อุมารี ชาญณรงค์
ก่อนหน้าที่จะก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่ง Corporate Communications Manager ของบริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ เธออยู่ทีม Communications โดยจะทำงานด้านการวางแผนการสื่อสาร ทำ Branding ให้กับลูกค้า จากนั้น 2-3 ปี เธอมีโอกาสได้ทำโปรเจ็กต์ Thailand Pavilion ที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนเป็นเวลา 7 เดือน หลังจากกลับมา คุณเมฆ เกรียงไกร กาญจนะโภคิน หนึ่งใน CEO ก็ดึงตัวให้มาช่วยดูด้านภาพลักษณ์ขององค์กร หรือ Corporate Communications ทันที
“ปัจจุบันงานที่ตาลดูแลคือ การทำ Branding ให้อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ แข็งแรงมากยิ่งขึ้น โปรโมทและสร้างภาพลักษณ์ให้บริษัทเป็นที่รู้จักมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องคิดกิจกรรมที่จะสื่อสารกับคนภายในบริษัทให้สอดคล้องกับแนวคิดหลัก เพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นมีความเป็น Creativity มี Innovation และมี Passion ในการทำงานอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงดูแลภาพลักษณ์ของผู้บริหารด้วย”
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้จัดการสาวตากลมโตคนนี้ ก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่อาจเรียกได้ว่าคอยเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้บริหาร ร่วมฝ่าฟันทุกอุปสรรคก็คือ ไม่เกี่ยงงานและต้องหมั่นเติมความรู้ให้ตัวเองตลอดเวลา
“ตอนเริ่มต้นทำงานแรกๆ ตาลจะไม่ค่อยเกี่ยงงาน คงเพราะตอนนั้นยังเป็นเด็กอยู่ด้วย ใครให้ทำอะไรก็ทำหมด อย่างตอนที่ได้ทำโปรเจ็กต์ Thailand Pavilion ตอนนั้นยังอายุ 26 - 27 ปี อยู่เลย ซึ่งงานนั้นเป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ที่สุดเท่าที่ อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ เคยทำมา ทางบริษัทเองก็ยังไม่มีประสบการณ์ แถมยังต้องไปจัดแสดงถึงต่างประเทศ โชคดีที่คุณเมฆหยิบยื่นโอกาสให้ ก็เลยลองดู
“โปรเจ็กต์นั้นถือเป็นโปรเจ็กต์ที่ประทับใจมากที่สุด อาจเป็นเพราะว่าเราเด็กอยู่ด้วย แต่กลับได้รับโอกาสให้ทำโปรเจ็กต์ใหญ่ อีกอย่างคือรู้สึกประทับใจที่ได้ทำหน้าที่โปรโมทประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในสายตาของชาวต่างชาติ ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก คิดเพียงว่าไปทำงานให้บริษัท แต่พอชาวต่างชาติที่ได้มาดู Thailand Pavilion เขาก็ชื่นชมและชอบประเทศไทยมาก มันจึงกลายเป็นอีกมุมหนึ่ง มุมของเด็กตัวเล็กๆ ที่ได้ช่วยโปรโมทประเทศไทย ที่ไม่ใช่มุมของพนักงานที่ทำงานให้บริษัทเพียงอย่างเดียว
“หลังจากที่ทำโปรเจ็กต์ Thailand Pavilion เสร็จ อีก 2 ปีต่อมาก็ได้ไปทำโปรเจ็กต์ International Exposition 2012 ที่เมืองยอซู ประเทศเกาหลี แม้ว่าจะตื่นเต้นน้อยลง แต่กลับรู้สึกกดดันมากกว่า เพราะคิดว่าครั้งที่แล้วทำได้ ครั้งนี้ก็ต้องทำให้ได้อีก
“สิ่งสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จนอกจากจะต้องไม่เกี่ยงงานแล้วยังต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เรื่องรอบตัวตลอดเวลา เพราะบางครั้งต้องคอยอัพเดทข้อมูลข่าวสารให้ผู้บริหารฟังว่าช่วงนั้นๆ สถานการณ์ทั้งภายนอกและภายในองค์กรเป็นอย่างไร หรือเวลาที่มีใครมาสัมภาษณ์ผู้บริหาร เราก็เป็นคนเบื้องหลังที่จะต้องคอยดูแลเขา ซึ่งการอยู่ในตำแหน่งตรงนี้อาจไม่ใช่แค่การดูแลผู้บริหารอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องคอยแนะนำและกล้าพูดว่าแบบนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร พูดง่ายๆ ว่าต้องช่วยไกด์ให้เขาได้ ถ้าเป็นงานอื่นๆ ทั่วไปก็จะต้องรู้ให้รอบและต้องเป็นคนละเอียดและเฟรนด์ลี่กับคนอื่นด้วย
“จริงๆ แล้วตาลคิดว่าตัวเองยังไม่ถึงขั้นประสบความสำเร็จ เพราะยังมีเรื่องที่อยากจะทำ อยากเรียนรู้อยากพัฒนาให้มันดีขึ้นกว่านี้ ส่วนตัวคิดว่าในปีหน้าต้องมีอะไรตื่นเต้นให้คนในบริษัทเห็น หรือว่าต้องมีอะไรที่ทำให้คนข้างนอกเห็นว่าองค์กรมีการเติบโตขึ้น”
สิ่งที่ตามมาจากการทุ่มเททำงานอย่างหนัก คงหนีไม่พ้นเรื่องความเครียด ซึ่งเธอก็ยอมรับว่าชีวิตการทำงานก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็ย่อมดีขึ้นเอง
“ถ้าทำงานแล้วสามารถผ่านปัญหาไปได้ก็จะหายเครียด มีอยู่งานหนึ่งที่ตาลคิดว่าทำไม่ได้ ทำได้ไม่ดี รู้สึกไม่โอเค เศร้าจนทำอะไรไม่ได้ แล้ววันหนึ่งคุณเมฆที่เป็นเหมือนพี่ชายนี่แหละ เพราะคุยได้ทุกเรื่อง เขารู้ว่าตาล Fail มาก พี่เมฆพูดขึ้นมาประโยคเดียวเลยว่า ‘ชีวิตมันไม่ใช่แค่วันนี้ ลองมองไปข้างหน้าสิ’ ทำให้ทุกครั้งที่เครียด หรือทำงานไม่ได้ดั่งใจ ก็จะคิดเสมอว่ายังมีพรุ่งนี้ที่อยากให้เราทำให้มันดีขึ้นได้ อย่างเวลามีอะไรผิดพลาดตาลจะไม่โทษคนอื่น แต่จะกลับมามองตัวเองแล้วแก้ไข ดีกว่าที่จะไปโทษคนอื่นหรือโทษฟ้าโทษฝน
“สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตการทำงานมีความสุขก็คือ มีเจ้านายดี เพื่อนร่วมงานดี และมีลูกน้องดี นอกจากนี้สภาพแวดล้อม สังคมของบริษัทอินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ก็มีส่วนเอื้อต่อการทำงานมาก เพราะองค์กรเปิดโอกาสให้พูดคุย ให้เล่นสนุกได้ตลอดเวลา ณ ตอนนี้ ตาลจึงทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานเยอะกว่าเวลาส่วนตัว เรียกได้ว่าถ้ามีนัดตอนเย็นกับเพื่อนแล้วงานไม่เสร็จก็สามารถเลิกนัดเพื่อนได้โดยไม่รู้สึกผิด (หัวเราะ) เพราะยังรู้สึกสนุกกับงานอยู่และอยากฝึกน้องๆ ให้มองไปในทิศทางเดียวกับองค์กรด้วยค่ะ”