FIFA

FIFA

เสร็จสิ้นกันไปสำหรับการแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกกับศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่จัดขึ้นในกรุงริโอ เดอ จานีโร ประเทศบราซิล หลายคนคงทราบดีว่าแชมป์โลกปีนี้ตกไปอยู่ในมือของทีมอินทรีเหล็กที่เฉือนชนะทีมฟ้าขาวในช่วงต่อเวลาพิเศษไปด้วยสกอร์ 1 - 0 จากการยิงประตูของดาวเตะแก้มแดง มาริโอ เกิทเซ่ ที่ช่วยให้ทีมชาติเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่ 4 ได้สำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าตลอดกาลแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญมากมายหลายอย่าง ในฉบับนี้ MiX จะขอรวบรวมสรุปเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้

กล้วยหอมจอมซ่าส์ !!

ตั้งแต่รู้ผลการจับฉลากสายดีของศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ประกอบไปด้วยทีมชาติอังกฤษ, อิตาลี, อุรุกวัยและคอสตาริก้า เชื่อว่า 90% ของประชากรทั้งโลกาชื่อทีมกล้วยหอมคอสตาริก้าทิ้งไปตั้งแต่ฟุตบอลโลกยังไม่เริ่ม แต่พวกเขากลับตบหน้าบรรดานักฟันธงทั้งหลายด้วยการชนะทั้งอังกฤษและอิตาลี รวมไปถึงการเสมอกับอุรุกวัย สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นแชมป์กลุ่มก่อนจบเส้นทางบอลโลกของตัวเองไว้ที่รอบ 8 ทีมสุดท้ายหลังแพ้ให้กับทีมชาติฮอลแลนด์ในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ ถึงกระนั้นก็ยังถือว่านี่คือผลงานสุดยอดจากทีมที่เป็นม้านอกสายตาในการแข่งขันอย่างแท้จริง

เรียกข้าว่า ฆาเมส โรดริเกวซ

เพลย์เมคเกอร์หนุ่มหน้ามนสัญชาติโคลัมเบียผู้นี้ก้าวขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมชาติโคลัมเบียด้วยผลงานที่สุดยอดทำไปทั้งสิ้น 6 ประตูและคว้ารางวัลดาวซัลโวของการแข่งขันครั้งนี้มาครอง โดยก่อนหน้าที่จะเริ่มศึกฟุตบอลโลกหลายๆ คนอ่านชื่อเขาว่า เจมส์ โรดริเกวซ (James Rodriguez) แต่หลังจากที่เริ่มมีคนจับตามองอย่างกว้างขวาง เจ้าตัวได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอยากให้คนเรียกเขาว่า ฆาเมส ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงตามแบบภาษาสเปนมากกว่า

จอมกัดที่ชื่อซัวเรส !!

ในเกมที่อิตาลีพบอุรุกวัยในการแข่งขันรอบแรกนัดสุดท้ายของสายดี หลุยส์ ซัวเรส หัวหอกฟันจอบของหงส์แดงลิเวอร์พูลระเบิดอารมณ์โดยการกัดไปที่หัวไหล่ของ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ปราการหลังอัซซูรี่ซึ่งหลังเกมเจ้าตัวได้ออกมาแก้ต่างว่าเขาได้เสียการทรงตัวในตอนที่วิ่งและเซไปชนกับหัวไหล่ของ คิเอลลินี่ แต่ภาพช้าบอกได้ทุกสิ่ง ผลคือฟีฟ่าได้ลงโทษ ซัวเรส โดยการห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวใดๆ กับฟุตบอลเป็นเวลา 4 เดือนด้วยกัน ถือว่าเป็นบทเรียนราคาแพงหลังจากเจ้าตัวเคยทำพฤติกรรมแบบนี้มาก่อนหน้านี้แล้วถึง 2 ครั้ง เรียกได้ว่าเจ็บไม่จำกันเลยทีเดียว

โคลเซ่ 16 !!

มิโรสลาฟ โคลเซ่ หัวหอกวัยเก๋าของทีมแชมป์โลกปีล่าสุดได้ทำลายสถิติการยิงประตูมากที่สุดในศึกฟุตบอลโลก 15 ประตูของ โรนัลโด้ แห่งบราซิลเป็นที่เรียบร้อย หลังจาก โคลเซ่ ที่ก่อนหน้าบอลโลกครั้งนี้จะเริ่มเขายิงได้ 14 ประตูและมาทำประตูที่ 15 ในนัดที่เยอรมันพบกับกาน่า และประตูประวัติศาสตร์ลูกที่ 16 ในเกมที่เยอรมันสร้างความอัปยศให้เจ้าภาพบราซิลไป 7 - 1

เจ็บนี้อีกนาน !!

บราซิลน่าจะถือได้ว่าเป็นทีมที่มีประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ พวกเขาถูกยกให้เป็นทีมเต็งแชมป์ของรายการและเอาตัวรอดมาได้จนถึงรอบรองชนะเลิศก่อนถูกทีมอินทรีเหล็กสอนเชิงอย่างไม่ไว้หน้าในรูปเกมที่สู้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ถูกแฟนบอลชาติตัวเองโห่ประณาม เผาเสื้อทีมชาติและเผารถบัสเป็นการระบายอารมณ์ รวมไปถึงอาการบาดเจ็บเกือบพิการของ เนย์มาร์ ดาวเตะผู้เป็นความหวังของชาวบราซิลในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พบกับโคลัมเบีย โดย เนย์มาร์ โดน คามิโล่ ซูนิก้า กระโดดแทงเข่าเข้าที่หลังของตนจนต้องเปลี่ยนตัวออก หลังเกมเจ้าตัวออกมาเปิดเผยว่าหาก ซูนิก้า แทงเข่าสูงขึ้นจากจุดที่เขาโดน 2 เซนติเมตร เขาก็จะเป็นอัมพาตครึ่งล่างตลอดชีวิตทันที!!

อาถรรพ์แห่งละตินโดนทำลาย

เยอรมันสถาปนาตัวเองเป็นชาติแรกที่ไม่ใช่ชาติจากแดนอเมริกาใต้ที่สามารถคว้าแชมป์ในทวีปนี้ได้ หลังก่อนหน้านี้ที่ศึกฟุตบอลโลกจัดในดินแดนละตินอเมริกา 6 ครั้งและเป็นทั้งหมดที่ทีมจากละตินทวีปคว้าแชมป์ ถือว่าเป็นการทำลายอาถรรพ์ 84 ปี
และเป็นการเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่เลยทีเดียว

แชมป์เก่าสิ้นลาย !!

ทีมชาติสเปนแชมป์เก่าในศึกฟุตบอลโลกเอาชื่อมาทิ้งไว้ที่ดินแดนบราซิลหลังทำผลงานน่าผิดหวังตกรอบแรกของฟุตบอลโลกด้วยการแพ้เนเธอร์แลนด์ไปอย่างพลิกความคาดหมาย 5 - 1 แพ้ ชิลี 2 - 0 ถึงแม้นัดสุดท้ายจะเอาชนะออสเตรเลียไปได้ 3 - 0 
แต่ผลงานโดยรวมกับการเป็นเต็ง 2 ที่จะคว้าแชมป์ถือว่าน่าผิดหวัง พร้อมด้วยคำครหาจากบรรดาแฟนบอลว่าหมดยุคทองของวงการลูกหนังสเปนและระบบการเล่น Tiki - Taka ไปแล้ว

การเปลี่ยนตัวผู้รักษาประตูเพื่อเซฟจุดโทษ

ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดที่ทีมชาติเนเธอร์แลนด์พบกับทีมชาติคอสตาริก้าในช่วงต่อเวลาพิเศษกำลังจะหมดลงและต้องตัดสินการด้วยยิงลูกโทษนั้น หลุยส์ ฟาน ฮาล ผู้จัดการทีมชาติฮอลแลนด์ได้ทำในสิ่งที่น้อยครั้งจะได้เห็นนั่นคือการเปลี่ยนผู้รักษาประตูตัวจริง แยสเปอร์ ซิริสเซ่น ออกและส่ง ทิม ครูล ผู้รักษาประตูตัวสำรองที่มีรูปร่างสูงกว่า แขนขายาวกว่า ซิริสเซ่น ลงมาเพื่อเซฟจุดโทษโดยเฉพาะ ผลคือ ทิม ครูล กลายเป็นฮีโร่โดยเซฟลูกโทษ 2 ใน 4 ครั้งของทีมคอสตาริก้าและพาทีมกังหันสีส้มเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ

เทคโนโลยีโกล์ไลน์และสเปรย์ล่องหน

เราได้เห็นเทคโนโลยีมาใช้ในการตัดสินว่าลูกฟุตบอลนั้นได้ข้ามเส้นประตูไปหรือยังเป็นครั้งแรกในศึกฟุตบอลโลกซึ่งผลลัพธ์ออกมาถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์รวมไปถึงสเปรย์ล่องหนที่ผู้ตัดสินใช้ฉีดในการวัดระยะระหว่างลูกฟุตบอลถึงกำแพงมนุษย์
ในการเตะฟรีคิก ผลที่ได้คือไม่มีนักเตะคนไหนกล้าแหกกฎยืนออกมานอกเส้นสเปรย์เลยซึ่งสเปรย์นี้จะหายไปในเวลาประมาณ 10 วินาที ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิวัฒนาการที่มีผลในเกมลูกหนังอย่างสูง

บทสรุปของรางวัล

มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมันคว้ารางวัล Golden Gloves ไปได้หลังโชว์ฟอร์มเทพให้กับทีมชาติ รางวัลดาวซัลโวสูงสุดตกเป็นของ ฆาเมส โรดริเกวซ รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมตกเป็นของ พอล ป๊อกบา จากทีมชาติฝรั่งเศสและรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเม้นท์ตกเป็นของ ลิโอเนล เมสซี่ แข้งเทพชาวอาร์เจนติน่านั่นเอง ส่วนทีมชาติเยอรมันคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 ไปครองโดย อาร์เจนติน่า เนเธอร์แลนด์ และบราซิล คว้าที่ 2, 3, 4 ตามลำดับ 

บทสรุปของศึกฟุตบอลโลกในครั้งนี้ที่ผมอยากพูดถึงเป็นพิเศษนั่นก็คือความสำคัญของกีฬาประเภททีมจะประสบความสำเร็จได้ถ้านักกีฬาทุกคนร่วมแรงร่วมใจเข้าไว้ด้วยกัน ทีมใดก็ตามที่มีนักเตะซูเปอร์สตาร์และฝากความหวังของชาติไว้กับคนๆ เดียวมักจะล้มเหลว โดยทีมที่ถือเป็นแบบอย่างของทีมเวิร์คในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้และประสบความสำเร็จ เช่น คอสตาริก้าและเยอรมันที่เราจะเห็นว่านักเตะทุกคนมีวินัยสูงและเล่นตามแท็คติคส์ของทีมอย่างไม่เห็นแก่ตัว ถึงแม้ทีมชาติเยอรมันจะเต็มไปด้วยสตาร์คับทีมแต่หากให้ชี้ไปว่ามีนักเตะคนใดที่ทีมใช้เขาเป็นพิเศษก็คงจะหาคำตอบได้ยาก เพราะทุกๆ คนในทีมก่อให้เกิดความสำเร็จโดยรวมแทบทั้งสิ้น อย่างเช่นคำที่เคยมีคนพูดไว้ว่าสามัคคีคือพลังนั่นเอง!! 

บทสรุปฟุตบอลโลก 2014 !!