการประท้วงต่อการเหยียดสีผิว ซึ่งต่อมาภายหลังทางคณะกรรมการโอลิมปิกสากลได้มอบเหรียญรางวัลใหม่เพื่อเป็นเกียรติให้แก่เขา เรื่องราวนี้เป็นที่ฮือฮาเป็นอย่างมาก และได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เปิดกว้างทางสังคมมากขึ้น
2. ต่อมาอาลีได้ครองเข็มขัดแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทโดยชิงได้จาก ซอนนี่ ลิสตัน แชมป์ในเวลานั้น จนกระทั่งปี 1966 ได้เกิดเหตุสงครามเวียดนามขึ้น อาลี ได้มีหมายเรียกให้ไปรับใช้ชาติไปเป็นทหารในการรบครั้งนี้ด้วย แต่เขาได้ปฏิเสธการไปรบในครั้งนี้ แต่เหตุผลของเขาไม่ใช่เป็นเพราะเหตุของความขลาดกลัวต่อชีวิตที่อาจสูญเสียในการไปรบที่เวียดนามในครั้งนี้ แต่เขาได้ให้เหตุผลที่เป็นประโยคอมตะว่า “ผมไม่เคยมีเรื่องราวอะไรกับพวกเวียดกง” (I ain’t got no quarrel with them Viet Cong) ซึ่งนั่นได้ทำให้เขาถูกดำเนินคดีในข้อหาหลีกเลี่ยงทหาร ผู้พิพากษา ได้ตัดสินให้เขาได้รับโทษสูงสุดคือจำคุก 5 ปี และปรับเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ และยังถูกสั่งห้ามชกมวย เป็นเหตุให้เขาถูกยึดตำแหน่งแชมป์ ซึ่งภายหลังเขาได้อุทธรณ์และได้รับการยกฟ้อง นับเป็นเวลา 3 ปี ที่เขาไม่ได้ชกมวยซึ่งเป็นช่วงที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก เพราะมีการกล่าวว่าช่วงเวลานั้นนับเป็นช่วงที่ฟอร์มของอาลีสดที่สุดและเขาสามารถหารายได้มหาศาลในการชกป้องกันตำแหน่ง แต่อย่างไรก็ตามไม่มีคำว่าเสียใจในการกระทำครั้งนี้จากเขา และจากการปฏิเสธการไปรบในครั้งนี้ได้ไปจุดประกายให้ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ที่ยังลังเลที่จะต่อต้านนโยบายของรัฐบาลขณะนั้น ได้แสดงแนวความต่อต้านสงครามของตนออกมาเป็นครั้งแรกอีกด้วย
3. ในปี 1967 หลังจากที่เขาปฏิเสธที่จะไปร่วมรบในสงครามเวียดนามนั้น อาลีได้ทำให้โลกตะลึงอีกครั้งด้วยการเปลี่ยนศาสนาจากศาสนาคริสต์ไปนับถือศาสนาอิสลาม เปลี่ยนชื่อจาก เคสเซียส เคลย์ (Cassius Clay) เป็น Muhammad Ali เรื่องนี้ได้รับการต่อต้านเป็นอย่างมากในสังคมอเมริกาอย่างมากในขณะนั้น ไม่เว้นแม้แต่ชาวผิวสีด้วยกัน แต่อาลีก็หาได้สนใจไม่โดยให้เหตุผลอีกว่า ที่เขาหันไปนับถือเป็นเพราะศาสนาอิสลาม มีคำสอนที่ไม่ให้ไปเข่นฆ่าผู้คน อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้นนับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเป็นอย่างมากของอาลี แต่เขาก็สู้จนกลับมาเป็นแชมป์โลกอีกครั้ง เขาสู้กับสังคมจนทำให้ผู้คนในสังคมยอมรับว่าทุกศาสนาล้วนสอนให้ทุกคนเป็นคนดี และจากผลพวงในครั้งนี้อาลียังได้ฐานเสียงแฟนมวยมากขึ้นจากชาวมุสลิมทั่วโลกอีกด้วย
4. ในช่วงปี 70 นับเป็นช่วงที่ชื่อเสียงของอาลี โด่งดังถึงขีดสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 1974 ในศึก “The Rumble in the Jungle” ที่กรุงกินซาซ่า ประเทศซาอีร์ ทวีปแอฟริกา อาลีได้ขึ้นชกชิงตำแหน่งกับ จอร์จ โฟร์แมน แชมป์ในขณะนั้น โดยอาลีได้ค่าตัวในการชกสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นค่าตัวที่สูงที่สุดแห่งยุคในเวลานั้น ในการจัดการแข่งขันครั้งนี้โปรโมเตอร์ที่จัดการแข่งขันก็ไม่ใช่ใครอื่น ดอน คิง จอมสูบเลือดสูบเนื้อนั่นเอง ซึ่งการจัดการชกมวยครั้งนี้นับว่าสร้างชื่อเสียงให้กับ ดอน คิง เป็นอย่างมาก และกล่าวกันว่า ดอน คิง ไม่มีเงิน 20 ล้านในการจ่ายค่าตัว อาลี ได้ในทีแรก แต่ด้วยความดังของอาลีทำให้สามารถเรียกสปอนเซอร์จำนวนมาก ๆ ได้ในคราวเดียวนั่นเอง
5. The Greatest vs The Greatest อาลีได้สร้างการต่อสู้ครั้งประวัติศาสตร์ขึ้น โดยเขาได้รับคำท้าจาก Antonio Inoki ราชานักมวยปล้ำของญี่ปุ่นในเวลานั้น โดยทั้งคู่ต่างก็มีสมญานามว่า The Greatest ที่มีความหมายว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ฝั่งหนึ่งก็เป็นแชมป์มวยโลก อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นแชมป์มวยปล้ำ ในปี 1976 ทั้งคู่ก็ได้เผชิญหน้ากันในสังเวียนที่ประเทศญี่ปุ่น ผลที่ออกมาคือเสมอ ทั้งคู่ต่างทำอะไรกันไม่ได้ Inoki อยู่ในท่านอนและพยายามเตะอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ทำอะไรอาลีที่ว่องไวไม่ได้ ส่วนอาลีก็ชก Inoki ที่อยู่ในท่านอนไม่ได้ ซึ่งมีนัยยะแฝงว่าไม่มีใครเก่งกาจไปกว่าใครและไม่มีใครยิ่งหย่อนไปกว่าใคร ซึ่งแท้จริงแล้วการแข่งขันนี้เป็นแมทช์การกุศลเพื่อหาเงินไปช่วยเหลือตามมูลนิธินั่นเอง
6. Style เรื่องนี้คงไม่กล่าวถึงเป็นไม่ได้ สไตล์การชกของอาลีนั้น นับได้ว่าสวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาลีสามารถเต้นถอยหลังและปล่อยหมัดหนักได้ในคราวเดียวกัน อีกทั้งเขายังเป็นนักชกที่ใช้สมองเป็นอย่างมาก ดักทางคู่ต่อสู้ได้หมด นักมวยส่วนใหญ่จะพยายามต้อนคู่ต่อสู้เข้ามุม แต่อาลีเลือกที่จะอยู่ที่มุมและกวักมือเรียกคู่ต่อสู้ให้มาชกคล้ายเป็นการต่อให้ และทุกครั้งเขาเอาตัวรอดจากมุมได้ทุกครั้ง และอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาก็คือ อาลีมักจะทำนายผลการแข่งขันไว้ล่วงหน้าว่าเขาจะสามารถน็อคคู่ต่อสู้ได้ในยกใด และเขาก็ทำได้ในทุกครั้ง
7. อาลีเป็น Sport Icon ที่สำคัญและมีมูลค่าทางการตลาดที่มหาศาลในทุกวันนี้แม้กระทั่งเขาจะเสียชีวิตไปแล้ว อาลีได้ค่าลิขสิทธ์มากมายจากแบรนด์เสื้อผ้า และเขาได้นำรายได้ส่วนนี้ไปบริจาคให้กับมูลนิธิให้เด็กยากไร้ในแต่ละพื้นที่โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยสงคราม โดยตัวอาลีนั้นรักเด็กมากและไม่เคยรังเกียจเด็ก ๆ เลย แม้ว่าเด็กคนนั้นจะสกปรกมอมแมมหน้าเปื้อนขี้มูกขนาดไหน อาลีก็อุ้มขึ้นมาจูบแก้มอย่างไม่รังเกียจ อาลีมักจะไปสอนมวยให้กับเด็ก ๆ ตลอด ตั้งแต่ใช้ชีวิตชกมวย จนแขวนนวมและมีอาการโรคพากินสันรุมเร้า อาลีก็ยังไปสอนมวยอยู่เรื่อย ๆ โดยทุกครั้งที่เขาขึ้นชกกับเด็ก ๆ เขามักจะแกล้งแพ้ เพื่อสร้างความสนุกสนานและสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเด็ก ๆ อยู่เสมอ
และนี่คือเรื่องราวความเป็นสุดยอดของชายที่มีชื่อว่า Muhammad Ali สิ่งที่ทำให้ทั่วโลกไว้อาลัยต่อการจากไปของเขานั้นไม่ใช่เพียงเพราะเขาคือ Muhammad Ali แต่เพราะเขาคือสุดยอดของโลก The World Greatest ตามสมญานามที่เขาอ้างถึง และไม่เพียงเท่านั้นเขายังเป็น The World Greatest of all time สุดยอดของโลกตลอดกาลอีกด้วยครับ