ท้าวเวสสุวรรณ
เรื่องเล่าในวันนี้มีเรื่องราวของความเชื่อความศรัทธามาเกี่ยวข้องค่อนข้างเยอะทีเดียวครับ ด้วยเป็นเรื่องของท้าว “เวสสุวรรณ” ราชาแห่งยักษ์และภูตผีปีศาจ มูลเหตุในการเขียนเรื่องราวของท่านนี้เพราะว่ากระแสความนับถือศรัทธาในตัวองค์ท่านนั้นเพิ่มสูงขึ้นมาก และไม่ใช่ว่าเพิ่งเกิดขึ้นมาในช่วงปีสองปีนี้แต่อย่างใด แต่มีมานานแล้วและเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมาถึงช่วงนี้ที่ถือได้ว่าพีคที่สุด โดยเฉพาะในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในเขตข้างเคียง ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็ได้ประสบมากับกระแสความศรัทธาด้วยตัวเอง เมื่อราวช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมาได้มีเวลาเพียงพอตั้งใจจะไปไหว้ขอพรที่วัดจุฬามณี ผลคือต้องจอดรถเป็นระยะทางห่างจากวัดราว 2 กิโลเมตร แล้วต้องเดินเท้าเข้าไป และยิ่งตะลึงกว่าตรงที่ด้านในผู้คนต่างเข้ามากราบไหว้ไม่ขาดสายร่วมกว่าหนึ่งหมื่นคน หมุนเวียนเข้าตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ก่อนที่จะเล่าถึงสาเหตุที่มาถึงกระแสความศรัทธาและความนิยมนั้น ขออนุญาตเล่าถึงที่มาและประวัติต้านานเล่าขานขององค์ท่านสักหน่อยก่อนครับ
โดยประวัติของ “ท้าวเวสสุวรรณ "เป็นเทพเจ้าแห่งอสูรยักษ์ รวมถึงภูตผีปีศาจเป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ที่ปกป้องคุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ ทรงประทับคุ้มครองอยู่ทางทิศเหนือตามตํานานทางพระพุทธศาสนาเชื่อกันว่าในอดีตชาติท่านเคยเป็นพราหมณ์ที่ใจบุญ ท่านเปิดโรงงานค้าขายหีบอ้อยจนร่ำรวยและมักจะบริจาคเงินทองให้แก่ผู้ยากไร้ ด้วยบุญกุศลที่ท่านบําเพ็ญมา พระพรหมและพระอิศวรจึงให้พรความเป็นอมตะแก่ท่านเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั่วปฐพี และเป็นเทพแห่งความร่ำรวย ดังนั้นผู้คนจึงนิยมกราบไหว้บูชาท่าน
อีกตํานานหนึ่งนั้นมีเค้าโครงมาจากเรื่องรามเกียรติ์ โดยได้ขยายความเล่าว่าตัวท่านนั้นเดิมชื่อท้าว “กุเวร” หรือ “กุเปรัน” เป็นบุตรคนโตของท้าวลัสเตียน (ท้าวปุลัสต์) เจ้าแห่งกรุงลงกาโดยมีน้องต่างมารดา คือ ทศกัณฐ์ กุมภกรรณ พิเภก และลําดับอื่น ๆ อาศัยอยู่ด้วยกัน ซึ่งองค์ท้าวกุเปรัน เป็นยักษ์ที่ฝักใฝ่คุณธรรม ถือศีลปฏิบัติธรรม สร้างคุณงามความดี และที่สําคัญคือนับถือองค์ท้าวมหาพรหม ซึ่งในข้อนี้เป็นเรื่องเหล่ายักษ์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยพอใจนักรวมถึงตัว ทศกัณฐ์ และท้าวลัสเตียนผู้เป็นบิดาด้วย เพราะโดยส่วนใหญ่เชื่อกันว่าพงพันธุ์ยักษ์นั้นมิได้มีที่มาจากท้าวมหาพรหม แต่เมื่อสิ้นท้าวลัสเตียนแล้ว ท้าวกุเปรันก็ได้ขึ้นครองเมืองลงกาตามศักดิ์และสิทธิของตน
แต่อย่างไรก็ดี นางนึกษา มารดาของทศกัณฐ์ ได้ยุยงให้ทศกัณฐ์ ชิงกรุงลงกามาจากท้าวกุเปรัน ทั้งยังชิงเอาบุษบกอันพระพรหมได้ประทานมาให้แก่ท้าว กปันไปอีกด้วย โดยมีการขยายความในตอนชิงเมืองยึดอํานาจในครั้งนี้ไว้ว่า หลังจากทศกัณฐ์ได้นํากําลังไพร่พลยักษ์เข้ายึดเมืองแล้ว ทศกัณฐ์ได้เดินเข้ามาเผชิญหน้าท้าวกุเปรันพี่ชายต่างมารดาบริเวณท้องพระโรงหน้าบัลลังค์ โดยองค์ท้าวกุเปรันยืนนิ่งขวางบัลลังค์อยู่ โดยทรงยืนสงบไม่ตอบโต้โด ๆ ไม่ใช่ว่าไม่มีฤทธิ์ ไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ แต่ท่านเห็นว่าทศกัณฐ์เป็นน้องชายจึงไม่คิดสู้ด้วย และหากสู้กันจริง ๆ แล้ว ทศกัณฐ์ คงมีแต่ตายกับตายเท่านั้น
ข้างทศกัณฐ์เห็นพี่ชายยืนขวางนิ่งไม่ไหวติง จึงเอาพระแสงดาบฟันไปที่ขาข้างขวาจนเป็นแผลใหญ่เลือดไหลท่วม แต่ก็มิได้ปริปากร้องแต่อย่างใด สุดท้ายแล้วทศกัณฐ์เองที่รู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ จึงได้ทําการไหว้ขอให้ยอมสละซึ่งบัลลังค์ให้ตนได้ขึ้นปกครอง ท้าวกุเปรันเห็นน้องไหว้ขอดังนั้นจึงค่อย ๆ เดินออกจากเมืองไป โดยออกไปตัวเปล่า ยกเมืองลงกาทรัพย์สมบัติ ไพร่พลทั้งหมด ให้ทศกัณฐ์ได้ปกครอง แต่ภายในใจท่านนั้นเศร้าโศกเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งต่อมาภายหลังจากนี้ ท้าวกุเปรันได้ไปบําเพ็ญตบะบูชามหาเทพทั้งสาม พระศิวะ พระวิษณุ และท้าวมหาพรหม เป็นเวลา 1,000ปี จึงได้รับพรและรางวัลจากมหาเทพทั้งสามโดย
• ได้รับประทานพระนครเมืองใหม่ให้ คือ "อาลก มันทามหาราชธานี"
• ให้เป็นผู้ที่มีทรัพย์มากเป็นอเนกอนันต์มากมายมหาศาล และประทานชื่อใหม่ว่า “ท้าวเวสสุวรรณ”
• เป็นผู้อยู่เหนือความตาย ดูแลกฎแห่งกรรม
• ได้ตะบองคฑาวุธวิเศษ ที่เป็นศาสตราวุธ อานุภาครุนแรงที่สุด 1 ใน 5 ของจักรวาล
• ได้รับการแต่งตั้งให้ดูแลอยู่ทางทิศเหนือของเขา พระสุเมรุราช และได้เป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่
แต่จากเหตุการณ์ที่ท้าวเวสสุวรรณได้ถูกทศกัณฐ์ใช้พระแสงดาบฟันเป็นแผลใหญ่นั้น ยังผลให้ขาท่านเหมือนพิการไปหนึ่งข้างเดินเหินไม่ปกติ เป็นเหตุให้ต้องหยั่งขาข้างขวาขึ้นข้างหนึ่งและใช้ไม้ตะบองคฑาวุธ ค้ำยันอยู่ตลอดเวลา และนั่นคือภาพลักษณ์ของท่านที่เราจํามาจนถึงทุกวันนี้ รูปปั้นรูปแทนตนของท้าวเวสสุวรรณจึงมีลักษณะหยั่งขาข้างขวาข้างหนึ่งตลอดเวลา
ส่วนอีกตํานานหนึ่งที่กล่าวถึง ท้าวเวสสุวรรณ คือท่านนั้นบําเพ็ญตนอยู่ในศีลธรรม มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาลของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม จึงได้แบ่งร่างอวตารมาเสวยพระชาติเกิดเป็นกษัตริย์พระเจ้าพิมพิสาร ครองกรุงราชคฤห์ ในแคว้นมคธ มีศักดิ์เป็นพระสหาย ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คอยเกื้อหนุนบํารุง อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา และเป็นผู้ที่ทําให้พระพุทธศาสนาแพร่กระจายไปทั่วแคว้นมคธ ซึ่งท่านนั้นได้ครองราชย์เป็นเวลา 52 ปี แต่ต่อมาภายหลังได้ถูกลูกชาย นามว่าพระเจ้าอชาติศัตรู ซึ่งได้รับการยุยงจากพระเทวทัต จับพระเจ้าพิมพิสารขังคุกให้อดพระกระยาหาร และทําการทรมานต่าง ๆ เช่น ล่ามโซ่ ตัดเส้นเอ็น กรีดพระบาทของพระเจ้าพิมพิสารเพื่อให้เดินจงกรมทําสมาธิไม่ได้ จนพระองค์เสด็จสวรรคต ซึ่งพ้องกับเหตุการณ์ที่ท้าวกุเปรันถูกทศกัณฐ์ใช้พระแสงดาบฟันที่ขาจนเสียไปหนึ่งข้างนั่นเอง
ซึ่งด้วยความที่ท่านเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีอํานาจเหนือความตาย มีทั้งทรัพย์ที่มากมายมหาศาล รวมไปถึงความที่ท่านเป็นผู้ที่บําเพ็ญตนอยู่ในศีลในธรรม มีเมตตามหาศาล จึงเป็นที่นับถือกราบไหว้มาแต่ครั้งโบราณมาจนถึงในปัจจุบันนี้ ส่วนสาเหตุของการที่กระแสความนิยมในตัวองค์ท่านว่าทําไมถึงมาปะทุกันในช่วงนี้นั้น ด้วยในช่วงสองปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โลกของเราได้รับผลกระทบมาจากโควิด ตั้งแต่สายพันธุ์อัลฟ้า , เดลต้า จนมาสู่โอไมครอน ในปัจจุบันธุรกิจทุกประเภททั้งร้านรวงต่าง ๆ ได้ถูกปิดตัวลงอย่างมากมาย ทั้งปัญหาทางด้านไม่มีลูกค้า และไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายอีกต่อไปได้ หลาย ๆ ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด การลดพนักงานก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ต้องทํา ทุกคนจึงมุ่งหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจเพื่อที่จะได้มีกําลังใจในการต่อสู้กับปัญหาชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญที่ทุกคนต่างหันไปทางท่านท้าวเวสสุวรรณ
โดยมุ่งหน้าขอพรจากท่าน และก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่หลาย ๆ คนไปขอพรแล้วก็สําเร็จได้จริง มีโชคลาภ ทางการเงินการค้าขายวิ่งเข้ามาปะทะอยู่ตลอด ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องของความศรัทธาส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของพลังใจและความขยัน เมื่อคนเรามีสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจที่มากพอ และสู้ฝ่าฟันกับปัญหาต่าง ๆ อย่างสุดกําลัง ส่วนใหญ่แล้วจะได้รับผลตอบแทนที่ดีทั้งนั้น เมื่อธุรกิจไปรอด คนที่รับการจ้างงานก็มีเพิ่มมากขึ้นไปตามลําดับ หลาย ๆ ความสําเร็จจากการขอพรที่เกิดขึ้น จึงเกิดเป็นคําพูดปากต่อปากที่รวดเร็วยิ่งกว่าโซเชียล จนมาเป็นความศรัทธาอย่างล้นหลามในตอนนี้นั่นเอง
และท้ายที่สุดนี้ผมได้ลองสอบถามผู้คนที่มาไหว้ขอพรจากท่านท้าวเวสสุวรรณว่า ส่วนใหญ่ขอพระอะไรจากท่านมากที่สุด เสียงคําตอบไปในทิศทางเดียวกันว่า ขอให้โควิตได้หมดไปจากประเทศเสียที สาธุ