ตรงกันข้ามผลิตภัณฑ์น้ำตาลที่ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมเหล่านี้จะมีสารปรุงแต่งและสารเคมีสูง อาหารเหล่านี้จัดเป็นอาหารขยะชนิดหนึ่ง เนื่องจากอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยสารเคมี ซึ่งร่างกายเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ จึงกลายเป็นขยะลอยไปลอยมาในเลือด ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายทำงานหนักขึ้น จนมีโอกาสทำงานผิดพลาด ป่วยเป็นโรคภูมิเพี้ยน ภูมิแพ้ หอบ หืดไขข้ออักเสบ รูมาตอยด์

ผู้ป่วยกลุ่มนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน แผนกผู้ป่วยนอกของแผนกเด็กตามโรงพยาบาล จึงล้นไปด้วยเด็กที่ป่วยด้วยโรคภูมิแพ้ หอบหืด เป็นหวัดเรื้อรัง เด็กบางคนป่วยบ่อยมาก บางคนต้องแอดมิตในโรงพยาบาล ถึงเดือนละ 1-2 ครั้งทุกเดือน จากสาเหตุส่วนหนึ่งก็คือ ร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากได้รับแต่อาหารขยะ

นอกจากนี้เมื่อร่างกายได้รับน้ำตาลปริมาณมากเข้าไป ร่างกายก็จะเร่งปฏิกิริยาการเผาผลาญน้ำตาลหรือแป้งมากขึ้นซึ่งกระบวนการนี้จะทำงานผ่านวงจรหนึ่งในไมโตคอนเดรียของเซลล์ ที่เรียกว่า วัฎจักรเคปป์ หรือ Kreb’s cycle ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้วิตามินบีปริมาณมากเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเคมี สมองซึ่งเป็นอวัยวะหนึ่งที่ใช้วิตามินบีมากที่สุดในร่างกาย คือ ต้องการใช้วิตามินบีถึง 20% ของความต้องการร่างกายทั้งหมด จึงมีสภาวะเหมือนขาดวิตามินบี

ในที่สุดคนผู้นั้น ก็จะมีอาการสมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย โมโหง่าย ก้าวร้าว และจะทำให้เป็นผู้ที่สมองเสื่อมเร็วกว่าปกติ เมื่อผู้นั้นมีอายุมากขึ้น ก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อมได้ง่ายกว่า

ไม่เพียงเท่านั้น ปริมาณแป้งและน้ำตาลที่ล้นเกินในอาหารกลุ่มนี้ ยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วน ไขมันเลือดสูง มีสถิติหนึ่งที่น่าสนใจ จากเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานร่วมกับ สสส. เปิดเผยผลวิจัยขนมในท้องตลาดกว่า 700 ตัวอย่าง พบว่าขนมที่ควรกินมีเพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้น กว่าร้อยละ 90 ที่เหลือเป็นตัวการทำให้เด็กไทยร้อยละ 10 เป็นโรคเบาหวาน ความดัน หัวใจ 

แม้แต่เด็กยังป่วยกันมากขนาดนี้ ไม่ต้องห่วงเลยว่าผู้ใหญ่ไม่ยอมโตทั้งหลายที่ยังชอบขนมกรุบกรอบเหมือนเด็กๆ จะเป็นอย่างไรลองเปลี่ยนความคิดกันใหม่ เทศกาลไหนก็ตาม ควรจะเริ่มด้วยสิ่งดีๆ ให้กับคนที่เรารัก และนับถือแทน น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าอย่างแน่นอน