The Amazing Spider-Man 2
ผมเฝ้ารอภาคต่อของ The Amazing Spider-Man ในเวอร์ชั่นของ Andrew Garfield จากปี 2012จนมาถึงปีนี้ ... ไอ้แมงมุมมาแล้วววว ผมติดตาม Spider-Man มาหลายภาคครับ ทั้งการ์ตูนทั้งหนังแต่ในแบบฉบับของ Marc Webb เป็นอะไรที่ผมประทับใจสุด เพราะเขาเดินเรื่องใกล้เคียงกับหนังสือการ์ตูนดั้งเดิมมากที่สุดซึ่งถ้าย้อนไปในยุค 60 มีซูเปอร์ฮีโร่เกิดขึ้นมากมายในยุคนั้น ซึ่งล้วนมีที่มาจากเหตุการณ์สำคัญๆของโลกไม่ว่าจะเป็นสงครามโลก สงครามเวียดนาม ฯลฯ รูปแบบและบทบาทต่างๆ จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจทำให้ซูเปอร์ฮีโร่ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ใหญ่ เศรษฐี หรือนักวิทยาศาสตร์ ส่วนตัวละครที่เป็นวัยรุ่นจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นผู้ช่วยพระเอกเท่านั้น (อย่างโรบินในเรื่อง Bat Man)แต่สำหรับ Spider-Man ถูกสร้างขึ้นมาด้วยแนวคิดที่แตกต่างออกไป ครั้งแรกที่โลกได้รู้จัก ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์บนปกนิตยสาร Amazing Fantasy ปี 1962 จากไอเดียของ Stan Lee ลายเส้นโดย Steve Ditko ...
มาว่ากันที่เรื่องราว เริ่มต้นที่ ดร.ริชาร์ด ปาร์คเกอร์ และภรรยา พยายามหลบหนีจากการตามล่าพร้อมกับนำเอางานวิจัยล้ำค่าที่สามารถเปลี่ยนโลกในทางที่ดีหรือเลวร้ายได้ไปด้วย แต่ก็ได้ส่งต่อความลับนี้เอาไว้กับลูกชายคนเดียวซึ่งก็คือ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ตัดกลับมาที่นิวยอร์ก สไปดี้ ยังคงไต่ตึกไล่จับผู้ร้าย ซึ่งในตอนต้นนี้สไปดี้ได้ช่วย Max Dillon (Jamie Foxx) ชายผู้ไร้ตัวตนในสังคมใหญ่จากอันตรายและ Max กลายเป็นแฟนพันธุ์แท้สไปเดอร์แมน แต่โชคชะตาพาให้ Max กลายเป็น Electroยอดวายร้ายที่สามารถควบคุมพลังงานไฟฟ้าไปซะได้ ด้าน Green Goblin หรือว่า Harry Osborn (Dane DeHaan)เพื่อนซี้วัยเด็กของปีเตอร์ก็กลับมารับมรดกกิจการยักษ์ใหญ่อาณาจักร Oscorp แทนพ่อแต่นอกจากนั้นแล้ว แฮร์รี่ยังได้โรคร้ายจากพ่อมาอีกด้วย ซึ่งแฮร์รี่เชื่อว่าเลือดของสไปเดอร์แมนสามารถช่วยชีวิตเขาได้แต่เมื่อทุกอย่างไม่เป็นดังใจ แฮร์รี่จึงร่วมมือกับ Electro เพื่อเล่นงานสไปเดอร์แมน ...
ถ้าถามว่าดู 4DX เรื่องไหนดี ผมตอบไม่ยากเลยครับ The Amazing Spider-Man 2 แน่นอนเพราะมีทั้งฉากไต่ตึก Action ภาพแทนสายตาที่พาเราสนุกไปกับตัวละครพร้อมกับเอฟเฟ็คต่างๆ พูดถึงสัญลักษณ์ของหนังก็มีให้ได้ตีความกันครับ เราจะเห็น ‘นาฬิกา’ ในฉากสำคัญๆ ของเรื่องเต็มไปหมด ทั้งนาฬิกา ทั้งการกระโดดข้ามตึกวนไปมาเหมือนเข็มนาฬิกา เราเรียกว่า Jump Clock นั้นสื่อถึงวังวนของสไปเดอร์แมน ที่ติดอยู่กับอะไรบางอย่างทั้งคำสัญญาที่ให้กับพ่อของ เกว็น สเตซี่ (Emma Stone) ว่าจะรักษาระยะห่างเพื่อไม่ให้ เกว็น ต้องตกเป็นเป้าของเหล่าผู้ร้ายที่อาจจะทำอันตรายเธอได้ ทั้งพลังที่มาพร้อมกับหน้าที่ และความลับในอดีตตัวตนของตัวเองและ “สีแดง” ของสไปเดอร์แมน หมายถึง พลังขับเคลื่อนแห่งความดี และความหวังว่าธรรมะจะชนะอธรรม ...