อ.วิศิษฐ์ เตชะเกษม

อ.วิศิษฐ์ เตชะเกษม

ถ้าพูดถึงเรื่องโหราศาสตร์ในปัจจุบันมีมากมายหลายแขนง มีซินแสหรือกูรูออกมาพยากรณ์ดวงชะตาสร้างความเชื่อความศรัทธาหลากหลายรูปแบบให้กับสังคม แต่ถ้าพูดถึงศาสตร์ที่มีหลักการและสืบทอดกันมาหลายพันปีอย่างฮวงจุ้ยคงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือสิ่งที่ตั้งอยู่บนความเป็นเหตุเป็นผล อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง

อาจารย์วิศิษฐ์ เตชะเกษม คือบุคคลท่านแรก ๆ ของเมืองไทยที่นำศาสตร์นี้มาผสานกับเรื่องของสถาปัตยกรรมศาสตร์ ทุกคนให้การยอมรับและเป็นหลักฮวงจุ้ยที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดีในด้านการออกแบบและการปรับทัศนะให้ดีขึ้นในเรื่องของที่ทำงาน อาคารและที่พักอาศัย  แม้วันนี้เขาจะบอกว่าตัวเองคือสถาปนิก แต่หลายคนก็ยังเชื่อว่าเขาคือผู้เชี่ยวชาญทางด้านฮวงจุ้ยที่เก่งที่สุดในประเทศไทยคนหนึ่งอยู่ดี

กว่าจะมาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านฮวงจุ้ยอย่างในปัจจุบันนี้ ท่านคลุกคลีอยู่กับสังคมคนจีนมาตั้งแต่เกิดในย่านเวิ้งนาครเขษม ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์การค้าแห่งแรก ๆ บนเกาะรัตนโกสินทร์ ซึ่งต้นตระกูลเริ่มจากรุ่นคุณปู่ที่สร้างตัวเองจนเปิดร้านขายหนังสือที่ชื่อว่าร้านเขษมบรรณกิจ 

“ที่แห่งนี้ผมได้รู้จัก ป.อินทรปาลิต คนเขียนหนังสือเรื่อง 3 เกลอ ซึ่งเขาส่งต้นฉบับให้คุณปู่ของผม คุณปู่บอกว่าเขาอัจฉริยะตรงที่ตอนเช้าจะเขียนเรื่อง พล นิกร กิมหงวน แต่ตอนบ่ายเขียนเรื่อง เสือดำเสือใบ โดยจะขายให้ญาติของผมที่อยู่ร้านติดกัน ผมได้พบ น. ณ ปากน้ำ (ประยูร อุลุชาฎะ) เวลาที่เขาเขียนต้นฉบับเขาไม่เคยจับปากกาเลย แกเปิดตำราจีนโกวเล้งแล้วก็ร่ายเป็นคำพูดออกมาให้เลขาพิมพ์แล้วส่งต้นฉบับกันตรงนั้นเลย 

“ก่อนจะพิมพ์หนังสือคุณพ่อของผมต้องเป็นคนเขียนภาพปกและภาพประกอบในเล่ม เมื่อคุณปู่เห็นว่าผมโตพอที่จะช่วยงานที่บ้านได้ก็ให้ผมไปช่วยคุณพ่อเขียนภาพประกอบ ซึ่งตอนเด็กผมเรียนที่โรงเรียนสายประสิทธิ์วิทยาฝั่งธนฯ ตอนเรียนศิลปะ 
ครูเห็นฝีมือในการวาดภาพของผมก็แนะนำว่าโตขึ้นน่าจะเป็นวิศวกรหรือเป็นศิลปินนักออกแบบ หลังจากนั้นผมได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย 

“ช่วงนั้นชอบดนตรีมากจึงบอกคุณปู่ว่าอยากเล่นดนตรี แต่ท่านห้ามเพราะเป็นอาชีพเต้นกินรำกินไม่ให้เล่น แต่ผมก็แอบไปเรียนดนตรีโดยที่คุณปู่ไม่รู้ จนกระทั่งวันหนึ่งผมไปบอกคุณปู่ว่าจะไปซื้อชุดลูกเสือใหม่เพื่อออกงานรับเสด็จเพราะอยู่ในกองดุริยางค์ คุณปู่พูดเสียงดังว่าลื้อเล่นดนตรีเหรอ! เอ้าเล่นก็เล่น ตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านโกรธหรือภูมิใจแต่มันห้ามไม่ได้แล้ว 

“มีครั้งหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตผมอีกคือ ผมหยิบกีตาร์มาทำเป็นลองดีดทั้งที่เล่นไม่เป็น มีรุ่นพี่คนหนึ่งเห็นแล้วเดินมาบอกว่าชาตินี้ทั้งชาติเอ็งก็เล่นกีตาร์ไม่เป็นหรอก คือผมร้อนใจมากเลยว่าทำไมต้องพูดอย่างนั้น คิดในใจว่าวันหนึ่งต้องเก่งกีตาร์ให้ได้ พอขึ้น มศ.4 ผมได้ฟังประธานนักเรียนเล่นกีตาร์คลาสสิก ทำให้ผมเบนเข็มมาเล่นกีตาร์คลาสสิก คุณปู่พาผมไปซื้อกีตาร์ในราคา 1,800 บาท ในสมัยนั้นถือว่าแพงมาก จากนั้นผมก็ไปเรียนประสานเสียงจนในที่สุดผมได้เป็นวาทยากรของวง ทุกวันนี้ผมสะสมกีตาร์ไม่ต่ำกว่า 200 ตัวครับ”

สถาปัตยกรรม+ฮวงจุ้ย

“เหตุผลที่เรียนสถาปัตย์ เพราะตอนเรียนที่สวนกุหลาบฯ ผมได้เรียนวิชาดรออิ้งคือเขียนแป๊บเดียวเสร็จ เพราะฝึกจากที่บ้านจนชำนาญ พอเขียนเสร็จมันก็ว่างแล้วไม่มีอะไรทำเพื่อนก็บอกว่าเขียนเสร็จแล้วเหรอ เขียนให้หน่อยสิ ผมเขียนให้เพื่อนแล้วไปใส่ชื่อเอาเอง หลังจากนั้นเพื่อนก็บอกว่าเอ็งน่าเรียนสถาปัตย์นะ พอเรียนจบมัธยมก็ไปสอบเอนทรานซ์เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ผมเลือกสอบเข้าสถาปัตย์จุฬาฯ แต่ก็สอบไม่ได้ พอปีที่สองสอบใหม่ปรากฏว่าสอบเข้าได้ในลำดับที่ 12 

“ตอนที่เรียนสถาปัตย์มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมมาเป็นซินแซ คือตอนเรียนปี 3 ผมได้ใบอนุปริญญา สามารถออกแบบอาคารได้ไม่เกิน 200 ตารางเมตร พอดีคุณอาผมทำกิจการโรงงานไม้และสร้างออฟฟิศอยู่แถวหนองแขม ผมก็รับออกแบบตามหลักของจีน คือผมอยากลองวิชาก็ทำไปจนบ้านเกือบเสร็จแล้ว อยู่ดี ๆ คุณปู่ของผมท่านมาดู แล้วบอกว่าใครออกแบบบ้านหลังนี้มันไม่ถูกหลักฮวงจุ้ย ท่านก็บ่นใหญ่เลย แล้วคุณอาผมท่านเชื่อคุณปู่ทำให้ต้องรื้อบ้านมาทำใหม่ ซึ่งทำให้ผมได้บทเรียนจากงานชิ้นนี้ จากนั้นตอนใกล้เรียนจบอาจารย์ให้ไปเขียนวิทยานิพนธ์มา 1 เรื่อง ผมเลยเขียนเรื่องอิทธิพลความเชื่อไสยศาสตร์จีนที่มีผลต่อสถาปัตยกรรม เหมือนจะประชดนิด ๆ แต่ผมไปศึกษาอย่างจริงจังว่าบริษัทใหญ่ ๆ ที่ไหนมีความเชื่อแบบนี้บ้าง พอไปส่งอาจารย์เขาบอกว่าดีมาก ให้คุณไปศึกษาเรื่องนี้ต่อเลยนะเพราะเมืองไทยยังไม่มีคนทำเรื่องแบบนี้ ทำให้ผมกลับไปหาคุณปู่เพื่อทบทวนวิชาแล้วท่านก็สอนอย่างจริงจัง เรียนเรื่องของฮวงจุ้ย ชัยภูมิแบบ Static คือถ้าเป็นอย่างนั้นเพราะมีเหตุผลเป็นแบบนี้

“จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นช่วงที่เรียนอยู่ปี 4 ผมไปสอบได้ทุนของประเทศเยอรมันเป็นวุฒิบัตรในระยะสั้น ก็ได้ไปเรียนผังเมือง ที่นั่นมีการพูดถึงเรื่องอุณหภูมิในแต่ละประเทศที่ไม่เหมือนกัน ทำให้การออกแบบแตกต่างกัน จุดนี้นี่เองคือคำตอบของผมในวิชาฮวงจุ้ยที่ผมเรียนมา ผมเริ่มศึกษาฮวงจุ้ยจากคุณปู่มากขึ้น คราวนี้ภาพมันออกมาหมดเลยคือมันเป็นตรรกะเป็นเหตุเป็นผลของการอยู่กับธรรมชาติ

“ทุกวันนี้ภาพลักษณ์ในสื่อคนมองว่าผมเป็นกูรูด้านฮวงจุ้ย แต่ความจริงแล้วผมเป็นสถาปนิก เป็นนักวางผังเมือง ช่วงเวลาที่คนเริ่มรู้จักผมก็ประมาณ พ.ศ.2527 ผมได้ออกแบบบ้านของผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เป็นบ้านในลักษณะที่มีหลายองค์ประกอบรวมกัน ผมก็เลยมีโอกาสได้ใช้หลักของ ตี่ลี่ ซึ่งเป็นศาสตร์หนึ่งในวิชาฮวงจุ้ย ฮวงจุ้ยก็เป็นศาสตร์หนึ่งในวิชาโหงวเฮ้ง โหงวเฮ้งก็เป็นศาสตร์หนึ่งในวิชาอี้จิง มันต่อกันไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายแล้วเป็นเรื่องของปรัชญาในการดำเนินชีวิตนั่นเอง

“เมื่อออกแบบบ้านเสร็จแล้วบังเอิญมีรายการทีวีชื่อรายการแจงสี่เบี้ย มาขอสัมภาษณ์เรื่องการออกแบบบ้าน แล้วผมก็อธิบายเรื่องของชัยภูมิแบบตี่ลี่ ซึ่งตัวเจ้าของบ้านก็รู้สึกพอใจเพราะตั้งแต่สร้างบ้านกิจการของเขาก็ดีขึ้น หลังจากรายการออกไปแล้วมันเกิดกระแสฟีเวอร์ขึ้นมา ยุคนั้นหลายคนไม่รู้ว่ามีวิชาเหล่านี้ เพราะมันอยู่ในสังคมจีน กลุ่มนักปกครองและพวกพ่อค้าเท่านั้น 

“พอรายการออกไปเรทติ้งดีมาก ทำให้เจ้าของรายการมาชวนให้ผมไปทำรายการกับเขา จากนั้นมารายการทีวีอื่นเริ่มจับตามองที่ผม ทำให้ภาพความเป็นสถาปนิกของผมเริ่มหายไปเรื่อย ๆ ในระหว่างที่กระแสฮวงจุ้ยมาแรง ก็มีเขียนหนังสือออกมาด้วยทำให้คนสนใจกันมาก ผมอยากจะบอกให้เข้าใจอย่างหนึ่งว่าเศรษฐีที่ประความสำเร็จไม่ใช่ว่าเขาทำแล้วประสบความเสร็จ แต่เพราะเขาประสบความสำเร็จแล้วจึงนำฮวงจุ้ยมาเสริม แต่คนอีกกลุ่มหนึ่งเห็นเศรษฐีทำแล้วสำเร็จ จึงทำตามบ้างคือมันไม่ใช่ เราอย่าหวังว่าเราทำอย่างเขาแล้วจะเป็นอย่างเขา เพราะชีวิตคนเรามีองค์ประกอบหลายอย่าง ซึ่งถ้าเราทำชีวิตให้ถูกต้อง เราไม่ต้องพึ่งพาวิชาฮวงจุ้ยก็ได้ 

“เมื่อชื่อเสียงโด่งดังคนเริ่มรู้จักมากขึ้น ทำให้ผมได้ออกรายการทีวีทุกช่อง แถมยังมีรายการทางวิทยุอีก ทำให้ตอนนั้นผมไม่ได้ทำอาชีพสถาปนิกเพราะต้องจัดรายการทุกวัน จนกระทั่งผมกลายเป็นอาชีพโหราจารย์ไปเลย แต่ผมไม่ได้รับจ้างไปดูตามบ้านใคร แต่สิ่งที่ผมทำคือเผยแพร่ความรู้ตรงนี้ออกไปเพื่อให้คนได้ฟังและเข้าใจว่า ไม่ใช่ว่าเราจะไปพึ่งฮวงจุ้ยแล้วจะประสบความสำเร็จทั้งหมด ความสำคัญจริง ๆ คือวิชาปรัชญาของวิชาฮวงจุ้ยมากกว่าว่ามันคืออะไร

การเดินทางของดาว 

“มีอยู่วันหนึ่งผมได้ไปรับงานให้ทำโครงการหนึ่งอยู่ที่อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี โดยพื้นที่ประมาณ 7 พันกว่าไร่ผมก็วาง Master Plan ตามวิชาที่ผมศึกษามา ซึ่งมันใหญ่โตมาก มีมังกรใหญ่ตัวหนึ่งแล้วมีอีก 9 ตัว เกาะอยู่ตามมังกรใหญ่ ผมเริ่มพรีเซ้นต์ไปเจ้าของโครงการก็ค่อนข้างพึงพอใจ แต่ท่านก็มีซินแซที่ปรึกษาท่านหนึ่ง ในระหว่างที่พรีเซ้นต์อยู่ท่านก็พูดด้วยความเมตตาว่า คุณวิศิษฏ์หากมังกรตัวนี้หันหัวผิด อายุมันก็จะหมด เพราะมังกรมันมีอายุผมก็ฉุกคิดว่ามังกรมันมีอายุด้วยเหรอ ในตอนนั้นผมก็
เกิดอาการต่อต้านเล็ก ๆ ว่าทำไมต้องมาเปลี่ยนแบบของผมทำให้ผมอยากรู้เรื่องการคำนวณอายุมังกรว่าหมดอายุได้อย่างไร ผมก็เลยไปเรียนกับท่านเพิ่มพอได้เข้าไปฟังผมหงายหลังเลยเพราะเจอศัพท์เฉพาะของจีน แล้วมีศาสตร์ที่ลึกลงไปอีก ซึ่งสิ่งที่ผมต้องการคือเพื่อจะหาว่าวิชาของผมที่เป็น Static คือเมื่อเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ถ้าวางบ้านอย่างนี้จะร้อนอย่างนั้น กับวิชาที่เป็นแนว Dynamicของอาจารย์เป็นอย่างไร เพราะมันมีเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ว่าบ้านหรือเมืองตรงที่เคยรุ่งเรืองอยู่ยุคหนึ่ง เมื่อเวลาเปลี่ยนไปมันจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ผมก็มานั่งคิดนะว่ามันเป็นเรื่องจริงเพราะไม่มีสถานที่ใดที่มันรุ่งเรืองตลอดไป 

“ผมเรียนเรื่องกฎของการเปลี่ยนแปลงเวลาฟ้า คือต้องกลับไปเรียนที่กาลเวลามันหมุนอย่างไรมีอะไรเป็นพื้นฐานก็มีวิชาโหงวเฮ้งมีธาตุทั้ง 5 ดิน ทอง ไม้ ไฟ น้ำ พอไปเรียนจริง ๆ มันคือเรื่องของวิทยาศาสตร์ ธรณีวิทยา เป็นปรากฏการณ์ของจักรวาล มาเกิดที่โลกของเราก็มีการหมุนเวียน ที่ผมนึกไม่ถึงว่ามันจะลึกและซับซ้อน แต่ความซับซ้อนประกอบไปด้วยเหตุผล ผมเรียนกับอาจารย์กว่า 9 ปี เพื่อที่จะจบวิชาเดียว คือวิชาการผสานการเดินทางของดาว เพราะอาจารย์บอกว่าดาวมันมีอยู่ 9 ชุด เวลามันเดินทาง
จะเกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศนั้นได้อย่างไร ผมสงสัยว่าดาว 9 ชุดมันอยู่ตรงไหนผมเลยไปเรียนวิชาดาราศาสตร์เพื่อเอา 2 สิ่งนี้มารวมกันให้ได้ 

“จนกระทั่งผมค้นพบว่าวิชาดวงดาวของจีนที่มีการค้นพบไว้ มันก็คือวิธีการตั้งปฏิทิน จากปฏิทินก็ได้มีการกำหนดการเปลี่ยนแปลงสถานที่ของกาลเวลา สองสิ่งนั้นรวมเข้ามาเป็นเลเยอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมสับสนว่าดวงดาวกำหนดโลกได้ด้วยเหรอ ซึ่งผมไม่เชื่อก็เลยลองย้อนประวัติศาสตร์ของจีนดูไปจนถึงราชวงศ์ถัง แล้วเอาดวงดาวที่เรียนมาลองทาบดูปรากฏว่ามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนั้นจริง ๆ ผมไม่ได้บอกว่าผมเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ผมเอาวิชาหนึ่งมารวมกับอีกวิชาหนึ่งมาทาบกันแล้วมันเป็นไปตามนั้น เห็นได้ว่าวิชานี้มันมีพลานุภาพอะไรแฝงเร้นอยู่บางอย่าง ที่เราสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้จากการคาดการณ์หรือพยากรณ์ 

ออกแบบจากความเข้าใจ

“จนมาถึงช่วงปี พ.ศ.2533 มีลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสังฆราช (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) ท่านหนึ่งมาหาผม ท่านบอกว่าฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งไว้ผมยาวเป็นคนออกแบบวัดสีขาวให้กับท่าน แต่ไม่รู้ว่าจะหาผู้ชายคนนี้ได้ที่ไหน แต่เพราะท่านเปิดทีวีแล้วเจอผมออกรายการพอดี แล้วอยากเชิญให้ผมออกแบบวัดแถวพุธมณฑล ผมบอกว่าต้องขออภัยจริง ๆผมเป็นสถาปนิกออกแบบอาคารที่มันซับซ้อน แต่กับวัดไม่เคยทำจริง ๆ แล้วที่สำคัญผมไม่มีความรู้ด้านศาสนาเป็นแต่สวดมนต์ไหว้พระ 

“เขาก็ถามว่าผมต้องการอะไรในการออกแบบวัดแห่งนี้อีก ผมตอบว่าต้องการเวลาในการศึกษาปรัชญาทางศาสนา ท่านก็บอกว่า รู้จักพระรูปหนึ่งเป็นปราชญ์ทางด้านศาสนา ในสมัยนั้นท่านชื่อ พระเทพเมธี ป.อ.ปยุตฺโต (พระพรหมคุณาภรณ์) ท่านถามผมว่าพอจะมีเวลาเรียนรู้สักเดือนหนึ่งหรือเปล่า ผมเลยบอกว่าผมขอพบท่านพระเทพเมธีก่อนเพราะผมยังไม่รู้จักท่าน ด้วยความที่ผมยังเขลา ไร้เดียงสา เพราะอายุแค่ยี่สิบปลาย ๆ ผมก็ตกลงไปพบท่านเพื่อถามว่าปรัชญาศาสนาคืออะไร ถ้าผมเข้าใจผมจะยอมออกแบบให้ 

“ผมขับรถไปที่พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา พอพบท่านพระเทพเมธี ป.อ.ปยุตฺโต กิริยาท่าทางท่านดูผ่องใสมาก แต่พอดีท่านต้องไปทำธุระ 7 วัน ระหว่างนี้จึงบอกให้ผมศึกษาตำราทางศาสนาพุทธหลายเล่มซึ่งแต่ละเล่มหนามากหลายพันหน้า โดยที่ผมต้องอยู่คนเดียวในป่าผมก็คิดว่าเกิดมายังไม่เคยอยู่คนเดียวเลย ระหว่างที่มาดูหนังสือหลายพันหน้าผมคิดว่าไม่มีทางอ่านจบแน่ จึงเขียนคำถามใส่กระดาษว่าปรัชญาของศาสนาพุทธคืออะไร เรื่องไหนน่าสนใจผมก็เปิดอ่านเป็นเรื่อง ๆ พอวันที่ 7 ท่านขึ้นมา ผมถามท่านว่าโครงสร้างของศาสนาพุทธคืออะไร ท่านพูดถึงพระไตรปิฎกแล้วเล่าถึงโครงสร้างที่เป็นปิรามิด มีกิ่งก้านสาขา แตกแขนงมากมาย ผมไม่ต้องไปอ่านอะไรแล้วท่านเล่าได้ลึกซึ้งมาก ผมเข้าใจถึงปราชญ์ทางศาสนาว่าการสร้างอาคารตัวอาคารมันไม่ใช่คำว่าศาสนา แต่สิ่งสำคัญมันคือเนื้อหาตรงสิ่งที่ท่านพูด เพราะฉะนั้นตัวอาคารจะเป็นอะไรก็ได้ 

“ในระหว่างที่ผมทำงานไป แล้วผมก็เอาปรัชญาศาสนามาผสมกับปรัชญาของจีนวิชาตี่ลี่ และฮวงจุ้ยเพื่อใช้ในการออกแบบงานต่าง ๆ หลังจากนั้นทำให้ผมรู้ว่าวิชาต่าง ๆ มันเหมือนเป็นวงกลมที่ซ้อนกัน แต่เนื้อหาตรงกลางเหมือนกัน คือถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราจะเข้าใจทั้งหมด มันมีภาพเชิงซ้อนตลอดเวลา สุดท้ายแล้วยอดของมันคือการดับสูญคือนิพพาน แล้วท่านอธิบายเรื่องของสถาปัตยกรรมว่ามันคืออะไรแม้ไม่ได้เรียนด้านนี้มา แต่ท่านพูดอกมาจนกระทั่งรู้ว่าปรัชญาทางศาสนามันทำให้เกิดสถาปัตยกรรมมีโครงสร้างแบบนี้ขึ้นมา ครั้งนั้นเองทำให้ผมได้แนวทางมาว่าสิ่งสำคัญที่สุดไมใช่วิชาตี่ลี่ ฮวงจุ้ย ไม่ใช่เรื่องของความร่ำรวย แต่หลักคิดปรัชญาทางศาสนานี่แหละสูงที่สุด สิ่งที่เรามีดีที่สุดที่คู่ประเทศไทยมาคือหลักของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คิดอย่างมีเหตุและปัจจัยเกิดอย่างไรจะมีผลอย่างไรผมรู้เลยว่ามันไม่มีวิชาอะไรที่สุดยอดขนาดนี้ ไม่ว่าผมจะเรียนวิชาอะไร สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรเหนือกว่าสิ่งนี้เลยเพราะมันคือความเข้าใจของจักรวาลจริง ๆ”

รู้ฟ้า รู้ดิน รู้คน

“จากวันนั้นเองผมเริ่มรู้ว่าตัวงานสถาปัตยกรรมรวมทั้งอาชีพผมและวิชาฮวงจุ้ยคุณค่าแท้ของมันไม่ได้อยู่ที่ความสามารถ แต่มันอยู่ที่เราจะสามารถทำให้คนได้รับงานเข้าใจในเรื่องของปรัชญาชีวิต แล้วนำตรงนั้นไปใช้ได้อย่างไร ผมถึงบอกว่าไม่ใช่เรื่องของว่าคุณเปลี่ยนทิศตรงนั้นจะรวย แบบที่คนจีนกล่าวว่าโชคลาภความสำเร็จเป็นหน้าที่ของฟ้าประทาน แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นหน้าที่ของมนุษย์เป็นผู้กระทำ คือบอกกับตัวเองเลยว่าทำไมเมื่อก่อนเราไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้ เวลาที่เราเรียนวิชาของจีนไปเรื่อย ๆสุดท้ายจะย้อนกลับไปในเรื่องความจริงของชีวิต มากว่าการไปพึ่งการจัดบ้าน ทิศมงคล หรือฤกษ์ ปีชง ซึ่งทฤษฎีเหมาะกับบางคนที่ไม่สามารถเข้าไปถึงตรงนั้น และต้องการที่ยึดเหนี่ยวทางใจ เมื่อมีเหตุมีผลแล้วคนที่รับสื่อไปเขาก็รู้ว่าที่คนรวยเขาทำกันมันมีเหตุผล การจะเชื่อสิ่งเหล่านี้ควรเชื่อด้วยเหตุผลและหลักปรัชญา มีหลักธรรมเข้ามาคุ้มครอง 

“ผมอาจไม่ได้เก่งที่สุด แต่สิ่งที่ผมทำนั้นมันมีพื้นฐานปัจจัยทางความคิด สภาพแวดล้อม และประสบการณ์  แต่สิ่งที่ผมเจอคือบางคนเถียงกันเรื่องคนนี้รวยกว่าแล้วทำอย่าไรถึงจะรวยแบบเขา แต่ผมพอแล้วชีวิตคนเราไม่จำเป็นต้องเป็นแบบคนอื่น ทุกวันนี้ผมจึงไม่ค่อยได้ออกสื่อนัก แต่ก็ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมให้กับโครงการสำคัญ ๆ ก็เพียงพอ คือรู้แล้วว่าเราเป็นอะไรแล้วเรายืนอยู่ตรงนี้ ให้ประโยชน์กับคนอื่นได้ในงานสถาปัตยกรรมที่มีฮวงจุ้ยผสาน 

“เมื่อก่อนผมมีบริษัทใหญ่มีลูกน้องเกือบ 30 คน หลังจากฟองสบู่แตกบริษัทผมล้ม พอวันหนึ่งผมมองย้อนกลับมาว่าชีวิตของคนเรามันไม่สำคัญว่าเราจะเป็นอะไร ถ้าเรายิ่งขวนขวายเท่าไหร่ยิ่งหาไม่เจอ ซินแซในแผ่นดินนี้มีคนที่เก่งกว่าผมร้อยเท่าพันเท่า แต่มันสำคัญตรงที่ว่าเรารู้ในสิ่งที่เราทำลึกซึ้งแค่ไหน ชีวิตคนเราแค่รู้จุดหมายให้ชัดเจนที่สุดและตั้งเป้าเพื่อที่จะไป แล้วอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุขไม่ต้องไปดูว่าคนนั้นรวยกว่าเรา ซึ่งอย่างน้อยเราต้องมีอย่างเพียงพอดูแลครอบครัวได้ไม่อดอยาก ในครอบครัวผมตั้งปรัชญาในชีวิตเลยว่าลูก ๆ ผมไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งอันดับหนึ่ง สอบตกผมก็ไม่ว่าแต่ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ 

“ความสำเร็จของมนุษย์มีอยู่ 3 ประการเท่านั้นเอง คือ รู้ฟ้า รู้ดิน รู้คน 

“รู้ฟ้าคือทำอะไรเหมาะกับกิจกรรมนั้นรึเปล่า รู้ดินสถานที่นั้นเหมาะกับกิจกรรมที่ทำไหม รู้คนคือรู้จักตัวเองเก่งด้านนั้นไหมและรู้ว่าคนเขาชอบในสิ่งที่ทำไหม คนแต่ละคนมีองค์ประกอบและวิถีชีวิตที่แตกต่างกันจะให้คนเหมือนกันไม่ได้ คนที่ประสบความสำเร็จอาจไม่ได้มีความสุข หรือคนที่รวยจะให้อีกคนทำแบบเดียวกันแล้วรวยเหมือนเขาก็เป็นไปไม่ได้ เราทุกคนมีคุณค่าเท่ากัน ฉะนั้นเมื่อมีความสุขแล้วต้องรู้ว่าเรามีคุณค่าต่อสังคมนั้นมากน้อยแค่ไหน บางคนรวยมีความสุขแต่เสพอยู่คนเดียว แต่บางคนอาจไม่ได้รวยแต่ทำตัวให้มีคุณค่ากับสังคม แบ่งบันความรู้ คนนั้นมีคุณค่ามากกว่าคนที่รวยคนเดียวไม่รู้กี่หมื่นกี่ล้านเท่า” 

The Wise Man ศาสนา สถาปัตยกรรม และฮวงจุ้ย