All New Ford Everest
วิวัฒนาการของรถ PPV หรือรถกระบะดัดแปลงในปัจจุบันก้าวไกลไปมาก มากจนหลายท่านสับสนว่า คันไหนเรียก PPVคันไหนเรียก SUV เพราะ PPV ในยุคก่อนนั้น ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันมาก ทั้งช่วงล่าง ความสะดวกสบาย หรือแม้กระทั่งการออกแบบภายนอกที่มองด้านหน้าอาจไม่ได้ต่างกันเลยกับรถกระบะเชิงพาณิชย์ จะมีก็แค่ด้านหลังที่เพิ่มหลังคาขึ้นมาดื้อ ๆ เท่านั้น
FORD EVEREST ก็เช่นกัน ตัวก่อนหน้านี้รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้หรูหรา และไม่ได้แตกต่างจากรถกระบะร่วมค่ายเท่าไหร่นัก แต่พอเมื่อ All New Ford Everest เปิดตัวขึ้นมา นิยามทุกนิยามของรถ PPV ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
การออกแบบภายนอก ฝัง DNA ของความเป็นรถอเมริกันได้อย่างลงตัว ทั้งความแข็งแรงและบึกบึน บ่งบอกถึงนิสัยใจคอของรถได้อย่างชัดเจน All New Ford Everest มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย 2 เครื่องยนต์ด้วยกัน ซึ่งภายนอกก็จะแตกต่างกันไม่มากนัก ที่เห็นชัดและแยกออกอย่างง่ายดาย คงจะเป็นขนาดของล้อแม็กที่ขนาดแตกต่างกัน โดยเครื่องยนต์ 2.2 ลิตร จะให้แม็กขอบ 18 นิ้ว พร้อมขนาดยาง 265/60 R18 ส่วนในเครื่องยนต์ 3.2 ลิตรนั้น ให้ล้อแม็กที่ใหญ่โตเต็มซุ้มล้อ ในขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 265/50 R20
ภายใน (ตัวท็อป) ออกแบบได้อย่างหรูหรา เบาะที่นั่งใช้โทนสีสว่างเป็นหลัก เลยให้ความรู้สึกกว้างเข้าไปอีก แต่จริง ๆแล้ว หากใช้งานจริง ใช้แบบอเนกประสงค์จริง ๆ ขนทั้งคน ขนทั้งของ อาจจะเกิดความสกปรกได้ง่ายเหมือนกัน ส่วนคอนโซนนั้นออกแบบได้ดูดีเอามาก ๆ เรียบแต่ดูดี พร้อมแฝงความสะดวกสบายและความทันสมัยต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว
ด้านหลังในที่นั่งแถวสอง ตรงกลางจะเป็นชุดปรับอากาศ ซึ่งแยกจากด้านหน้า พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่หลาย ๆ ท่านคงอยากได้ เช่น ช่องเสียบไฟแบบ 12V. และ 220V. แบบปลั๊กไฟบ้าน เป็นต้น ในส่วนของเบาะแถว 2 นี้สามารถปรับระยะได้นิด ๆ หน่อย แต่ถ้าต้องการใส่ของเยอะก็สามารถพับเรียบได้ด้วยเช่นกันในแบบ 60/40 ส่วนเบาะแถวสามนั้น บอกตรง ๆ เลยว่า ไม่เหมาะกับคนตัวใหญ่ ๆ ครับ แต่ไฮไลท์ของเบาะชุดนี้ กลับไม่ได้อยู่ที่ขนาด หรือความสะดวกสบายในการใช้งาน แต่มันสามารถพับเก็บแบบไฟฟ้าได้ด้วย ซึ่งคู่แข่งไม่ว่าจะค่ายไหน ๆ ก็ไม่มี!
มาดูที่เครื่องยนต์กันบ้าง ว่ากันที่เครื่องขนาด 2.2 ลิตรVG Turbo กันก่อน เครื่องยนต์ดีเซลตัวนี้เป็นแบบ 4 สูบ ให้กำลังแรงม้าสูงสุด 160 แรงม้าและให้แรงบิดสูงสุดที่ 358นิวตันเมตร จะว่าไปแล้ว เครื่องยนต์นี้ ก็ไม่ได้ขี้เหล่อะไรนักเพียงแต่มันต้องแบกน้ำหนักของตัวถังที่ทั้งใหญ่และหนัก ความจี๊ดจ๊าดก็เลยลดน้อยถอยลงไป การใช้งานต่างจังหวัดก็ใช้ได้อย่างสบาย ๆ และประหยัดน้ำมันอีกด้วย!
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตร 5สูบ VG Turbo ขับเคลื่อน 4 ล้อ Titanium Plus ตัวท็อปนั้นไฮไลท์ของเครื่องยนต์ตัวนี้ คงจะหนีไม่พ้นในเรื่องกำลังวังชาทีมีอย่างเหลือใช้ เพราะให้แรงม้ามาถึง 200 แรงม้า และให้แรงบิดสูงถึง 470 นิวตันเมตรเลยทีเดียว จริงอยู่ที่ถ่ายทอดกำลังลงล้อด้วยเกียร์ 6 สปีดเหมือนกัน แต่ฟิลลิ่งในการกดคันเร่งและในการขับแตกต่างกันมาก ไม่เหนื่อยในการกดคันเร่ง ซึ่งเหมาะมากกับการใช้งานในระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ซึ่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเองก็มีฟังก์ชั่นใช้งานการขับในสภาพพื้นผิวถนนต่าง ๆ มีให้เลือกใช้งานได้อย่างสบาย ๆโดยที่ไม่ต้องลงจากรถเลย โดนแบ่งเป็น 4 โหมดด้วยกัน ได้แก่
1.พื้นผิวถนนทั่วไป โดยโหมดนี้จะเน้นใช้งานในสภาพถนนปกติ ซึ่งระบบส่งกำลังให้เหมาะสม ระหว่างล้อหน้าและหลังโดยอัตโนมัติ
2.โหมดสโนว์หรือหิมะ โดยโหมดนี้จะเน้นในเรื่องการยึดเกาะถนนเป็นหลัก เมื่อขับขี่บนถนนลื่น
3.โหมดทราย โหมดนี้จะกระจายแรงบิดลงล้อมากขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อตามสนองการกดคันเร่งที่มากขึ้น โดยใช้เกียร์ต่ำเมื่อรถเคลื่อนตัวอยู่บนพื้นทราย
4.โหมดขับเคลื่อนอยู่บนหิน หรือในสภาวะการไต่เขาในรูปแบบ Offroad เต็มขั้น ซึ่งโหมดต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถทำให้คุณขับ All New Ford Everest ไปได้ในทุก ๆ เส้นทาง และทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า สามารถขับลุยน้ำได้ลึกถึง 80 ซม.อีกด้วย
ส่วนช่วงล่างและการควบคุมนั้น ให้ความรู้สึกแตกต่างจากรถกระบะที่ดัดแปลงขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง ประหนึ่งว่าขับรถ SUV หรูคันหนึ่งเลยก็ว่าได้ โดยการออกแบบช่วงล่างที่ให้ทั้งความนุ่มนวล แต่มั่นคง และมั่นใจในทุก ๆ การเข้าโค้ง จึงทำให้ All New Ford Everest ขับขี่ได้อย่างง่ายดาย และนี่ยังไม่ได้นับถึงระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ที่อัดเข้ามาให้ไม่ว่าจะเป็นระบบเตือนการชนล่วงหน้า ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลนเมื่อเกินการเปลี่ยนเลนแบบไม่ตั้งใจ ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ รวมถึงระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ เป็นต้น
ซึ่งจริง ๆ แล้วระบบต่าง ๆ เหล่านี้ก็ไม่ได้ใหม่อะไรนัก แต่มันมักจะมีใช้กันในรถหรู ๆ ระดับราคามากกว่า 4 ล้านบาท แต่ทุกอย่างที่กล่าวมา กลับอยู่ใน All New Ford Everest ที่ราคา 1 ล้านปลาย ๆ เท่านั้น ถ้าอย่างนี้ไม่เรียกว่า“คุ้มค่า” ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วครับ
Tip & Trick
อากาศเริ่มร้อนระบบระบายความร้อนยิ่งต้องดูแล
ระบบระบายความร้อนดูแลและตรวจสอบง่าย ๆ เพียงแค่ดูระดับน้ำหล่อเย็น ทั้งในหม้อพักน้ำและในหม้อน้ำ ให้อยู่ในระดับที่คู่มือกำหนด สักเดือนละครั้งก็ยังดี หากน้ำหาย ต้องหาสาเหตุให้เจอ อย่าปล่อยไว้เด็ดขาด เพราะนั้นอาจร้ายแรงถึงขั้นเครื่องยนต์พังเลยก็ได้