วิรชา ดาวฉาย

วิรชา ดาวฉาย

ไม่สงสัยเลยว่าทำไมคุณอุทิศ เหมะมูล ถึงแนะนำให้เรามาทำความรู้จักเขาคนนี้ เพราะแค่ช่วงระยะเวลาเพียงไม่นานที่ได้พูดคุยกัน พลังงานที่คอยขับเคลื่อนความฝันและความสุขได้ถูกส่งผ่านมายังคนรอบตัว จนสามารถรับรู้ได้ถึงแก่นแท้ของตัวตน สะท้อนให้เห็นถึงผลงานทั้งในแง่ของงานเขียน งานเพลง และงานศิลปะ รวมถึงความคิดที่ผ่านการตกผลึก ... คุณวิรชา ดาวฉาย Project Manager แห่งคลื่น 97.5 Seed FM เจ้าของผลงานหนังสือ ‘ฝนเอยทำไมจึงตก’ และหนึ่งในเจ้าของสำนักพิมพ์เยติ

รู้จักกับคุณอุทิศ เหมะมูล ได้อย่างไร

โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เคยเจอกัน 1 ครั้งถ้วนในชีวิต ที่งานหนังสือ ตอนเอาหนังสือไปส่ง แต่ก็รู้จักพี่อุทิศผ่านทางผลงานการเขียนของเขา แล้วเราก็เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊ก ซึ่งพี่อุทิศก็ช่วยอ่านงานแล้วก็ช่วยวิจารณ์งานให้เป็นอย่างดี

การเขียนช่วยให้จัดระบบความคิดดีขึ้นไหม

ไม่ค่อยนะ (หัวเราะ) ในวัยเด็กเราจะมีวิธีการคิดกับการเขียนแบบหนึ่ง คือจะพยายามถ่ายทอดสิ่งที่มีอยู่ให้มันพรั่งพรูออกไป จับนู่นมาผสมกันให้มันสนุกที่สุด เหมือนการเอาดินน้ำมาโปะๆ เอาภาษาแบบนี้ให้มันสวย แต่พอโตมาเราก็จะมีการคิด การเขียนอีกแบบหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นเพราะเราได้ใช้ชีวิตกับศิลปะแขนงอื่นๆ มา เราจึงเลือกแกะสลักให้เหลือเท่าที่จำเป็นกับตัวงานของเราเท่านั้น

ทำไมต้อง ‘ฝนเอยทำไมจึงตก’

ปกติแล้วรวมเรื่องสั้นมักจะหยิบชื่อเรื่องสั้นเด่นๆ มาตั้ง เราก็จะทำอย่างนั้น แต่ทั้งเล่มมันไม่มีชื่อเรื่อง ‘ฝนเอยทำไมจึงตก’ เอาเข้าจริงแล้วมันเป็นเหมือนเทคนิคในการนำเสนอแบบนึง เมื่ออ่านไปแล้วอาจจะรู้สึกว่าแต่ละเรื่องมีความคล้ายคลึงกัน พูดถึงเรื่องความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ว่าทั้งหมดทั้งมวลแล้วมันก็เหมือนวันฝนตก ในแต่ละวันฝนที่ตกลงมาขนาดเม็ดมันไม่เท่ากัน จึงเป็นเหมือนปรากฏการณ์ของความเชื่อที่เกิดการยักย้ายถ่ายเท 

นอกจากนี้ ‘ฝนเอยทำไมจึงตก’ เป็นเพลงพื้นบ้านที่เราร้องกันตอนเด็กๆ รวมเรื่องสั้นชุดนี้ทั้ง 10 เรื่องมันมีความสัมพันธ์กันผ่านตัวละครและเหตุการณ์ เริ่มแรกของเรื่องเริ่มด้วยฝนตกที่ลอนดอน และเรื่องสุดท้ายก็จบที่ฝนตกในลอนดอน แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่างกันมหาศาล ทั้งในมิติของตัวเนื้อเรื่องและอารมณ์ เป็นการตั้งคำถามกับบริบทความเชื่อในชีวิต ตั้งแต่ความเชื่อในเรื่องศาสนาไปจนถึงเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ ซึ่งแต่ละเรื่องก็มีความหนักเบาไม่เท่ากัน ด้วยเหตุนี้จึงเลือกคำนี้ขึ้นมาใช้เพื่ออธิบายภาพของรวมเรื่องสั้นชุดนี้ เราไม่ได้มองว่ามันเป็นแค่หนังสือเล่มเดียว แต่มองว่าเป็น ‘Conceptual Art’ ชิ้นนึง

เคยตั้งคำถามกับตัวเองไหม

ก็ตั้งตลอดนะ ตั้งทุกวัน แล้วก็ได้คำตอบใหม่ๆ ทุกวัน ถ้าอ่าน MiX MIGAZINE ก็คงได้คำตอบเหมือนกัน (ยิ้ม)

กับอีกหนึ่งบทบาทที่นอกจากเขียนหนังสือของคุณคือ

จะเป็นในด้านงานเพลง ตอนนี้ก็เป็นเด็กฝึกงานของทีม Mango ซึ่งเป็นทีมที่ Produce งานให้ Bodyslam, Big Ass, No more tear และวงร็อกอื่นๆ ผมเองก็มีพี่กบ Big Ass เป็นอาจารย์ ไปฝึกเขียนเพลงกับเขาตอนสมัยเรียน นี่ก็หัดมา 8 ปีแล้ว (ยิ้ม) อย่างเพลง เรือเล็กควรออกจากฝั่ง ผมก็ช่วยเขียนบางท่อน

วิรชา ดาวฉาย
วิรชา ดาวฉาย

แล้วช่วงชีวิตที่ลอนดอนเป็นอย่างไรบ้าง

ก็ไปอยู่มาปีครึ่ง ผมไปเรียนปริญญาโทที่นั่น เรียนการแสดง ซึ่งมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะสมัยใหม่ ทุกเช้าที่เราเดินไปเรียนก็จะมีคนแต่งตัวเป็นปีเตอร์แพนเดินมาขอไฟแช็กเป็นอย่างนี้ทุกวันเลย ทำให้เห็นว่ามีคนประหลาดๆ เต็มไปหมด หรืออย่างผลงานของบ้านเราก็มักจะคิดว่าทำยังไงให้มันขายได้ แต่ที่นั่นงานที่จะได้ออกแสดง มันต้องเป็นงานที่ใหม่หรือสุดแล้วจริงๆ 

นอกจากนี้ยังได้ค้นพบว่า บ้านเราชอบหาสิ่งใหม่ๆ กัน ถูกสอนมาว่าให้ออกไปคิดนอกกรอบ แต่สำหรับที่นั่นมันไม่มีสิ่งใหม่ เพราะสิ่งใหม่มีคนเอาไปทำหมดแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ใหม่ที่สุดคือการกลับไปที่ตัวเอง ตัวเราเองนั่นแหละที่ใหม่ ทุกคนมีความ Individual หมด ตอนนั้นผมจึงทำงาน Performance Art เป็นแนว Pop Buddhism Art คือเป็นงานศิลปะพุทธศาสนาในแบบป็อปๆ แล้วก็ได้รางวัล UK Young Artist

แสดงว่าคุณก็มีความเป็นตัวของตัวเองอยู่พอสมควร

ผมว่ามันไม่จริง ผมไม่เคยใช้คำว่าเป็นตัวของตัวเองเลย เพราะรู้สึกว่าที่บอกกันว่าเป็นตัวของตัวเอง สุดท้ายแล้วเราก็โดนหลอมจากอย่างอื่น เช่น ตื่นเช้ามาจะใส่เสื้อตัวไหน เราก็ต้อง Remind ว่าแบบไหนดีหรือเหมาะกับเรา ซึ่งเราอาจจะเคยเปิดอ่านจากนิตยสารเล่มนึงหรือเห็นในหนังเรื่องนึงมาแล้วก็ได้ ผมคิดว่าทุกวันนี้เราอยากเป็นตัวของตัวเองกันมากเกินไปจนเราลืมไปว่าทุกอย่างมันได้สั่งสมความรู้รสนิยมแล้วส่งต่อกันมากกว่าที่จะเป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าเรื่อง ‘เอาแต่ใจตัวเองนั้น ใช่ ผมเป็น’ (หัวเราะ)

มีโปรเจ็กต์อะไรที่กำลังจะทำบ้างหรือหรือเปล่า

อยากจะเขียนหนังสือเป็นอาชีพให้ได้ นี่เป็นเป็นโปรเจ็กต์ที่คิดไว้ ดูเป็นไปไม่ได้ เพราะนักเขียนไทยถ้าให้เขียนหนังสืออย่างเดียวคงอยู่ไม่ได้ แต่ก็อยากทำมันให้สำเร็จ

ผมมีเพื่อนคนนึงที่เป็นแบบหนังเรื่อง Inside Llewyn Davis เขามุ่งมั่นตั้งใจจะทำเพลงโฟล์ค แต่ไม่มีบ้าน อาศัยนอนบ้านเพื่อน เวลากินก็จะกินให้น้อยที่สุด เขาเล่นกีตาร์เก่งมาก แต่ไม่ยอมรับงานเล่นกลางคืน เพราะถ้าเล่นแล้วเดี๋ยวจะเหมือนคนอื่น ซึ่งมันก็ส่งอิทธิพลมาถึงเรา พอเห็นเขาแล้วก็รู้สึกว่ายังมีคนที่ยอมเอาชีวิตแลกขนาดนั้น แล้ววันนี้เราบอกว่าอยากเขียนหนังสือเป็นชีวิตแต่ทำไมเราไม่เอาชีวิตไปแลกบ้าง

นอกจากนี้ก็กำลังจะทำงานแปล ปกติวรรณกรรมเป็นอะไรที่ขายยากมาก ว่ากันว่าทำเล่มเดียวก็รอไป 3 ปี กว่าจะขายได้ แต่ผมก็จะทำ เพราะชอบ ไม่ได้มองว่าเป็นการเพื่อสนองความต้องการตัวเองหรอก จริงๆ อยากพิมพ์หนังสือที่มันมีเนื้อหาหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ ‘การเขียนหนังสือคือชีวิตของผม ผมแค่รู้สึกว่ามันเป็นความสุขของเราก็เท่านั้น’ 

ดาวฉาย Project Manager แห่งคลื่น 97.5 Seed FM