“ประจวบคีรีขันธ์...

“ประจวบคีรีขันธ์...

ยามเช้าที่อ่าวน้อย หมู่บ้านชาวประมงอันเงียบสงบ หาดสีน้ำตาลนวลเจือกลิ่นฝนอ่อนๆ เชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนก้าวเท้าเดินสัมผัส มันไม่ได้ขาวเนียนชวนโรแมนติกเหมือนหาดท่องเที่ยวอื่นๆ แต่ก็สะอาดที่สุดเท่าที่หาดประมงเล็กๆ แห่งหนึ่งจะเป็นได้

ลอบหมึกและอวนปูก่ายกองอยู่ริมหาด ชีวิตหากินยามฤดูฝนของพี่น้องอ่าวน้อยหลงเหลืออยู่กับการซ่อมอวน แห พับม้วนเป็นทบๆ อย่างชำนิชำนาญเพื่อให้ไม่ติดเป็นปมยามคลี่กางที่กลางทะเล 

ผมนึกย้อนไปเกือบสิบปีที่มาเยือนอ่าวน้อย ครั้งนั้นแผงปลาชิ้งชั้งเหยียดยาว โดยที่มีปลายทางหลักอยู่ถึงประเทศศรีลังกา บางบ้านแน่นเต็มไปด้วยแผงหมึก หญิงชราและเด็กๆ สาละวนกับการงานตรงหน้าแทนการพร่ำสอนด้วยวาจา ส่วนพวกผู้ชายแสนกำยำ ชีวิตไกลบ้านของพวกเขานั้นอยู่กลางทะเลอ่าวไทย นาทีขึ้นฝั่งคือเรื่องของการพักผ่อนหลังรอนแรม

และจากการเดินขึ้นไปสักการะพระพุทธรูปปางไสยาสน์ภายในถ้ำของวัดอ่าวน้อย (วัดเขาคั่นกระได) คือภาพกระจ่างตาของหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ห้วงยามมรสุมส่งผลให้เรือประมงแนบเกยชายหาด ลอยลำเรียงรายเป็นจุดเล็กจุดน้อยประดับผืนทะเล มันกว้างไกลใหญ่โต มีฉากหลังคือที่ราบอันเป็นไร่สับปะรดและทิวเขาตะนาวศรีห่มหมอกฝน

ลัดเลาะผ่านเขาตาม่องล่ายที่เกาะกุมตำนานและความคิดความเชื่อของคนที่อยู่กินกับทะเลในเรื่องของชื่อเกาะ ภูมิประเทศ และสัณฐานทรวดทรงของธรรมชาติอันรายล้อม เราก้าวเข้าไปที่ริมทะเล เพียงเพื่อจะพบว่า ดอกผลของแรงงานนั้นมีคุณค่าหอมหวานเพียงใด

ลูกเรือแรงงานพม่าและเขมรที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามท่ามกลางการงานคือภาพเคลื่อนไหวหลักของสะพานปลา ในเสียงโหวกเหวกปนเปฟังไม่ได้ศัพท์ผสมผสานอยู่ด้วยความหวังแห่งการมีชีวิตและห้วงยามผ่อนเพลาพักผ่อนหลังงานหนักกลางทะเล

ความคึกคักจางคลายลงเมื่อรถห้องเย็นคันท้ายๆ จากไปสู่ถนนเพชรเกษมด้านนอก เหลือเพียงบาร์คาราโอเกะในห้องแถวเก่าทึม และเสียงเพลงปนความสนุกสนานของลูกเรือ พวกเขาผลัดเปลี่ยนมาอยู่ในชุดร่วมสมัยแบบวัยรุ่นบนฝั่ง กำเงินที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและชีวิตหน่วงหนัก ใช้จ่ายมันสู่ความรื่นรมย์เล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ก็เพื่อคนที่รออยู่บนฝั่ง เท่าที่ชีวิตของคนธรรมดาคนหนึ่งจะพึงมี

ถนนเล็กๆ เลียบหาดพาเราข้ามคลองบางนางรมเลาะสู่อ่าวประจวบฯ มันคดโค้งรูปจันทร์เสี้ยวและหม่นเทาไปในฤดูฝน ทะเลเปิดกว้าง เกาะหลัก เกาะแรด เกาะไหหลำ และเกาะร่มเรียงรายต่อเนื่อง และที่สูงเด่นอยู่ปลายอ่าวในส่วนของกองบิน 53 คือเขาล้อมหมวกอันเป็นเอกลักษณ์ของวิวอ่าวประจวบฯ 

เราสวนความชันของบันได 396 ขั้น ขึ้นสู่ยอดเขาช่องกระจกของวัดธรรมิการาม ลมเย็นรื่นละลายเหงื่อเมื่อขึ้นไปถึง ภาพเต็มตาของทะเลประจวบทั้ง 3 อ่าว ทั้งอ่าวน้อย อ่าวประจวบฯ และอ่าวมะนาว ล้วนประกอบขึ้นมาเป็นบ้านริมทะเลของคนที่นี่อย่างจริงแท้

ถนนสู้ศึกที่ถัดจากทะเลขึ้นมาเพียงนิดยังเงียบเชียบ จะว่าไปมันไม่เคยเนืองแน่นอะไรนัก แม้ที่นี่คือย่านที่เคยคึกคักที่สุดในตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ราวสี่สิบห้าสิบปีก่อน

ห้องแถวไม้ที่กระจายกันเป็นชุดๆ อยู่บนถนนเก่าแก่ของเมืองประจวบฯ เหล่านี้คือตัวตนของย่านการค้าเล็กๆ ในเมืองริมทะเล มันส่งต่อความรุ่งเรืองสู่ลูกหลาน ตกทอดเป็นชุดห้องแถวไม้ทั้งแบบชั้นเดียว หรือที่เป็นหลังใหญ่ตกแต่งฟู่ฟ่า มีลายฉลุ หน้าจั่ว ซึ่งล้วนบ่งบอกฐานะของแต่ละเจ้าในอดีต

ย่านการค้าโบราณบนถนนสู้ศึกนั้น คนประจวบฯ คุ้นที่จะเรียกมันว่าตลาดในมากกว่า โดยยึดเอาถนนเลียบชายหาดเป็นหลัก จากปากคลองบางนางรมเชิงเขาช่องกระจกที่เรียกกันว่าปากคลอง ไล่เลยมาจนถึงกลางอ่าวเรียกชายทะเล และยาวไกลไปจนสุดอ่าวทางกองบินก็เรียกหัวบ้าน

มันคือภาพอันชัดเจนของเมืองที่คั่นกลางระหว่างภูเขาและทะเล ในตลาดเต็มไปด้วยปลาอินทรี ปลาโอตัวแน่น หมึก หอยพันธุ์แปลกๆ หรือปลาช้างเหยียบตัวแบนๆ แม่ค้าย่างปลาสุกหอมรอลูกค้าในทุกเช้า ขณะที่แผงใกล้กัน สับปะรดประจวบก่ายกองสีเหลืองสด บางมุมคือหน่อไม้และของป่าจากฝั่งตะนาวศรี ที่อยู่ถัดเลยออกไปไม่ไกล

เมื่อตลาดในเริ่มคลี่คลายความคึกคักยามเช้า เหลือเพียงความเงียบสงบและชีวิตจริงตามการค้าในห้องแถวไม้ 

หลายวันที่นี่ผมมักมานั่งที่ร้าน Hachi บ้านขนมปัง ใช่เพียงกาแฟกรุ่นหอมหรือจักรยานวินเทจสวยๆ ที่เจ้าของร้านเลือกมาส่งเสริมให้คนที่นี่หันมาปั่นจักรยานในเมืองที่แสนเหมาะสมกับพาหนะสองล้อ แต่รอยยิ้มและสัมพันธภาพระหว่างคนที่นี่ที่แวะเวียนมาหานั้นน่ามาทำความใส่ใจ

ขณะที่ยามเย็นริมทะเล ยามปั่นจักรยานตามใครสักคนไปนั่งมองโลกจริงแท้ที่เป็นเหมือนอู่ข้าวอู่ปลาของคนบนฝั่ง นาทีเช่นนี้เกิดขึ้นทุกวันในเมืองเล็กๆ ระหว่างภูเขาและผืนทะเลอย่างประจวบคีรีขันธ์

ทั้งหมดหลอมรวมให้เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งไหลเลื่อนเคลื่อนไหวไปอย่างมีอิสระ ค่อยเป็นค่อยไป หันหลังให้คำว่าสีสันอย่างไม่แยแส และพร้อมจะเลือกทิศทางเดินต่อด้วยหัวใจอันมั่นคงตรงทน 

How to Go?

จากรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 ผ่านสมุทรสาคร จากนั้นแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 4 (เพชรเกษม) ผ่านเพชรบุรี ต่อไปถึงประจวบคีรีขันธ์ รวมระยะทางราว 280 กิโลเมตรริมอ่าวประจวบฯ มีที่นอนชมวิวอ่าวหลายแห่ง เช่น โรงแรมหาดทอง www.hadthong.com โรงแรมประจวบบีชwww.prachuapbeach.com หรือหากเลือกพักในย่านตลาดใกล้ของกิน แนะนำโรงแรมเปิดใหม่ สะอาด ราคาไม่แพง โรงแรมอุ่นตะวัน www.ountawan.wordpress.com

เมืองที่ “แคบ” ที่สุด ไม่เคยตกหล่นเลือนหาย