ธีรศิลป์ แดงดา

ธีรศิลป์ แดงดา

เด็กผู้ชายส่วนใหญ่รักที่จะเล่นฟุตบอล แต่มีไม่กี่คนที่จะใช้ฟุตบอลกรุยทางอนาคตได้อย่างจริงจังมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งเขาเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เลือกทำในสิ่งที่รักและเดินตามความฝันพร้อมกับหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบควบคู่ไปด้วยกันได้อย่างลงตัว หลายคนพากันคาดเดาอนาคตของเขาล่วงหน้า แต่สำหรับเขาแล้วเพียงปลายทางที่ว่านั้น ... ไปให้ถึงเป้าหมายของชีวิตก็พอ

 ธีรศิลป์ แดงดา ถือเป็นเด็กหนุ่มที่มีความทะเยอทะยานในกีฬาฟุตบอลอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงเพ้อฝันเท่านั้น แต่เขาเลือกที่จะทำตามความฝันในเส้นทางสายฟุตบอลที่เขารักนั้นให้เป็นจริง ตั้งแต่เริ่มจับฟุตบอลเมื่อ 7 ขวบ เขาบอกกับตัวเองว่า ‘ในเมื่อเป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์ จึงต้องชดเชยมันด้วยพรแสวง’ ความมุมานะและแน่วแน่มาตลอดตั้งแต่นั้น ทำให้เขาติดทีมชาติตั้งแต่อายุ 19 และยังไม่เคยหลุดจากรายชื่ออีกเลย ที่สำคัญเขายังได้มีโอกาสได้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ในช่วงระยะเวลาหนึ่งจากทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้และทีมแอตเลติโก้ มาดริด ซึ่งอีกไม่นานนี้เขาก็กำลังจะได้เข้าไปร่วมทีมอัลเมเรีย ถือเป็นความท้าทายอีกครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา

“มันดีใจนะในหลายโอกาสที่เข้ามาในชีวิต ส่วนที่มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ได้เลยจริงๆ ก็คือเมื่อครั้งที่ได้ลงแข่งในฐานะทีมชาติไทยครั้งแรกชุดใหญ่ (รายการชิงแชมป์เอเชีย) ผมพยายามอย่างมากทำทุกอย่างที่จะให้ตัวเองมีชื่อติด ถึงแม้ถ้าไม่ได้ลงเล่น
ผมก็ยังดีใจ จนผมได้เปลี่ยนลงเล่น 10 นาที ผมจำความรู้สึกช่วงเวลานั้นไม่ได้เลย มันพร่าเลือน เบลอไปหมด เหมือนความฝัน มันตื่นเต้นทุกอย่างเลย มันเป็นครั้งเดียวที่เกิดขึ้นกับผม ซึ่งผมก็อธิบายไม่ได้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน ... แต่ผมเชื่อว่ามันเป็นช่วงจังหวะชีวิตที่ดี

“ตอนนั้นผมเรียนจบมัธยมพอดี เป็นช่วงที่ต้องตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะต้องเรียนต่อหรือจะยังไง เพราะตอนนั้นฟุตบอลมันก็ยังไม่ได้เป็นอาชีพ พอมีโอกาสติดทีมชาติเหมือนมันก็ยิ่งชัดเจนเลยว่า ฟุตบอลนี่แหละคือเส้นทางของผม แต่ผมก็ไม่ได้ทิ้งการเรียนนะ ก็เรียนต่อ เพียงแต่เราชัดเจนกับกีฬาฟุตบอลมากขึ้น” 

แน่นอนว่าการที่เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกซ้อมกับทีมใหญ่ๆ รวมถึงจะได้เข้าร่วมทีมกับอัลเมเรียในครั้งนี้ ท่ามกลางความชื่นชมยินดี ก็มักมีเสียงบางอย่างที่คอยกดดันและทิ่มแทงใจเป็นธรรมดา ซึ่งเขาเองก็มองว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะเขาไม่คิดที่จะตั้งเป้าหรือคาดหวังอะไรมากมาย ขอเพียงใช้โอกาสนี้แล้วทำให้เต็มที่ดีที่สุดก็พอ เขาไม่สนว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และไม่ว่าสุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร จะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวหรือไม่ ตัวเขารับได้เสมอ 

“ผมเชื่อว่านักฟุตบอลจะรู้ตัวเองหากถ้าวันหนึ่งเราพลาด เราก็ยอมรับกับมันได้ แต่ในส่วนของการให้กำลังใจ อันนี้สำคัญมากกว่า เสียงอะไรก็ตามไม่มีทางทำอะไรผมได้ เพราะผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ อย่างตอนที่ผมได้มีโอกาสได้ไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้และแอตเลติโก้ มาดริด นั้น ผมได้ไปเรียนรู้ฟุตบอล เห็นว่าเขาซ้อมกันอย่างไร เขามีวิธีการแนวคิดกันอย่างไรตั้งแต่ชุดเยาวชนไปถึงชุดใหญ่ เราได้เห็นความพยายามของพวกเขา ที่นั่นตอนซ้อมเขาจะเต็มที่ เพราะ ‘ตอนซ้อมมันผิดพลาดได้ แต่เวลาลงสนามแข่งจริงมันพลาดไม่ได้’ ผมได้เห็นว่าการที่พวกเขาประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน ‘คุณซ้อมมา 50% แล้วมารอแข่งเพื่อ 100% มันเป็นไปไม่ได้’ สิ่งเหล่านี้ก็พยายามเอากลับมาใช้ให้ได้มากที่สุด

“ไทยเรายังห่างชั้นกับลีกต่างประเทศมากนะ ห่างในเรื่องของทักษะในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งมันจะมีรายละเอียดมาก เราจึงจำเป็นต้องได้รับการเรียนรู้และพัฒนา ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา แต่หลักๆ ก็เป็นเรื่องทัศนคติและการฝึกซ้อม ในเมื่อวันนี้เราก้าวขึ้นมาเป็นฟุตบอลอาชีพกันแล้ว เราต้องดูว่าเมืองนอกเขามีวิธีการอย่างไร ต้องดึงข้อดีข้อเสียเหล่านั้นมาปรับใช้อย่างจริงจัง ทุกองค์ประกอบมันสำคัญหมดที่ต้องมีการพัฒนา

“ดังนั้นในเมื่อผมเป็นคนหนึ่งที่โชคดีได้มีโอกาสไปเรียนรู้ประสบการณ์จากทีมต่างประเทศ ผมจึงต้องเก็บเกี่ยวความรู้มาให้ได้มากที่สุด เพราะอยากมีส่วนในการถ่ายทอดหรือส่งเสริมให้รุ่นต่อไปได้นำไปใช้ แม้ว่าวันหนึ่งจะไม่ได้เป็นผู้เล่นแล้วแต่ก็ยังหวังว่าเป็นอะไรก็ได้ที่จะมีส่วนช่วยในการพัฒนาฟุตบอลไทยได้ต่อไป

“ตลอดเส้นทางฟุตบอลที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าถ้าเราทำในสิ่งที่เรารัก เราจะมีความสุขแล้วจะไม่ท้อกับมัน ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนในตอนซ้อม ก็ต้องอดทนและพยายามทำมันให้เต็มที่ แล้วเราต้องแน่ใจแล้วว่านี่คือสิ่งที่เรารักจริงๆ เมื่อวันหนึ่งจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว เราก็จะต้องยอมรับให้ได้ มันจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ยังรักในสิ่งที่เราทำ สำหรับตัวผมเองไม่เคยคิดว่าผมอยู่เหนือคนอื่น ผมอยากเก่ง อยากพัฒนากว่านี้ในทุกๆ ด้าน ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ผมให้คะแนนตัวเอง แค่ 5 / 6 / 7 จาก 10 คะแนนเท่านั้น 

“สิ่งที่ยากที่สุด คือ การรักษามาตรฐานของตัวเอง แต่ผมจะพยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เราต้องคิดว่ายังไม่ใช่ที่สุด เรายังทำได้ดีกว่านี้ ง่ายที่สุดก็คือทำงานให้หนัก ซ้อมให้หนัก ซ้อนจนร่างกายมันเป็นไปอย่างอัตโนมัติ เพื่อให้มีการผิดพลาดน้อยลง ที่สำคัญต้องไม่เจ็บ ร่างกายต้องไม่บอบช้ำ ดูแลตัวเองให้ดี เเละต้องมีทัศนคติที่ดีต่อฟุตบอล มีวินัยทั้งในและนอกสนามด้วย” 

แน่นอนพรสวรรค์เป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าลืมว่าคนที่มีทั้งพรสวรรค์แต่ยังพัฒนาด้วยพรแสวงเขาจะเป็นคนที่อยู่ข้างหน้าคุณเสมอ! 

Know Him 

แรงบันดาลใจในการเล่นฟุตบอลของเขาคือคุณพ่อ 

Idol ของเขาก็คือ ซีดาน  อองรี และ เบิร์กแคมป์ ซึ่งเขาไม่ได้ดูแค่ในสนามเท่านั้น เขายังดูชีวิตนอกสนามด้วย เพื่อให้เห็นถึงการวางตัว และการเล่นของมืออาชีพ

ส่วนทีมที่เชียร์ถ้าเป็นลีกอังกฤษ เขาเลือกเชียอาร์เซนอล “ผมมองว่านโยบายเขาเจ๋งดี ให้โอกาสเด็กได้ลง ซึ่งตอนนั้นเมืองไทยยังมองว่าอายุ 18 -19 นี่รอไปก่อน ผมเลยต้องฮึดฝึกซ้อมให้หนักๆ เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ผมเชื่อว่า ‘ถ้าผมเก่งพอ ผมก็แก่พอ’

ส่วนฟุตบอลโลกครั้งนี้แม้จะขอเป็นเพียงผู้ที่คอยดูเทคนิคจากเหล่านักเตะก็พอ แต่ลึกๆ แล้วเขาก็เชียร์ทีมสเปนอยู่ดี

 

ลูกบอลหมุนชีวิต