“The Logical Song”

“The Logical Song”

(Songwriters: RICHARD DAVIES & ROGER HODGSON) 

When I was young, it seemed that life was so wonderful,
A miracle, oh it was beautiful, magical.
And all the birds in the trees, well they’d be singing so happily,
Joyfully, playfully watching me.
But then they send me away to teach me how to be sensible,
Logical, responsible, practical.
And they showed me a world where I could be so dependable,
Clinical, intellectual, cynical.

There are times when all the world’s asleep,
The questions run too deep
For such a simple man.
Won’t you please, please tell me what we’ve learned
I know it sounds absurd
But please tell me who I am.
    
Now watch what you say or they’ll be calling you a radical,
Liberal, fanatical, criminal.
Won’t you sign up your name, we’d like to feel you’re
Acceptable, respectable, presentable, a vegetable!
    
At night, when all the world’s asleep,
The questions run so deep
For such a simple man.
Won’t you please, please tell me what we’ve learned
I know it sounds absurd
But please tell me who I am.

 

    นึกถึงครั้งวัยเยาว์ช่างเขลานัก    เคยทึกทักชีวาน่าสุกใส    
    ช่างเลิศล้ำอัศจรรย์ทุกวันไป    เห็นแมกไม้วิหคร้องแล้วมองกัน
    จวบถึงวันไปโรงเรียนเขาเพียรสอน    ให้สังวรในความจริงทิ้งความฝัน
    ให้รู้จักคิดรับผิดชอบตอบโจทย์พลัน    ทุกสิ่งอันมีหลักคิดทฤษฎี
    แล้วเขาโชว์ให้เห็นโลกที่โหดหิน    มุ่งหากินแย่งแก่งแข่งศักดิ์ศรี
    โลกแบบที่เขาเห็นเป็นของดี    ว่าแบบนี้จึงจัดว่าอนามัย
    บางเวลายามโลกเข้าโหมดหลับ    ใจฉันกลับเกิดคำถามตามสงสัย
    นึกฉงนตนพากเพียรเรียนอะไร    บอกได้ไหมฉันคือใครในโลกา
    พึงระวังวาจาจะพาผิด    อาจเป็นพิษถูกโยนโดนกล่าวหา
    หัวรุนแรงซ้ายจัดฝังคลั่งอัตตา    ต้องถูกด่าถูกประณามหยามเหยียดพลัน
    หรือเธอจะลงชื่อเข้าร่วมหมู่    ให้เขารู้สึกเธอเป็นเช่นกับฉัน    
    น่ายอมรับนับถือเลื่องลือกัน    ว่าเรานั้นเป็นผักไซร้ไร้ปัญญา
    ครั้นตกดึกทั่วโลกาพากันหลับ    ใจฉันกลับเกิดคำถามให้ตามหา
    ฉันสงสัย ได้อะไรในวิชา    ที่เรียนมาใครตอบบอกฉันที
    ฉันอยากถามตรงๆ เพราะสงสัย    โปรดอภัยในคำถามอย่าเบือนหนี
    บอกฉันหน่อยตามตรงท่านคนดี    ว่าฉันนี่คือใครได้ไหมเอย

สำหรับหลายคน การตั้งคำถามเชิงไม่เห็นด้วย เป็นการแสดงออกถึงการเป็นขบถ หัวรุนแรงเป็นสิ่งที่นำไปสู่ความแตกแยก ยากต่อการปกครองหรืออยู่ร่วมกันโดยสงบสันติ แต่สำหรับ Supertramp วงดนตรีอังกฤษแท้ๆ ที่ไปโด่งดังประสบความสำเร็จในอเมริกา การคิดต่างเห็นต่าง เป็นความท้าทายและทำให้วงพัฒนา 

ที่พูดแบบนี้เพราะสมาชิกหลักสองคนของวงคือ ริก เดวีส์ กับโรเจอร์ ฮอจ์ดสันนั้นมีรสนิยมทางดนตรี ทัศนคติ และวิธีคิดแตกต่างกันมาก เดวีส์ เติบโตจากชนชั้นแรงงานและชอบเพลงบลูส์กับแจ๊ส ในขณะที่ฮอจ์ดสัน เติบโตมาในครอบครัวผู้มีอันจะกิน จบในสายธุรกิจดนตรีโดยตรง มาสายพ็อพ

ทั้งคู่มีข้อตกลงคล้ายๆ พอล แมคคาร์ทนีย์ และจอห์น เลนนอนครับ คือไม่ว่าใครจะแต่งเพลงอะไรมา จะใส่เครดิตไว้เป็นชื่อ เดวีส์และฮอจ์ดสัน เสมอ เหมือนอย่างเพลงนี้มีชื่อของทั้งสองคน แต่หลักๆ คนแต่งมีแค่คนเดียว เพียงแต่เขาไม่พูดนะ ต้องเดาเอาเองว่าใคร

แทนที่ความแตกต่างทางความคิดและรสนิยมจะเป็นอุปสรรคในการทำงาน กลับเป็นตัวเสริมครับ เพราะต่างฝ่ายจะแข่งกันแต่งเพลงให้ดี และต่างคนต่างต้องยอมรับกับการตั้งคำถามท้าทายของอีกฝ่ายในเพลงที่เขียนมา

The Logical Song เป็นหนึ่งในผลงานจากความเห็นต่างที่ประสบความสำเร็จที่สุดของพวกเขา แต่อัลบั้มเองยังเป็นอัลบั้มอันดับหนึ่งที่ออกจำหน่ายในปี 1979 ช่วงที่เป็นรอยต่อของยุค 70’s กับ 80’s ยุคที่โลกเริ่มวิ่งแข่งกันพัฒนาอุตสาหกรรม เริ่มรู้จัก Globalization 

ทุกอย่างเริ่มเป็นอุตสาหกรรม ทั้งอาหารกระป๋อง ของสำเร็จรูป เสื้อผ้า ของใช้ ไปจนถึงดนตรี หรือแม้แต่ระบบการศึกษาก็ถูกปรับให้กลายเป็นกระบวนการให้คนคิดเหมือนๆ กัน เพื่อเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งในระบบการผลิต เพลงนี้จึงตั้งคำถามว่า ถ้าเราต้องการให้ทุกคนคิดเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน แล้วการศึกษาจะมีประโยชน์อะไร

มีพระหลายรูปตั้งข้อสังเกตว่า การศึกษาที่ดีที่สุดในทางโลก สอนให้คนค้นหาตัวตนที่ดีที่สุดเจอ แต่การศึกษาแบบพระพุทธเจ้า บอกวิธีให้เราค้นพบความจริงว่าแท้จริง “ตัวตน” ไม่มีในโลก มีแต่ในความคิดเรา เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่จิตเราสร้างขึ้น แล้วยอมรับต่อๆ กันมา

ไม่ว่าจะเรื่องชาติ หรือสิทธิในการเป็นเจ้าของอะไร ตั้งแต่ชื่อ นามสกุล ที่ดิน รถ บ้าน ตำแหน่ง มันสมมุติเอาทั้งนั้นนะครับ ลองสังเกตดู กระทั่งสามีภรรยาจริงๆ ก็สมมุติเอานะ อาศัยพิธีอาศัยกระดาษใบหนึ่งตีตราไว้แค่นั้นเอง 

แต่พระท่านไม่ได้สอนให้ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ เพราะสมมุติก็เป็นความจริงอย่างหนึ่งในโลก เพียงแต่ท่านสอนให้มีสติ รู้ทันว่า อะไรคือสมมุติ เพื่อจะได้ไม่ติดสมมุติ ไม่ทุกข์เพราะสมมุติ เห็นไหมครับ มองต่าง เห็นต่าง แต่ไม่ขัดแย้ง

สุขสันต์วันที่ทางสายกลางนั้นมีอยู่ แต่เราจะรู้และมองเห็นหรือไม่เท่านั้นเองครับ 

 

เพื่อการตื่นรู้และตั้งคำถาม