Super 8

Super 8

ผิดหวังเพราะคาดหวังที่แตกต่าง แต่ไม่ใช่เป็นเพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ดีหรือไม่สนุก แต่คิดว่าคำๆ นี้น่าจะเป็นคำบรรยายความรู้สึกของผมได้ชัดเจนที่สุด ณ เวลานี้

 

เหตุผลง่ายๆ เพียง 2 ข้อจากผมเห็นหน้าหนังครั้งแรกก็เพียงพอที่จะคาดหวังว่า หนึ่ง เป็นเพราะชายที่ชื่อ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ทำหน้าที่เป็นโพรดิ๊วเซ่อร์ สองคือผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ชื่อ เจ.เจ. เอบรัมส์ ชายผู้ซึ่งฟื้นคืนชีพให้กับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มาแล้วสองเรื่อง คือ Mission: Impossible 3 และ Star Trek ซึ่งทั้งสองเรื่องถือว่าเขาทำได้ดี และสนุก น่าติดตาม

 

Super 8 หรือถ้าจะเรียกอีกมุมหนึ่งก็คือเป็นหนังที่มีสัตว์ประหลาดต่างดาวเป็นตัวลึกลับให้คนดูได้ค้นหาตลอดเรื่อง ทั้งหมดเริ่มต้นมาจากเด็ก 6 คน ในเมืองเล็กๆ ของรัฐไอดาโฮ ช่วงปี ค.ศ. 1979 ที่ต้องการจะมีหนังสืบสวนสอบสวนแนวซอมบี้เป็นของตัวเองสักเรื่อง แต่แล้วทั้งหมดก็ต้องตกอยู่ในเหตุการณ์ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง เพราะรถไฟที่แล่นมาเกิดระเบิดและตกราง เป็นเหตุให้พวกเขาต้องหนีตายกันอย่างจ้าละหวั่น แต่หนึ่งในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดก็คือ ในรถไฟบรรทุกสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน และกล้องซุปเป้อร์ 8 ของพวกเขาสามารถจับภาพเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ได้

 

ถ้ามองแค่นั้น แก่นของเรื่องก็น่าจะเป็นภาพยนตร์ไซไฟที่อลังการล้ำๆ หรือประเภทต่างดาว สัตว์ประหลาดบุกเมือง และถล่มกันให้ราบเป็นหน้ากลองแบบสะใจ แต่ความเป็นจริงแล้ว Super 8 ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่มีซุปเป้อร์ฮีโร่ที่มีพลังพิเศษมาช่วยโลก ไม่มีอุปกรณ์วิเศษไหนที่จะมาหยุดยั้งสัตว์ประหลาด แต่ Super 8 มีแก่นชัดๆ เพียงเรื่องราวของครอบครัวที่มีรอยร้าว และพร้อมจะถูกผสานหากมีสถานการณ์ที่เป็นใจเกิดขึ้น

 

Super 8 มุมหนึ่งก็คล้ายๆ กับ E.T. ที่เป็นประเด็นสำคัญทั้งหมดไม่ใช่เรื่องของมนุษย์ต่างดาว หากแต่เป็นเรื่องของความรักระหว่างครอบครัว ระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่เมื่อไรก็ตาม เรามองเห็นถึงความสำคัญของคนรอบข้าง ใส่ใจ และเอาใจใส่ ทุกสิ่งอย่างที่เคยเป็นปัญหา หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็จะลดลงและจางหายไปอย่างไม่รู้ตัว

 

นักแสดงรุ่นเด็กที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ่ายทอดความต้องการของตัวละครแต่ละตัวออกมาได้อย่างน่าค้นหา โดยเฉพาะบทบาทของ อลิซ (แอล แฟนนิ่ง จากภาพยนตร์เรื่อง Somewhere ใครที่คุ้นหน้าเธอคงไม่แปลกเพราะเธอเป็นน้องสาวของ ดาโกต้า แฟนนิ่ง) การแสดงของเธอทั้งในหนังและหนังซ้อนหนังนั้น ให้ความรู้สึกแตกต่างได้เป็นอย่างดี แววตา สีหน้า รวมถึงพลังที่ดึงดูดผู้ชมให้จมลึกไปกับตัวละครที่เธอแสดง เธอทำได้ดีครับ

 

ในส่วนฉากแอ๊คชั่นที่ตื่นเต้นนั้น หลังจากดูไปได้สักพักก็จะทราบได้ว่ามันไม่ใช่ไซไฟประเภทยิงกันสนั่นจอ หรือไล่ล่าต่างดาวกันแบบดุเดือด ความอ่อนของบทตรงส่วนนี้ทำให้หนังลดความน่าสนใจมากทีเดียวครับ

 

อีกจุดหนึ่งที่เป็นส่วนทำให้รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างก็คือ บทคลายปมของหนัง เนื้อเรื่องที่ถูกปูมาให้ลึกลับ และชวนติดตาม แต่บทเฉลยกลับเบาบางและขาดความน่าตื่นเต้นไปมาก ตัวละครที่ถูกมองว่าเป็นตัวร้ายในเรื่องก็ถูกกำจัดได้อย่างไม่น่าสนใจ แถมต่างดาวลึกลับก็ได้กลับบ้านอย่างง่ายๆ ซึ่งหากซ่อนเงื่อนไขบางอย่างเพิ่มขึ้นไปอีก หนังน่าจะดูชวนฉงนสงสัย และน่าติดตามมากกว่านี้ครับ

 

นักแสดงเด็กอื่นๆ อย่าง แจ๊คสัน แลมป์ (ไคลี แซนด์เลอร์) โจ แลมป์ (โจเอล คอร์ทนีย์) ที่รับบทเป็นพ่อลูกกัน ก็เหมือนจะทำได้ดี แต่การดึงให้คนดูรู้สึกเชื่อว่า สองพ่อลูกผูกพันกันมากพอ ยังน้อยเกินไป ส่วน ชาร์ลส์ (ไรลีย์ กริฟฟิธ) หัวโจกจอมอ้วน และเพื่อนร่วมขบวนการคนอื่นๆ อย่างเช่น แครีย์ (ไรอัน ลี) มือระเบิดประจำทีม, เพรสตัน (แชค มิลส์), มาร์ติน (แกเบรียล แบสโซ) เด็กทั้งหมดกับฉากรถไฟให้ความรู้สึกเหมือนภาพยนตร์เรื่อง Stand by Me ของ ร็อบ ไรเนอร์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของครอบครัวและเพื่อนฝูง

 

ในตอนท้ายหลังเหตุการณ์ทั้งหมดจบลง หนังมีของแถมให้คนดูได้เซอร์ไพร้ส์เล็กน้อย ใครที่อยากรู้ว่าเป็นอะไรลองติดตามชมในภาพยนตร์เรื่องนี้ดูครับ 

 

 
Super 8 มีเพียงเรื่องราวของครอบครัวที่มีรอยร้าว