สุรินทร์ สนธิระติ

สุรินทร์ สนธิระติ

ตัวตนคนสร้างป่า

คุณสุรินทร์ สนธิระติ เป็นเจ้าของตลาดน้ำศิลปะกลางดงและสวนซ่อนศิลป์ สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ทุกคนต้องแวะทุกครั้งเมื่อมา อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เขาผู้นี้ไม่เพียงแต่มีแนวคิดสุดบรรเจิดในการรังสรรค์พื้นที่ป่าให้กลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว แต่ยังพร้อมถ่ายทอดแง่คิดดีๆ ให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของผืนป่าอีกด้วย

“ผมเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษ นามสกุลของผมไม่ดัง ไม่ได้เป็นคนตระกูลดั้งเดิม ผมมีพี่น้อง 5 คน พี่ชายคนโตเกิดที่สงขลา พี่สาว 2 คน และตัวผมเองเกิดที่สุรินทร์ ส่วนน้องคนสุดท้องเกิดที่ระนอง หลังจากนั้นก็ย้ายมาที่จังหวัดฉะเชิงเทรา สาเหตุที่ย้ายไปมาหลายจังหวัดเพราะคุณพ่อเป็นครู ผมเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซ็นต์หลุยส์ ฉะเชิงเทรา ตั้งแต่เตรียมอนุบาล จนกระทั่งจบม.ศ.3 จึงเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ

“พอเริ่มต้นชีวิตมหาวิทยาลัย ผมเรียนบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พอลองเรียนไปได้เทอมเดียวก็รู้สึกว่าไม่ชอบ จึงไปเรียนรัฐศาสตร์ ส่วนตัวแล้วชอบวิชาการปกครอง แต่ดันไปเจอวิชาปรัชญาที่ผมหาคำตอบไม่ได้ว่าเรียนมันไปเพื่ออะไร เลยหันมาศึกษากฎหมาย เพราะเป็นวิชาที่น่าสนุก มีมาตรา มีตัวบทกฎหมาย ต้องวิเคราะห์ ข้อสอบเป็นอัตนัยหมด ผมเห็นว่ามันท้าทายดีและมีเหตุมีผล จึงตัดสินใจเรียนด้านนี้อย่างจริงจัง

“พอขึ้นปีที่สองก็เริ่มรู้สึกว่าการเรียนหนังสือแบบนี้ทำให้ตัวเราไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่ ประกอบกับมีความคิดว่าการเรียนรามฯ ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน อ่านหนังสือเองแล้วไปสอบก็สามารถทำได้ จึงอยากไปทดลองทำงานมากกว่า และแล้วผมก็ไปสมัครงานที่เบทาโกร (Betagro) ด้วยวุฒิม.ศ.5

“เขาถามว่าทำอะไรได้บ้าง ผมตอบไม่ถูก เพราะเรียนกฎหมายมาแต่ดันไปสมัครทำงานปศุสัตว์ ผมจึงตอบว่าทำอะไรก็ได้ เพราะเป็นคำตอบที่ง่ายที่สุดแล้วคนสัมภาษณ์น่าจะพอใจ เจ้าของบริษัทได้แต่หัวเราะแล้วถามต่อว่า ถ้าให้ไปล้างคอกหมูทำได้ไหม ผมตกใจพอสมควร แต่ในใจคิดเพียงว่าอยากได้งานและอยากเอาชนะ จึงตอบไปว่าทำได้ หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะอีกแล้วบอกให้เตรียมตัวมาดีๆ วันรุ่งขึ้นจะส่งไปอยู่ฟาร์ม ซึ่งผมก็ได้ไปอยู่ฟาร์มจริงๆ

“หลังจากทำงานได้ 6 เดือน เจ้านายเรียกเข้าพบแล้วบอกว่าผมมีแววเป็นนักบริหาร เพราะสามารถปกครองคนได้ แต่ต้องเรียนให้จบปริญญาตรีเสียก่อน ถ้าจบปริญญาตรีเมื่อไหร่จะเลื่อนขึ้นให้เป็นผู้จัดการทันที ด้วยความสงสัยผมจึงถามไปว่า ไม่ได้เรียนจบสายนี้มาโดยตรงจะเป็นผู้บริหารได้อย่างไร เขาจึงตอบกลับมาว่า คุณสามารถมีลูกน้องเป็นสัตวแพทย์ สัตวบาลได้ เพียงแต่คุณต้องใช้สมองปกครองคน ส่วนความสามารถทางวิชาการสามารถหาคนมาทำแทนได้ 

“พอออกจากห้องครั้งนั้น ทุกคืนหลังเสร็จจากการทำงานที่ฟาร์ม ผมอ่านหนังสือตลอด ลงเรียนเต็มอัตราเท่าที่จะลงได้ กระทั่ง 3 ปีต่อมา ผมเรียนจบปริญญาตรีและเจ้านายก็ให้เป็นผู้จัดการจริงๆ อีกทั้งยังส่งให้ผมไปเรียนรู้ด้านนี้โดยเฉพาะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 1 ปี

“รวมแล้วผมทำงานบริษัทเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เรียกได้ว่าสามารถขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของชีวิตการเป็นลูกจ้าง แต่แล้วก็ตัดสินใจลาออกเพราะไม่มีอะไรท้าทายอีกต่อไป จึงหันมาทำธุรกิจส่วนตัว วันนี้ถ้าจะถามว่าผมคือใคร ผมขอให้คำจำกัดความตัวเองว่าผมคือ ‘ลุงน้อย คนสร้างป่า’ ผมกล้าพูดได้เลยว่าผมเป็นคนสร้างป่าตัวจริงที่ยอมเอาที่ดินของตัวเองมาสร้าง บางคนอาจดูว่าใช้พื้นที่ไม่คุ้ม แต่ผมคิดว่าได้ทำประโยชน์ให้กับโลกใบนี้แล้ว

“พื้นที่ในนี้กับข้างนอกต่างกัน 5 องศา เพราะอย่างนี้ผมถึงบอกว่าต้นไม้ให้อะไรกับเรามากมาย ผมอยู่ที่นี่มา 20 - 30 ปี ไปตรวจร่างกายปรากฏว่าไม่เป็นโรคอะไรเลย การที่ได้อยู่ในสภาพอากาศที่ดี สุขภาพร่างกายก็จะดีตาม ผมเชื่ออย่างนั้น และภายใน 10 ปีข้างหน้า ผมจะรณรงค์ให้คนกลับไปปลูกป่าที่บ้านของเขาเองโดยที่ไม่ต้องแสวงหาที่จะไปปลูกป่าที่เขาใหญ่ แก่งกระจาน หรือห้วยขาแข้ง เพียงแต่ปลูกที่บ้านคุณนั่นแหละ แล้วสิ่งที่จะได้กลับคืนมาก็ตัวคุณเองทั้งนั้น นอกจากนี้ผมยังอยากให้มีป่าแบบนี้ทุกจังหวัด ไม่ว่าจะมีพื้นที่กี่ไร่เราก็สามารถสร้างธรรมชาติได้เหมือนคำที่ว่า ‘Nothing is impossible’ ”

ตลาดน้ำกลางขุนเขา

บนพื้นที่ชายเขาที่ที่เขียวขจีตลอดปีและอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 400 เมตร ที่แห่งนี้ไม่มีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่าน ไม่มีแม้กระทั่งวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิม แต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติที่เกิดจากความรักในงานศิลปะ ... ตลาดน้ำศิลปะกลางดง ความแตกต่างซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นไอของศิลปะทุกอณู

“ที่นี่เกิดขึ้นด้วยความฝันของผมกับภรรยาที่อยากมีบ้านอยู่ในป่า จึงเริ่มเก็บเงินกับภรรยาและซื้อที่ดินแปลงนี้ด้วยน้ำพักน้ำแรงเมื่อปี 2527 ซึ่งก่อนหน้านั้นผมมาทำงานแถวนี้ให้บริษัทในเครือเบทาโกร พออยู่ไปเรื่อยๆ เกิดติดใจสภาพอากาศ บรรยากาศโดยรอบ พอได้พื้นที่มาก็เริ่มปลูกต้นมะขามหวาน ลิ้นจี่ ขนุน ปลูกผลไม้ทุกอย่างที่เราชอบ แล้วฝันว่าบั้นปลายชีวิตอยากจะมีสวนผลไม้เป็นของตัวเอง

“แต่หลังจากนั้นหลายปีผ่านไป ผมมีโอกาสได้เที่ยวหลายที่ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ประทับใจ National Park ที่แคลิฟอร์เนีย (California) และบาหลีมาก เพราะมีบ้านพักอยู่ในป่า รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ จึงบอกกับภรรยาว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสมีบ้านอยู่ในป่าแบบนี้บ้างไหม เมื่อกลับมาก็ตัดสินใจว่าจะสร้างป่า พอคิดวางแผนศึกษาเรื่องต้นไม้ก็ลงมือทำเลย และได้ชวนเพื่อนที่เป็นนักจัดสวนมาร่วมด้วย โดยคุยกันว่าอยากให้สร้างป่าแล้วออกมาเหมือนธรรมชาติที่สุด ให้คนเข้ามาแล้วรู้สึกว่าเป็นป่าเดิม พอได้ลงมือทำจริงๆ แน่นอนว่ามันก็มีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ก็ต้องค่อยๆ แก้ไขกันไป

“จากการสร้างป่าชีวิตของผมได้รับบทเรียนถึง 6 อย่างคือ คนเราต้องกล้าที่จะใฝ่ฝัน กล้าคิดวางแผน กล้าลงมือทำ กล้ายอมรับความผิดพลาด กล้าที่จะแก้ไขในสิ่งที่ผิด และอย่างสุดท้ายคือกล้าเตือนตัวเองว่า สิ่งที่ทำแล้วดีที่สุดอยู่ครั้งหน้า นั่นหมายความว่า สิ่งที่ดีของคุณอยู่คราวหน้า ไม่ใช่คราวนี้ เมื่อคิดได้อย่างนี้ตัวเราเองก็จะพัฒนาไปทำสิ่งอื่นๆ ได้อีกเรื่อยๆ

“หลังจากที่ใช้เวลา 30 ปี เพื่อสร้างป่า และแล้วผมก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในป่าจริงๆ จากทุ่งข้าวโพดกลับกลายเป็นป่าที่มีต้นไม้เขียวขจีหมื่นกว่าต้น ทุกแปลงผมเป็นคนปลูกขึ้นมาทั้งหมด ทุกคนมีความสุขที่ได้อยู่ในธรรมชาติ จนวันหนึ่งเมื่อสัก 5 ปีที่แล้ว ภรรยาก็พูดขึ้นมาว่าเรามีน้ำ ทำไมไม่ทำตลาดน้ำ ผมก็หัวเราะแล้วบอกว่าบนภูเขาจะมีตลาดน้ำได้อย่างไร ทว่าคำถามนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวพร้อมความคิดที่ว่า มันก็ท้าทายดีนะ ผมนั่งคิดสักครู่หนึ่งแล้วบอกว่า ‘ผมจะทำตลาดน้ำที่เล็กที่สุดในโลก’ แต่จะทำอย่างไรให้คนชื่นชอบ คำตอบที่ได้คือใส่คำว่า  Art นำหน้าคำว่า Floating Market เวลาที่ผมทำอะไรจะต้อง Different ดังนั้นผมจะไม่ลอกการบ้านใคร ไม่เคยทำตามใคร ถ้าใครไปขวา ผมจะไปซ้าย ตลาดน้ำแห่งนี้จึงมีการนำเอา Art หรือความเป็นศิลปะเข้ามาตกแต่ง 

“23 ตุลาคม 2551 เป็นวันเปิดตลาดน้ำศิลปะกลางดง ก่อนหน้านั้นครอบครัวเราคุยกันว่า คนที่เข้ามาเที่ยวตลาดน้ำแห่งนี้จะเห็นภาพสองภาพ ภาพแรกคนจะเดินเข้ามาแล้วบอกว่าตลาดน้ำอะไร ทำไมมันเล็กขนาดนี้ ไม่เห็นมีอะไรเลย แล้วเขาก็เดินออกไป กับอีกภาพหนึ่งคนเดินเข้ามาแล้วบอกว่า เมืองไทยมีตลาดน้ำอย่างนี้ด้วยเหรอ นี่มันอะไรเนี่ย สุดยอดไปเลย ทั้งครอบครัวจึงพยายามคิด ตกแต่ง ใส่ไอเดียเข้าไปในตลาดน้ำศิลปะกลางดง เพราะอยากให้ทุกคนเห็นภาพที่สองมากกว่า 

“หลังจากนั้นผมก็ทำตัวกลมกลืนกับนักท่องเที่ยวที่มาแวะชมตลาดน้ำ เดินสะพายกล้อง เพื่อที่จะได้ดูฟีดแบ็คและรับฟังว่าแต่ละคนมีความคิดเห็นและพูดถึงที่นี่อย่างไรบ้าง ผมกล้าพูดได้เลยว่าเกือบ 100% ทุกคนจะหยิบโทรศัพท์โทรหาเพื่อนบอกว่าถ้าไม่มาที่นี่ เสียใจแน่นอน เพราะบางคนเพื่อนยังมาไม่ถึง หรือบางคนเพื่อนขับรถเลยไป ไม่ยอมแวะ จนกระทั่งวันนี้ 5 ปีผ่านไป ตลาดน้ำศิลปะกลางดงกลายเป็นตลาดน้ำที่ติดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวในเขตเขาใหญ่ ซึ่งทุกคนที่มาแถวนี้ไม่ควรพลาด และเป็นตลาดน้ำที่เล็กที่สุดในโลก เพราะมีพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยเนื้อหาที่อัดแน่น ไม่เล็กตามขนาดพื้นที่” 

เขตปลอดการเมือง

บริเวณหน้าตลาดน้ำศิลปะกลางดงมีป้ายที่เขียนข้อความไว้ว่า “เขตปลอดการเมือง” ตั้งตระหง่านอย่างเด่นชัด นี่คือความต้องการของคุณสุรินทร์ ที่อยากให้นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาที่นี่ทิ้งความวุ่นวายต่างๆ ไว้ข้างนอก ปลดเปลื้องความคิดทุกอย่าง แล้วหันมาใช้เวลาพักผ่อนอย่างแท้จริงในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งก็เป็นอีกไอเดียที่สร้างสรรค์ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ผมคิดว่าผมเห็นบรรยากาศการเมืองในสมัยก่อนไม่เป็นอย่างนี้ เพื่อนฝูงแม้มีความคิดต่างกันบ้าง แต่เราก็มีความเป็นคนไทยจึงผนึกรวมกันได้ แต่พักหลังมานี้การเมืองมีความแตกแยกชัดเจน ผมเองก็มีเพื่อนหลายฝ่าย พอคุยเรื่องการเมืองแล้ววงแตก ความเป็นเพื่อนเริ่มหาย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราเคยสนิทกัน เคยเล่นกีฬาด้วยกัน เคยมีความสุขกัน แต่การเมืองกลับทำให้ทะเลาะกันจะเป็นจะตาย ผมจึงปักธงไว้ว่าที่นี่ต้องเป็นที่หนึ่งที่มาแล้วห้ามคุยเรื่องการเมือง

“ผมมีความคิดว่าเราเป็นเพียงแค่เครื่องมือของนักการเมือง เพราะผมมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับการเมืองในสภา ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษาของภาคประชาชนแอนตี้คอร์รัปชั่น ภาพที่ได้เห็น ‘เบื้องหน้ากับเบื้องหลังของนักการเมืองบางคนล้วนเป็นเพียงแค่การแสดง’ 

“เมื่อมาอยู่ที่นี่ผมขอ ขอให้ปล่อยว่างไปเลย หน้าเคาน์เตอร์ Reception จึงมีป้ายถอดหัวโขน ‘คนเราเกิดมาตัวเปล่า ตายไปก็ไปตัวเปล่า ทุกอย่างเป็นเรื่องสมมติในชีวิต’ เมื่อมาที่ตลาดน้ำศิลปะกลางดงและสวนซ่อนศิลป์แล้วให้คุณถอดหัวโขนวางไว้ในรถ แล้วคุณจะเข้ามาเดินเที่ยวในนี้อย่างมีความสุข มีหลายครอบครัวมาที่นี่แล้วถามหาเจ้าของเพื่อขอบคุณผม เพราะคุณพ่อสีแดง คุณแม่สีเหลือง ตลอดทางที่ขับรถมามัวแต่ทะเลาะกัน แต่เมื่อลงมาเห็นป้ายนี้ ต่างกอดกันอย่างมีความสุข”

สวนซ่อนศิลป์

เมื่อได้มาสัมผัสจะพบว่า ‘สวนซ่อนศิลป์ Secret  Art Garden’  เป็นพื้นที่ป่าอีกหนึ่งส่วนที่อยู่ในบริเวณตลาดน้ำศิลปะกลางดง ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่สวนดอกไม้หรือสวนป่าธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่ภายในยังมีงานศิลปะซุกซ่อนอยู่อาณาบริเวณ ความลับที่อยู่ในสวนแห่งนี้เปรียบเสมือนสมบัติอันล้ำค่าที่ถูกเก็บซ่อนไว้มานาน รอให้นักท่องเที่ยวทุกคนมาไขกุญแจเพื่อเข้ามาค้นหาความงามของศิลปะ

“พอทุกคนมาทานก๋วยเตี๋ยวเรือที่ตลาดน้ำก็จะมองไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นประตูปิดไว้แล้วติดป้ายว่า Private Zone พื้นที่ส่วนบุคคล ห้ามเข้า เพราะเป็นส่วนรีสอร์ทที่พัก พอเห็นความร่มรื่น ความสวยงาม มีบ้านอยู่ในนั้นต่างก็ถามว่าข้างในคืออะไร ขอเข้าไปได้ไหม นานวันเข้าก็ร่ำลือกันจนหนาหู ผมจึงตัดสินใจว่าจะเอาพื้นที่ตรงนี้มาทำสวน เปิดให้คนเข้ามาเดินเล่น Secret  Art Garden จึงหมายถึงสวนที่เอาศิลปะเข้าไปซุกซ่อนไว้

“ซึ่งคอนเส็ปต์ของเราบังเอิญไปตรงกับหนังสือเรื่อง Secret garden ที่พ่อสร้างพื้นที่ป่าไว้ 20 - 30 ปี แต่ปิดตายมาตลอด จนตอนนี้พร้อมที่จะเปิดให้คนเข้ามาค้นหา ชวนให้ไขกุญแจเข้ามาค้นหาศิลปะที่อยู่ในนั้น นี่จึงเป็นที่มาของชื่อสวนซ่อนศิลป์ 

“ทุกคนที่มาล้วนแต่ชื่นชม และบอกว่าดีใจแทนประเทศไทยที่มีผืนป่าเป็นสมบัติของประเทศ จริงๆ แล้วผมก็รู้สึกอย่างนั้น ในเมื่อคนเราเกิดมาตัวเปล่า อีกไม่กี่ปีก็ต้องตายไปตัวเปล่า ถ้าได้สร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซฝากไว้บนโลกใบนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย เป้าหมายของผมจึงอยากให้ที่นี่เป็นสถานที่ตัวอย่างเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติให้คนเข้ามาชื่นชม เพราะที่นี่มีระบบนิเวศน์ที่ดีมาก มีไม้ป่าทุกชนิดในเมืองไทย นก รวมถึงสัตว์อื่นๆ ก็เข้ามาอยู่อาศัย อยากให้คนได้มาเห็นว่าป่าสร้างได้ด้วยฝีมือคน อย่าให้ธรรมชาติมาทวงคืนเหมือนเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2554 และอยากให้ที่นี่เป็นสถานที่ในการสร้าง Inspiration ให้กับคนอื่นๆ

“แต่เมื่อนึกไปถึงตอนที่ผมบอกเพื่อนๆ ว่าจะสร้างป่า ตอนนั้นทุกคนต่างปรามาส พร้อมทั้งบอกว่า ‘สร้างป่าชีวิตนี้ คงได้เห็นชีวิตหน้า’ แต่พอมาวันนี้ เพื่อนๆ เหล่านั้นรู้สึกเสียดายทั้งๆ ที่มีพื้นที่เป็นพันไร่ กลับมีสภาพเป็นทุ่งหญ้าว่างเปล่า ผมจึงสอนลูกและสอนทุกคนให้จำขึ้นใจว่า Nothing is Impossible คือคนเราต้องมีความเชื่อ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ มีแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ อย่างผมที่จบกฎหมายมาแต่ทำไมสร้างป่าได้ วาดรูปได้ ผมไม่ได้สอนว่าให้เป็นคนมุทะลุ ดันทุรัง แต่กำลังจะบอกว่า ‘ห้ามพูดว่าทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ทำ’ เพราะมันเป็นข้ออ้างที่ง่ายมาก พอพูดเสร็จก็หมดหน้าที่แล้ว ในทางกลับกันถ้าพูดว่า ‘ไม่แน่ ต้องลองดู’ คุณก็จะมีสเต็ปต์ต่อไป ต้องดิ้นรนหาหนทางจนได้ ผมเชื่อว่าพรแสวงสำคัญกว่าพรสวรรค์ คุณจะทำอะไรต้องคิดให้ได้ แล้วทำมันให้ออกมาดีที่สุด 

“ผมอยากให้คนไทยพัฒนาวิธีคิดเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าแนวคิด Nothing is Impossible ของผมใช้ได้จริง ผมเชื่อว่าวิธีคิด รวมถึงความเชื่อในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับความสำเร็จในชีวิต แต่ละคนไม่จำเป็นต้องมาปลูกป่าแบบผม แต่แค่อยากให้นำวิธีคิดของลุงน้อยไปใช้ในการทำงาน เมื่อนั้นคุณอาจประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่กว่าลุงน้อยเสียอีก แล้วถ้าวันนั้นมาถึง ก็แค่อยากให้นึกถึง ‘ลุงน้อย คนสร้างป่า’ แค่นั้น ...” 

คนธรรมดาที่แสวงหาชีวิตอันสงบท่ามกลางธรรมชาติ