Betty Blue
Betty Blue เป็นหนังฝรั่งเศส สร้างและออกฉายปี 1986 โดยฝีมือกำกับของฌ็อง - ฌาคส์ บีนิกซ์ ตัวหนังประสบความสำเร็จดียิ่ง ทั้งในด้านรายได้และคำวิจารณ์ ได้รับรางวัลซีซาร์ (เทียบเคียงได้กับตุ๊กตาทองของฝรั่งเศส) ในสาขาหนังเยี่ยม ดารานำชาย ดารานำหญิง และสมทบชายรวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม แต่พ่ายแพ้ให้แก่ The Assault จากเนเธอร์แลนด์
พ้นจากนี้แล้ว Betty Blue ยังโด่งดังเกรียวกราวเป็นที่ร่ำลือกันมาก เกี่ยวกับฉากเลิฟซีนอันดุเดือดร้อนแรง และฉากโป๊เปลือยจำนวนมากที่ปรากฏในหนัง
ความโด่งดังอื้ออึงในฐานะหนังอีโรติกเข้มข้นจัดหนัก ดูเหมือนจะแซงหน้าบดบังคุณงามความดีอื่นๆ ของหนังไปเกือบหมด ผู้ชมจำนวนไม่น้อย (รวมถึงตัวผมสมัยเมื่อแรกได้ดูหนังเรื่องนี้) จึงโดนเปลือกนอกภาพลวงตาดังกล่าว ชักจูงให้ไขว้เขวหลงประเด็น จนกระทั่งมองข้ามผ่านเลยส่วนที่สำคัญมากสุดและเป็นแก่นสารเนื้อแท้ไปอย่างน่าเสียดาย
แท้จริงแล้ว Betty Blue สมควรนับเข้าข่ายเป็นหนังรักโรแมนติกมากกว่า ฉากรักอีโรติกต่างๆ เป็นเพียงแค่เครื่องประดับตกแต่ง เป็นส่วนประกอบที่ขับเคลื่อน เน้นให้ความรักระหว่างตัวละครเกิดความเด่นชัดยิ่งขึ้น
แง่มุมนี้ ผมเพิ่งจะมาพบเห็นจับสังเกตได้จากการดูครั้งล่าสุด
ผมควรเล่าไว้ด้วยว่า หนังเรื่อง Betty Blue มีอยู่ด้วยกัน 2 ฉบับ คือ ฉบับดั้งเดิมเมื่อปี 1986 และฉบับ Director’s Cut ที่เผยแพร่เป็น DVD ในปี 2005 โดยมีความยาวเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง (รวมแล้วตัวหนังมีความยาวประมาณ 3 ชั่วโมง)
เทียบเคียงกันแล้ว ฉบับเดิมปี 1986 ดำเนินเรื่องกระชับฉับไว รวมทั้งทิ้งร่องรอยหลายๆ อย่างให้คลุมเครือเป็นปริศนา คำบอกเล่าอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุในการกระทำต่างๆ ของตัวละคร มักจะบอกให้รู้เป็นนัยๆ และปล่อยให้ผู้ชมมีอิสระในการขบคิดทำความเข้าใจอย่างเต็มที่
ส่วนฉบับ Director’s Cut มีรายละเอียดต่างๆ ห้อมล้อมอย่างกระจ่างครบถ้วน ดูง่าย เข้าใจง่ายกว่า ผู้ชมแทบไม่ต้องถอดรหัสตีความหมายแต่อย่างไร เนื่องจากทุกสิ่งเล่าไว้ชัดหมด แต่ส่วนที่ดีก็คือ รายละเอียดซึ่งเพิ่มเติมเข้ามานั้น ช่วยให้อารมณ์โดยรวมและจังหวะจะโคนของหนัง ค่อยเป็นค่อยไป ละเมียดละไม นุ่มนวลอ่อนโยนยิ่งขึ้น
อาจเป็นเพราะเหตุผลประการหลังนี้ก็ได้นะครับ ทำให้หลังจากฉบับ Director’s Cut ออกเผยแพร่เป็นต้นมาก็กลายเป็นที่นิยมมากกว่า จนนานวันเข้า ฉบับดั้งเดิมก็ค่อยๆ เลือนหาย กลายเป็นหนังหาดูยากไปเรียบร้อยแล้ว ระยะหลังๆ จนถึงปัจจุบัน DVD เรื่อง Betty Blue ที่สามารถเสาะหามาดูได้ในบ้านเรา จึงมีเฉพาะเพียงแค่ฉบับ Director’s Cut เท่านั้น
เนื้อเรื่องของ Betty Blue นั้นเรียบง่ายธรรมดามากชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง พบกันและรักกัน ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่แล้วก็ไม่อาจประคับประคองให้ดำเนินไปได้ตลอด ต้องพบจุดจบลงเอยเป็นโศกนาฏกรรม
สาเหตุสำคัญคือ อารมณ์อันเปราะบางอ่อนไหวของฝ่ายหญิง ซึ่งพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อหากมีอะไรจากภายนอกมากระทบกระทั่งเพียงเล็กน้อย
ความน่าสนใจแรกสุดของ Betty Blue อยู่ตรงนี้นะครับ คือ เป็นเรื่องรักดาษดื่นสามัญของตัวละครที่ไม่ธรรมดา ‘ไม่ธรรมดา’ ในที่นี้ก็คือ มีความบกพร่องและผิดปกติ (จากความคุ้นเคยโดยทั่วไป)
‘เบ็ตตี้’ นางเอกของเรื่องเป็นหญิงสาวสวยและเซ็กซี่ แต่มีสภาพจิตใจแปรปรวนเหมือนคนป่วยไข้ รักแรง
เกลียดแรง ยามอารมณ์ดีก็อ่อนหวานสุดขีด ยามอารมณ์ร้ายก็เกรี้ยวกราดอาละวาดอย่างคลุ้มคลั่ง พร้อมจะปะทะแตกหักกับใครต่อใครได้ทุกเมื่อ รวมทั้งสามารถลงมือทำร้ายตัวเองหนักหน่วง เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ
ความเก่งกาจของบทหนังเรื่องนี้ก็คือ การเล่าเรื่องโดยละเว้นข้อมูลพื้นเพความเป็นมาของตัวละคร แต่เริ่มแนะนำให้ผู้ชมพบกับตัวละครจากปัจจุบันทันที จากนั้นก็ใช้เหตุการณ์รายละเอียดต่างๆ ค่อยๆ อธิบายนิสัยใจคอของเธอทีละน้อย จนกระทั่งได้ภาพที่ชัดและมีความลึก มีชีวิตเลือดเนื้อสมจริง
ที่สำคัญคือ เบ็ตตี้ในฉากแรกๆ หรือช่วงต้นเรื่อง ดูเหมือนคนเป็นโรคจิต (ซึ่งก็น่าจะเข้าข่ายอยู่บ้างพอสมควร) ที่น่าสะพรึงกลัว ดูเป็นอันตราย แต่เมื่อสัมผัสใกล้ชิดเธอมากยิ่งขึ้น เบ็ตตี้ก็กลายเป็นตัวละครที่ผู้ชมหลงรัก เอาใจช่วยสงสาร และเห็นอกเห็นใจต่อชะตากรรมที่เธอประสบพบเจอ
เบ็ตตี้มีความแปลกแยกไม่ลงรอยกับโลกรอบๆ ตัว มีความละเอียดอ่อนและนิสัยใจคอแบบศิลปิน แต่ปราศจากศักยภาพความสามารถที่จะสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยตนเอง ชีวิตจึงต้องพบพานกับความผิดหวังล้มเหลวอยู่เนืองๆ และยิ่งผิดหวังมากครั้งเพียงไร เธอก็ยิ่งบาดเจ็บสาหัสเกินกว่าจะทนทานแบกรับมันไว้ได้อีกต่อไป
ขณะที่เบ็ตตี้เป็นตัวละครที่ไม่ประนีประนอมโดยสิ้นเชิง ตัวละครฝ่ายชายคือ ‘ซอร์ก’ กลับตรงกันข้ามในทุกๆ ด้าน เป็นคนอะลุ่มอล่วย กระทั่งบ่อยครั้งก็กลายเป็นยอมจำนนต่อการโดนผู้อื่นเอารัดเอาเปรียบ ปราศจากความเชื่อมั่นในตนเอง ไร้ควาทะเยอทะยาน ทั้งๆ ที่มีความสามารถรอบตัว (โดยเฉพาะการเขียนหนังสือ) เบ็ตตี้เองกลับกลายเป็นผู้ค้นพบศักยภาพมากมายที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวของซอร์ก ปลุกเร้าผลักดันให้เขาลงมือทำสิ่งต่างๆ ก้าวข้ามพ้นจากการใช้ชีวิตเลื่อนลอยไร้เป้าหมาย มาสู่การทำความใฝ่ฝันให้กลายเป็นจริง
ในทางกลับกัน ซอร์กก็ปฏิบัติกับเบ็ตตี้ต่างจากคนอื่นทั่วไป ซึ่งมักจะมองเธอเป็นเพียงแค่วัตถุทางเพศหรือหญิงอารมณ์ร้ายสติแตก ในมุมมองของชายหนุ่ม เบ็ตตี้เป็นความงาม ความอ่อนหวาน เป็นหญิงสาวแสนดีที่เขาเทิดทูนบูชาเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งเบ็ตตี้และซอร์กต่างรักกันและกันอย่างดูดดื่ม ด้วยความรู้สึกเหตุผลที่แรงกล้าตรงกันประการหนึ่งนั่นคือ เธอและเขาต่างเป็นเพียงสิ่งเดียวสิ่งสุดท้ายที่มีอยู่ในชีวิต ซึ่งทั้งคู่ต่างรูสึกว่าเต็มไปด้วยความเคว้งคว้างว่างเปล่าอย่างถึงที่สุด
กล่าวโดยสรุป ความเป็นหนังรักที่จับอกจับใจของ Betty Blue ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างตัวละคร ‘มีตำหนิ’ ทั้งพระเอก นางเอก แล้วในระหว่างทางของความสัมพันธ์ ทั้งเขาและเธอก็ช่วยเหลือชดเชยด้านที่ขาดพร่องของกันและกัน กลายเป็นการเติมเต็มที่ทำให้ชีวิตคู่เปี่ยมความหมาย อบอุ่น สวยงาม รวมทั้งเลยไกลไปสู่อารมณ์เจ็บร้าวบาดลึกเมื่อความรักนั้นไม่อาจเป็นไปได้และไม่สามารถดำรงอยู่บนโลกใบนี้
บรรยากาศของหนังก็มีส่วนมากในการทำให้ผู้ชมรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ตลอดเวลาว่าความสุขของตัวละครที่พบเห็น ดูเปราะบางไม่มั่นคง ไม่จีรังยั่งยืน ความรู้สึกเช่นนี้นำไปสู่อีกอารมณ์หนึ่ง นั่นคือในหลายๆ ฉากของหนังที่เล่าถึงห้วงยามเปี่ยมสุขของตัวละคร สังหรณ์ลึกๆ ในใจของผู้ชม ทำให้ความสุขนั้นเจือปนด้วยความหวั่นกังวลไม่มั่นใจ กระทั่งผสมรวมกลายเป็นสุขปนเศร้า
ที่น่าทึ่งมากๆ ก็คือ ความขรุขระอัปลักษณ์เหล่านี้เมื่อบอกเล่าถ่ายทอดด้วยทักษะฝีมือชั้นสูง ผลลัพธ์โดยรวมกลับกลายเป็นความงามที่มีเสน่ห์เฉพาะได้อย่างน่าประหลาด
เลิฟซีนอันลือลั่นของหนังก็เข้าลักษณะนี้นะครับ ฉากที่น่าจะสร้างความตะลึงพรึงเพริดให้แก่ผู้ชมมากสุด คือ ฉากเริ่มเรื่อง อันเป็นเลิฟซีนที่ต่อเนื่องยาวนานพอสมควร ไม่มีการตัดภาพ แต่ค่อยๆ เคลื่อนกล้องช้าๆ จากระยะไกลจนใกล้ เห็นตัวละครถนัดชัดตา
สิ่งที่ทำให้มันกลายเป็นฉากรักที่ฮือฮาก็คือ ความรู้สึกสมจริงเป็นธรรมชาติ จนดูเหมือนไม่ใช่การแสดง ...
ผมคิดว่านัยยะสำคัญของฉากนี้ที่ขับเน้นมากเป็นพิเศษน่าจะอยู่ที่ว่า มันสะท้อนถึงเปลือกนอกสุดในความสัมพันธ์ของซอร์กและเบ็ตตี้ซึ่งรู้จักกันอย่างผิวเผิน และพึงพอใจต่อกันด้วยแรงดึงดูดทางเพศ จากนั้นความใกล้ชิดในการใช้ชีวิตร่วมกัน ต่างฝ่ายจึงค่อยเกิดผูกพันกลายเป็นความรัก
ตรงนี้สอดคล้องกับเรื่องตัวหนังเสนอความไม่เจริญหูเจริญตาบางอย่างให้กลายเป็นความสวยงามระหว่างทางในการดำเนินเรื่อง มีหลายช่วงหลายตอนที่เริ่มต้นเกิดขึ้นชวนให้รู้สึกไปในทางลบ แต่แล้วก็คลี่คลายกลายเป็นบวกได้อย่างสละสลวย
ให้สรุปนิยามอย่างรวบรัด ผมคิดว่า Betty Blue เป็นหนังรักโรแมนติกที่สวยมากๆ เรื่องหนึ่ง สวยทั้งตัวเนื้อเรื่องเหตุการณ์ อารมณ์ ความรู้สึกที่หนังถ่ายทอดออกมา
รวมทั้งบรรยากาศ ภาพ และเสียงทุกฉากทุกตอนที่ปรากฏในหนังเลยจริงๆ