คุณแม่ศรีนวล คำอาจ Thai-Styled Antiphon รากเหง้าวัฒนธรรมลำตัดไทย

คุณแม่ศรีนวล คำอาจ Thai-Styled Antiphon รากเหง้าวัฒนธรรมลำตัดไทย

สำเนียงการร้องเพลงลงจังหวะ ขับกล่อมด้วยลูกคู่เกี้ยวกันระหว่างกลุ่มชายหญิง โต้ตอบไปมาด้วยคารมคมคายเชือดเฉือนบนเวที สร้างความสนุกสนานให้กับผู้ชม คือลำตัดการแสดงพื้นบ้านดั้งเดิมของไทย แม้ไม่ได้รับความนิยมเหมือนเช่นอดีตแต่ยังคงหลงเหลืออยู่ โดยคุณแม่ศรีนวล คำอาจ เป็นหนึ่งในผู้สืบสานเรื่องราวของลำตัดให้คงอยู่จนถึงทุกวันนี้

คุณแม่ศรีนวล เป็นนักแสดงลำตัดในคณะหวังเต๊ะ (นายหวังดี นิมา หัวหน้าคณะ ครู และคู่ชีวิตของคุณแม่ศรีนวล) ท่านรับบทเป็นนางเอก ทำหน้าที่แม่เพลงร้องนำและได้สร้างสรรค์ผลงานมากว่า 60 ปี จนเป็นที่ประจักษ์ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (เพลงพื้นบ้าน-ลำตัด) พ.ศ. 2562

ชีวิตวัยเด็กของคุณแม่ศรีนวลเกิดย่านทวีวัฒนา ซึ่งในสมัยหลายสิบปีก่อนยังไม่เจริญมากนัก คุณแม่ศรีนวลมีพี่น้องรวมกันถึง 12 คน โดยท่านเป็นลูกคนที่ 8 ของครอบครัว โดยมีคุณพ่อเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ไม่ได้ร่ำรวยนัก ส่วนคุณแม่มีอาชีพทำนา โดยรวมแล้วมีฐานะยากจน แม้ครอบครัวจะมีเงินน้อยเพียงใดก็ยังสามารถส่งคุณแม่ศรีนวลให้เรียนหนังสือขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาที่วัดกลางคลอง (วัดปุรณาวาส) กิจวัตรประจำวันหลังจากเลิกเรียน คุณแม่ศรีนวลจะมาช่วยที่บ้านทำนา และรับจ้างทั่วไป

ในระหว่างที่คุณแม่ศรีนวลมาช่วยทำนาให้ป้าของตัวเองทำนา ระหว่างนั้นคุณแม่ประยูร ยมเยี่ยม (ศิลปินแห่งชาติ (เพลงพื้นบ้าน-ลำตัด) พ.ศ. 2537) ซึ่งเป็นลูกสาวของป้ามาเยี่ยมบ้านซึ่งตอนนั้นเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะลำตัด ทั้ง 2 ท่านจึงได้พบกัน คุณตาจึงพยายามช่วยฝากฝังคุณแม่ศรีนวลให้ไปฝึกลำตัดกับแม่ประยูร ซึ่งในครั้งแรกที่ได้พบกันนั้นยังไม่ได้มีการรับไปเล่นลำตัด จึงแยกย้ายกันไปก่อน

จนกระทั่งคุณแม่ศรีนวลอายุ 15 ปี ขณะที่กำลังดายหญ้าอยู่ในท้องนา น้องสาวของแม่ประยูรก็มาตาม บอกว่าให้เข้ากรุงเทพฯ เพื่อหัดลำตัดจึงต้องมีการไปขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ของแม่ศรีนวลให้เรียบร้อย ก่อนจะตามเขาเข้ากรุงเทพฯ เพื่อหัดเล่นลำตัดในครั้งแรก

“พอมีญาติมาตามบอกว่าให้ไปหัดลำตัด เราไม่รู้ว่าลำตัดเล่นยังไง แต่ก็ไปกับเขาแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย จำได้ว่าเดินทางขึ้นรถไฟ วันนั้นแต่งตัวสวยมากใส่เสื้อแขนยาวนุ่งผ้าแบบคนทำนารองเท้าก็ไม่มี แม่ก็นั่งรถไฟจากศาลายาไปลงบางกอกน้อยธนบุรี พอข้ามไปฝั่งท่าพระจันทร์ เราก็มองคนอื่นว่าเขาใส่รองเท้ากัน พอหันมาดูตัวเองไม่มีก็คิดว่าไม่เป็นไร”

“เมื่อเข้ามาอยู่บ้านที่หัดลำตัดจริง ๆ มีการฝึกหัดเล่นลำตัดกันทุกวัน เราดูแล้วปวดหัว คนที่เคยอยู่บ้านนอกแบบโล่ง ๆ พอเข้าไปอยู่กรุงเทพฯ กลางเมืองแถววัดพระยาไกรมาอยู่แล้วมันอึดอัด ก็บอกน้องสาวแม่ประยูรว่า พาฉันกลับบ้านเถอะ ฉันไม่ไหวฉันปวดหัวมากเลย ก็อยู่ได้แค่เดือนเดียวเท่านั้น

“หลังจากนั้นกลับมาบ้านแล้วก็ช่วยพ่อแม่ทำนาได้ประมาณ 1-2 อาทิตย์ ก็คิดขึ้นมาว่า ก่อนจะไปมีคนดูถูกเราไว้เยอะ พอกลับมาก็เหมือนว่าทำไม่สำเร็จ แล้วบ้านเราก็จนหนทางที่ดีที่สุดตอนนั้นคือการเล่นลำตัด พอคิดได้จึงไปซ้อมรำลอยหน้าลอยตาคนเดียวหน้ากระจก จนคุณอามาเห็นบอกว่านวลเองบ้ารึเปล่า ก็ตอบเขาว่าหนูลองดู จุดเด่นของแม่คือเป็นคนที่ยิ้มเก่งยิ้มตลอดอารมณ์ดี จนกระทั่งได้เข้าไปหาคุณตาท่านก็ให้ไปตามคนมารับแม่ไปฝึกลำตัดอีกรอบหนึ่ง

“ครั้งนี้ได้ไปหัดลำตัดกับครูเต๊ะ นิมา ซึ่งเป็นพ่อของหวังเต๊ะ (หวังดี นิมา) ตอนนั้นมีนักเรียนประมาณ 10 คน มีการซ้อมร้องเพลงแต่แม่ก็ยังไม่ได้ร้อง เพียงแค่ท่องบทเพลงเอาบทไปท่องอย่างเดียวแต่ก็ยังท่องไม่ได้ เราไม่รู้ว่าหลักการร้องเพลงต้องใช้เทคนิคแบบไหน จนกระทั่งครูเต๊ะเรียกไปสอนวิธีการร้องเพลงและการรำอย่างถูกต้อง ทำให้แม่สามารถร้องและรำได้ในที่สุด

“ท่านไม่ได้สอนแบบสมัยนี้นะ แต่จะให้บทไปท่องก่อนแล้วนักเรียนผลัดกันร้องคนละท่อน ๆ ร้องกันไป 10 เที่ยว บางวันก็ซ้อมตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยงคืน การสอนตอนนั้นไม่ได้จี้ว่าต้องร้องอย่างไร แต่ปล่อยให้เรียนรู้และพัฒนาด้วยตัวเองซึ่งได้ผลดีมาก ในตอนนั้นแม่คิดว่าถ้าทำไม่ได้ก็ช่างมัน แต่พอลองฝึกก็ทำได้จริง เราร้อง 10 เที่ยวเท่ากับเราได้ฝึก 10 งาน .ถือว่าเป็นการฝึกที่ลึกซึ้งและเข้มข้นมาก

“แม่ฝึกอยู่ประมาณ 2 เดือนก่อนจะแสดงครั้งแรกกับคณะบุญช่วย วันที่ทำการแสดงครั้งแรกคือที่วัดสุวรรณ ตรงคลองสาน แม่ยังจำได้ว่าทุกคนบอกว่าแม่คงเล่นไม่ได้ เพราะเป็นคนขี้อายและอาจไม่กล้าแสดงมากนัก แต่สุดท้ายแม่ก็ทำได้ด้วยกำลังใจและการฝึกฝน

“ในสมัยนั้นคณะลำตัดมีจำนวนมากแต่แม่ไม่ค่อยได้ออกไปแสดงนอกบ้านมากนัก แม่อยู่ในคณะพ่อหวังเต๊ะและแม่ประยูรเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากแม่เป็นคนรักครอบครัวและใช้ชีวิตเรียบง่าย

“การเล่นลำตัดจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม่เป็นคนที่มีความจำดีและชอบเรียนรู้เช่น ไปชมการร้องเพลงลูกทุ่งหรือดูตลกแล้วนำมาปรับใช้กับการแสดงลำตัด จึงได้ขึ้นเป็นนางเอกของคณะลำตัดในที่สุด ลำตัดไม่ได้มีแค่ความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังแฝงข้อคิดและสาระในเนื้อหาเช่น การสอนเกี่ยวกับการครองเรือน การเลือกคู่ครอง และการดำเนินชีวิต เป็นศิลปะที่ให้ความบันเทิงพร้อมส่งเสริมการเรียนรู้

“การแสดงลำตัดไม่ใช่การแสดงลำตัดอย่างเดียว แต่ยังครอบคลุมถึงเพลงพื้นบ้านประเภทอื่น เช่น เพลงฉ่อย เพลงเรือ และเพลงเกี่ยวข้าว ทุกเพลงมีรากฐานจากภูมิปัญญาท้องถิ่น และค่อย ๆ พัฒนามาเป็นลำตัดในรูปแบบปัจจุบัน

“ในคณะของพ่อหวังเต๊ะ เรามุ่งเน้นการแสดงที่สุภาพและเคารพผู้ชม ท่านต่อต้านการแสดงที่หยาบคายอย่างเด็ดขาด และยึดมั่นในแนวทางการแสดงที่แฝงลูกเล่นสนุกสนานแต่ไม่ลามก แต่การเล่นลำตัดในแนวทางสองแง่สองง่าม ต้องหาการหักคอรอจังหวะ เว้นวรรคไว้ให้ผู้ชมรู้สึกคิดกันเอาเอง กลอนอาจจะปูทางว่าต้องลงคำนี้แน่เราไม่ลง แต่คนดูลงแล้วก็สนุกสนานกันไป

“อย่างเพลงหมากัด (เพลงโดย เอกชัย ศรีวิชัย) แต่เดิมนั้นเป็นของพ่อหวังเต๊ะ พ่อหวังเต๊ะเขียนในท่อนที่ว่า “แม่คุณจ๋าดูหมาให้พี่ด้วย อย่าให้หมากัด...ฉวย” คือมันต้องไปแบบนั้นซึ่งในใจคนดูก็ลงคำสุดท้ายไปแล้วหรือ “อีเขียวก็แง่งอีแดงก็รีบพี่เลยเอาไม้ทิ่ม... ตาหมามันไป หมามันไป” คือคำยังไม่ได้ลง เราก็ไม่มองไม่ชี้อะไรร้องให้น้ำสียงมันหนักหน่อย มองคนดูชี้คนดู คนดูลงแล้ว แต่ฉันไม่ผิดนะแค่ร้องลงเอง แบบนี้มันคือลูกเล่นเทคนิคที่ต้องมีคือสนุกแต่ไม่หยาบ

“ในวงการลำตัดเราต้องยอมรับว่าพ่อหวังเต๊ะเป็นคนที่ทำให้ลำตัดเป็นที่รู้จักในสังคมมานาน พ่อหวังเต๊ะเป็นคนเก่งมากแกเป็นคนที่ไม่ว่าใคร แล้วเวลาไปดูคณะอื่นถ้าเขาเล่นหยาบแกจะกลับบ้านเลย เราจะไปฝืนอยู่ก็ไม่ได้ ก็ต้องกลับ ไม่ว่าไม่นินทาใครแต่ถ้าเจอใครที่พูดหยาบปุ๊บ พ่อหวังเต๊ะจะนำไม้งัดกลองเคาะปังแล้วบอกว่าไม่มีสกุล พอแม่ฟังแล้วรู้สึกเจ็บเลย”

ด้วยความที่คุณแม่ศรีนวลเป็นศิลปินอุทิศชีวิตเพื่อศิลปะการแสดงลำตัดมาโดยตลอด เพื่อสืบสานรักษาไว้ซึ่งเพลงพื้นบ้าน ลำตัด และเจตนารมณ์ของคุณพ่อหวังเต๊ะ ที่กล่าวว่าวันหนึ่งลำตัดจะสูญหายไปจากสังคม จึงได้มีการเปิดบ้านพักของตัวเองเป็น ‘แหล่งเรียนรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ลำตัดและเพลงพื้นบ้านภาคกลางพ่อหวังเต๊ะ แม่ศรีนวล’ ขึ้นมา

“ที่นี่เปิดเป็นแหล่งเรียนรู้ ก็มาอบรมกันปีละ 2 ครั้ง เพราะเราจะใช้ช่วงปิดเทอมของนักเรียนนักศึกษาอบรมครั้งหนึ่งคือ 3 วัน 2 คืน มากิน มานอน มาอยู่ที่นี่เสร็จ ความจริงแล้วแหล่งเรียนรู้ของเราต้องเปิดเมษายน พอโรคโควิดมาก็เปิดไม่ได้ จึงต้องใช้สอนออนไลน์แทน

“ส่วนการเรียนการสอนในวันแรกก็ให้ความรู้เรื่องการรำอย่างเดียวเลย จากนั้นร้องให้เขาฟังพอเริ่มซึมซับ แม่ก็จะเอาเพลงทั้งหมดให้นักเรียนเลือก เพื่อจะมาสอนเป็นเพลงหลัก วันที่ 2 สอนเขาเขียนเพลงจนกระทั่งตกเย็นก็กินข้าว หลังจากนั้นให้นักเรียนไปนั่งแต่งเพลงกัน วันที่ 3 ก็จะให้พวกเขาร้องเพลงที่แต่งกันเอง แต่โดยส่วนมากเขาจะนั่งแต่งเพลงกันในคืนแรกเลย เพราะเด็กรุ่นใหม่มีความตั้งใจสูงมาก

“การสอนของแม่คืออย่าไปบังคับว่าต้องเขียนอย่างนี้ แต่ให้เขาทำด้วยตัวเองเพราะที่แหล่งเรียนรู้นี้เราสอนทุกอย่างตั้งแต่เพลง รวมถึงสอนมารยาทในการอยู่ร่วมกัน แม่จะบอกว่าวันแรกที่หนูมาที่นี่ หนูไม่ได้เป็นลูกศิษย์ แม่ไม่ได้เป็นครูนะเป็นเพียงคนแก่คนหนึ่งเป็นยายหนูหรือจะเป็นแม่หนูก็ได้ ขอให้หนูนับถือแค่นี้ อยู่กันแบบพี่น้องลูกหลาน แล้วจะแบ่งเป็นกลุ่มเพื่อล้างชาม ล้างห้องน้ำ กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างแก้ว ก็ช่วยกันทำงาน ที่นี่จึงสอนมากกว่าความรู้

“ก่อนหน้านี้เราก็กังวลเรื่องอนาคตของลำตัดจะสูญหายไป แต่ตอนนี้แม่คิดว่าไม่สูญหายอย่างแน่นอน เพราะคนรุ่นใหม่หันมาเล่นลำตัดกันเยอะขึ้น แม้แต่ครูบาอาจารย์ก็หันมาเล่นลำตัด จากการเปิดสถาบันแห่งนี้ขึ้นมาซึ่งมันเกิดขึ้นจากพ่อหวังเต๊ะ สมัยที่ท่านป่วยพ่อหวังเต๊ะพูดว่า “ฉันตายลำตัดก็สูญ” แต่แม่ไม่สนใจ แม่ฟังเฉย ๆ จน 10 วันสุดท้ายท่านบอกอีกว่า “ฉันตาย ลำตัดมันก็สูญ” แม่ก็ใจหายนะ แม่ก็เข้าไปกอดแล้วก็บอกว่า “ลำตัดไม่สูญนะไม่ต้องกลัวหรอก ฉันจะทำต่อจนกว่าฉันจะตาย ถ้าฉันจะตายก็จะให้ลูกให้หลานให้ลูกศิษย์สานต่อไป ไม่ต้องกลัวนะป๋า ไม่ต้องกลัวนะ” พ่อหวังเต๊ะบีบมือแม่แล้วน้ำตาท่านก็ไหล “ป๋าไม่ต้องห่วงฉันจะทำถึงไม่มีงานฉันก็ทำ” แล้วแม่ก็ทำจริงเรารับปากแล้วเราต้องทำ เพราะมันเป็นสิ่งที่เรารัก และเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีทุกวันนี้ สิ่งที่เราเลี้ยงพ่อแม่ได้ เราจะไม่ทิ้งแม่ถือว่าลำตัดทำให้ครอบครัวแม่มีอยู่จนถึงทุกวันนี้

“ลำตัดมันเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมของไทย อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันสนับสนุนอย่าทิ้งให้ช่วยกันโปรโมท ทุกวันนี้ที่สอนเด็ก ๆ ไม่ได้หวังเงินทองอะไรขอแค่พวกเขามาเรียน แม่ก็มีความสุขแล้ว ซึ่งลำตัดแม่จะทำต่อไปจนกว่าจะไม่มีชีวิต ถ้ายังมีชีวิตก็จะทำต่อไป”

- คุณแม่ศรีนวล คำอาจ จบการศึกษา ระดับประถมศึกษา โรงเรียนวัดกลางทอง (วัดปุรณาวาส) เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร / ปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ใน พระบรมราชูปถัมภ์

- ปัจจุบันท่านรับหน้าที่ดูแลคณะลำตัดหวังเต๊ะ เป็นวิทยากร อาจารย์พิเศษ และยังเปิดบ้านพักเป็นแหล่งเรียนรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ลำตัด และเพลงพื้นบ้านภาคกลาง พ่อหวังเต๊ะ แม่ศรีนวล

 

สำเนียงการร้องเพลงลงจังหวะ ขับกล่อมด้วยลูกคู่เกี้ยวกันระหว่างกลุ่มชายหญิง โต้ตอบไปมาด้วยคารมคมคาย