Jeff Satur : Heading Out to the Highway ชีวิต แรงขับเคลื่อน และแนวคิด ของศิลปินผู้ไร้ขอบเขต

Jeff Satur : Heading Out to the Highway ชีวิต แรงขับเคลื่อน และแนวคิด ของศิลปินผู้ไร้ขอบเขต

“No Boundaries มันคือการที่เราก้าวข้ามจากตรงนั้น ก้าวข้ามปมของตัวเองออกมาได้ พอผ่านจากตรงนั้น เราก็เป็นตัวเองที่เปิดรับอะไรมากขึ้น มีอิสระในการทำอะไรมากขึ้น เหมือนกับว่าเรามองเห็นตัวเองในแบบที่ดีมากขึ้น” Jeff Satur

ขอต้อนรับสู่โลกของ “เจฟ วรกมล ซาเตอร์” หรือ Jeff Satur (เจฟ ซาเตอร์)” คนหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยความสามารถและศักยภาพที่เป็นไปได้ ศิลปินสังกัด Wayfer Records ภายใต้ Warner Music Thailand เขาคือตัวแทนของคนรุ่นใหม่ผู้หลอมรวมดนตรี การแสดง และแฟชั่น ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างลงตัว ผ่านทัศนคติ “No boundaries” หรือ “ไร้ขอบเขต” เปิดพื้นที่อย่างอิสระเพื่อสร้างสรรค์ผลงานเพลงที่มีความเป็นสากล และขณะเดียวกันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยากจะหาใครมาลอกเลียน

Intro : The beginning

Jeff Satur : จริง ๆ มันเริ่มตั้งแต่ช่วงม.ต้น ม.ปลาย ประมาณนั้น ซึ่งเจฟในตอนนั้นค่อนข้างจะต่างกับปัจจุบันมาก ๆ เพราะว่าไอดอลที่ทำให้เราเริ่มเล่นดนตรีจริง ๆ เป็นวงร็อก X JAPAN, Slipknot และ Metallica มันค่อนข้างเป็นร็อกที่เมทัลมาก ๆ แต่พอเวลาผ่านไปแนวเพลงที่ชอบก็เปลี่ยนไปครับ ช่วงม.ปลาย เจฟเริ่มประกวดรายการร้องเพลง แล้วรายการแรกที่ประกวดก็มีพี่คนหนึ่งจากค่ายใหญ่ที่เจฟเคยอยู่ติดต่อมา หลังจากนั้นก็เริ่มทำงานเพลงประมาณ 3-4 ปีครับ

จากความประทับใจที่มีต่อศิลปินระดับโลก สู่แรงขับเคลื่อนครั้งสำคัญที่นำพาให้ชีวิตของ เจฟ ซาเตอร์ หันเหเข้าสู่เส้นทางสายดนตรี กลายเป็นศิลปิน และมีซิงเกิลเป็นของตัวเองในที่สุด แม้ว่าหลังจากนั้น เจฟจะเริ่มหันเหเข้าสู่เส้นทางสายนักแสดง ฝากผลงานควบคู่ไปกับการรับรางวัลและตำแหน่งต่าง ๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่นในฐานะศิลปิน เขาจึงไม่หยุดที่จะหมั่นฝึกฝนทักษะทางด้านดนตรีอยู่เสมอ ส่งผลให้เขามีโอกาสได้เขียนเพลงและโปรดิวซ์ผลงานเพลงประกอบซีรีส์เรื่องต่าง ๆ ที่โด่งดังไปในหลายประเทศฝั่งเอเชีย

Track 1 : Living Life with Passion

Jeff Satur : เรารู้สึกว่าอยากจะเล่าอะไรบางอย่างแบบเขียนเพลงตอนที่อกหัก เชื่อว่าศิลปินหลายคนน่าจะเริ่มต้นประมาณนั้น คือเรารู้สึกเสียใจมาก ไม่รู้จะระบายออกยังไงก็เลยเขียนเป็นเพลง ตอนง้อเราก็เขียนเพลง

เพลงแรกที่เขียนผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นตอนไหน น่าจะประมาณช่วงม.ปลาย ผมเขียนเพลงเกี่ยวกับความสูญเสียของตัวเองนี่แหละ พอปล่อยมันออกไปก็มีคนเข้ามาฟัง มันรู้สึกเหมือนกับว่าเราได้รับการเยียวยา รู้สึกว่า เออ มีคนเจ็บปวดเป็นเพื่อนเลยว่ะ มันทำให้ผมรู้สึกว่าเราสามารถเป็นเพื่อนกันได้ผ่านบทเพลงนั้น ๆ

ถ้าเปรียบเทียบความคิดก่อนหน้านี้กับปัจจุบัน จริง ๆ มีความแตกต่างค่อนข้างเยอะ เพราะตอนนั้นเจฟเป็นแค่นักร้องที่ก็ร้องเพลงไป แต่งเพลงเขียนเพลงน้อยมาก ๆ ร้องตามเพลงที่เขาทำมาให้ คือตอนนั้นเราค่อนข้างเด็ก ใครให้ทำอะไรก็ทำไปเรื่อยทุกอย่าง ลอย ๆ ไปตามกระแสลม เราไม่ได้มีความเป็นศิลปินจริง ๆ แบบตอนนี้ แบบที่เราจะสร้างงานศิลป์ขึ้นมาจากตัวเองนะ จากอิทธิพลที่ได้รับ เป็นตัวเราทั้งหมด เรามีภาพในหัวมากกว่าตอนนั้น เริ่มมีความรู้สึกว่าอยากทำอย่างนั้นอย่างนี้

Track 2 : It’s Time to Rise

หลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในฐานะนักแสดง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์มาช่วงเวลาหนึ่ง เจฟ ซาเตอร์ ได้ฤกษ์คัมแบคสู่พาร์ทศิลปินอีกครั้ง กลับมาสร้างสรรค์ผลงานเพลงแบบเต็มตัว เปิดตัวในฐานะศิลปินค่าย Wayfer Records ภายใต้สังกัด Warner Music Thailand โดยระหว่างการสัมภาษณ์ เจฟได้บอกเล่าถึงเหตุผลที่เขาเลือกเซ็นสัญญากับทาง Wayfer Records เอาไว้ว่า

Jeff Satur : คือที่ผ่านมาเราทำงานมาหลายค่าย เห็นการทำงานมาหลายแบบ บางอย่างโอเค บางอย่างก็น่าจะมีแนวทางที่เหมาะสมกับเรามากกว่า เจฟลองดูหลาย ๆ ค่าย ตอนนั้นเราเริ่มมาเป็นนักแสดง ไม่ค่อยได้ทำงานเพลง จนกระทั่งวันหนึ่งรู้สึกว่ามันถึงเวลาที่เราต้องทำเพลงซิงเกิลของตัวเองแล้วนะ เรามีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่ได้เล่า แล้วอยากที่จะเล่ามันมาก ๆ ก็เลยเริ่มมองหาว่าอยากทำงานร่วมกับใคร

จริง ๆ เจฟเป็นคนชอบทำงานร่วมกับคนอื่น ในฐานะศิลปินเราก็อยากที่จะทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ท่านอื่น ทำงานร่วมกับศิลปินท่านอื่น การได้ทำงานร่วมกับค่ายท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โอเคมันดูน่าสนุกดี ผมก็เลยคิดว่างั้นลองหาค่ายดูดีกว่า แล้วปรากฏว่าในเพลย์ลิสต์ของเราส่วนใหญ่เป็นเพลงของศิลปินจาก Warner Music เพลงนี้ก็ Warner Music

นั่นแหละครับ พอดูในเพลย์ลิสต์ ผมเลยลองเข้ามาคุยกับค่าย Warner Music แล้วรู้สึกว่าที่นี่มีวิธีการทำงานที่เป็นศิลปินมาก ๆ เพราะทุกคนเป็นศิลปินมาก่อน ทีมของผมเป็นศิลปินหมดเลย ผมเอนจอยกับการทำงาน ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบนี้มันสนุกดี ผมเลยตัดสินใจร่วมงานครับ

ถ้าให้พูดถึงความแตกต่าง การทำงานของเราเองมันก็เหมือนกับการอยู่คนเดียว เราคิดคนเดียว เราไม่รู้ว่ามันจะออกมาดีหรือเปล่านะ คิดอะไรได้ก็ใส่ไปเลย แต่การทำงานกับ Wayfer Records เรามีทีมงานที่แบบว่า พี่ว่าตรงนี้ดีกว่านะ เปรียบได้กับอาหารคนละประเภท จานนี้อาจมีรสชาติเดียว แต่จานนี้มีรสชาติที่หลากหลายกว่า มีรสที่กลมกล่อมมากขึ้น ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ได้ทำงานร่วมกับคนอื่น มันสนุกมาก ๆ แล้วเราไม่รู้เลยว่าเพลงมันจะออกไปในทิศทางไหน ทำให้เราตื่นเต้น และรอดูว่าสุดท้ายมันจะไปจบลงที่เพลงแบบไหน

Track 3 : No Boundaries

สำหรับศิลปินแล้ว ตัวตนและทัศนคติของผู้สร้างมักเป็นสิ่งสะท้อนผ่านชิ้นงานให้เราได้เห็นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งผลงาน เจฟ ซาเตอร์ ก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน โดย “No Boundaries” คือ Positioning หลักที่เขาเลือกนำมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน กล่าวคือทัศนคติที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องเพศ เพลงคือภาษาสากลที่ไม่จำเป็นต้องระบุว่าเป็นเพลงแนวไหน

Jeff Satur : เจฟใช้ตัวเองเป็นแก่นกลาง ซึ่งพอมันออกมาผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคือแนวอะไร ทุกเพลงที่ทำ ผมไม่สามารถระบุแนวมันได้ ผมแค่รู้สึกว่ามันใช่สำหรับเราประมาณนั้นครับ

เมื่อพูดถึง “No Boundaries” หรือ “ไร้ขอบเขต” มันชวนให้คิดต่อไปได้ว่า ก่อนจะไร้ซึ่งกรอบหรือกฎเกณฑ์ใด ๆ การทำความรู้จักกับสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้เราสามารถข้ามผ่านมันไปได้อย่างแท้จริง โดยเจฟได้พูดถึงกรอบในอดีตที่เคยครอบและจำกัดเขาเอาไว้ว่า

Jeff Satur : เจฟเชื่อว่าทุกคนมีกรอบของตัวเอง บางคนใหญ่บางคนเล็กไม่เท่ากัน แล้วก็มีปมที่ไม่เหมือนกันด้วย อย่างของเจฟมันเป็นกรอบที่เราต้องการทำให้ถูกใจคนอื่น ทำให้คนอื่นเขาไม่ว่าเรา กลัวเราดูไม่ดี เพราะฉะนั้นเวลาที่ทำงานมันกลายเป็นว่าเรารู้สึกกังวลว่าพอปล่อยออกไปแล้วมันจะดีพอไหม มันจะถูกใจคนอื่นไหม

มีช่วงหนึ่งที่เจฟเลิกทำงานเพลงไปเลย ไม่ทำ Youtube ด้วย เพราะรู้สึกว่ามันยังไม่ดีพอ ไอคำว่ามันยังไม่ดีพอนี่แหละคือกรอบที่เจฟขังตัวเองไว้

พอมันถึงจุดหนึ่งที่เราบอกว่า No Boundaries มันคือการที่เราก้าวข้ามจากตรงนั้น ก้าวข้ามปมของตัวเองออกมาได้ พอผ่านจากตรงนั้น เราก็เป็นตัวเองที่เปิดรับอะไรมากขึ้น มีอิสระในการทำอะไรมากขึ้น เหมือนกับว่าเรามองเห็นตัวเองในแบบที่ดีมากขึ้น นี่คือมุมมองของเจฟครับ

Track 4 : Highway and Complicated

“Highway” ซิงเกิลเปิดตัว เจฟ ซาเตอร์ ในฐานะศิลปินอย่างเป็นทางการ เป็นผลงานที่ว่าด้วยการมูฟออนจากจุดเดิมไปสู่การเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต เนื่องด้วยภาพรวมของเพลงที่แตกต่างไปจากขนบที่หลายคนคุ้นชิน ส่งผลให้เจฟกลายเป็นศิลปินที่น่าจับตามองโดยปริยาย และเมื่อไม่นานมานี้ “ทำไมมันยาก (Complicated)” ผลงานเพลงซิงเกิลลำดับที่สองของเขาที่ตอกย้ำตัวตนและทัศนคติ No Boundaries ก็ได้ถูกปล่อยออกมาเป็นที่เรียบร้อยท่ามกลางฟีดแบคที่ดีเช่นกัน

Jeff Satur : เพลง “Highway” พูดถึงความรู้สึกที่เราต้องมูฟออนจากจุดนี้ ลบทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไป แม้ว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมันจะดีมาก ๆ แต่พอถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องไปต่อจากเรื่องเหล่านั้น มันพูดถึงความกล้าในการก้าวออกไปจากจุดเดิมจากเซฟโซนที่เราเคยยืนอยู่ครับ

Highway ถือเป็นเพลงแรกที่เจฟกลับมาทำซิงเกิลแบบจริงจัง ผมกับพี่เบน (ศิรสิทธิ์ ตั้งบุญดวงจิตต์) ตอนนั้นนั่งอยู่ที่บ้านแล้วก็จิ้มบีทกันเลย นั่งลุ้นว่ามันจะออกมาเป็นยังไง คิดไม่ออกเลยว่าจะร้องกับบีทแบบนี้ยังไง มันเหมือนกับการเดินทางไปเจออะไรที่แปลก แล้วเราลองทำสิ่งนั้นดู สนุกมาก ๆ ครับ ฟีดแบคก็ออกมาดีมาก หลายคนคอมเมนท์ว่าเขารู้สึกได้อะไรบางอย่างจากเพลงนี้ ได้มูฟออน มีกำลังใจในการมูฟออน ก้าวเดินออกจากเรื่องแย่ ๆ ที่เจอมาในชีวิตได้

ก่อนหน้านี้ที่บอกว่ามีเรื่องอยากจะเล่า จริง ๆ เจฟแค่อยากจะบอกว่าเราเป็นมนุษย์ครับ อย่างในเพลง “ทำไมมันยาก (Complicated)” คือบางเรื่องเรารู้ทุกอย่างว่ามันควรจะเป็นแบบไหน แต่บางครั้งเราก็ทำมันไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือให้เวลากับมันในการคิด แล้ววันหนึ่งเราจะทำมันได้เอง นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกครับ

คอนเซ็ปต์ของเพลง ทำไมมันยาก มันคือความรู้ที่ไม่รู้ มันคือการที่เราทุกอย่างเลย เรารู้ว่าควรตัดใจจากเขาได้แล้ว รู้ว่ามันไปต่อไม่ไหวแล้ว รู้ว่าเหนื่อย เราสองคนแบกรับบางอย่างมานาน ทั้งที่ความสัมพันธ์มันอาจจบลงไปนานแล้วก็ได้ แต่เราทำไม่ได้ที่จะปล่อยให้มันจบลง ปล่อยเขาไป มันรู้นะแต่ทำไม่ได้ แล้วก็บ่นกับตัวเองว่าจริง ๆ ชีวิตมันง่าย ความรักมันก็ควรจะเป็นเรื่องที่ง่าย แต่ทำไมมันยากจังวะ

การทำงานของเพลงนี้ ผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับ พี่แม็ก The Darkest Romance (ธิติวัฒน์ รองทอง) และพี่ปอนด์ Kingkong (กฤษฎา วดีศิริศักดิ์) ทั้งสองคนเขามีสไตล์การทำงานของตัวเอง ถ้าเราได้ฟังผลงานของพี่แม็กเขาจะเขียนเนื้อเพลงที่ค่อนข้างเป็นปรัชญา ผมรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์ สัมผัสได้ถึงสิ่งเหล่านั้นจากเนื้อเพลงของเขา ส่วนพี่ปอนด์เขาจะมีแนวดนตรี ทางในการทำเพลงที่ผมเองก็ไม่ค่อยได้ฟังแนวนี้

ตอนฟังเพลงนี้ครั้งแรก มันจะมีความซินธ์ป๊อปบาง ๆ อิเล็กโทรป็อปบาง ๆ มีความวินเทจ มีความโมเดิร์น ผสมผสานกันแบบลงตัวมาก ซึ่งพอทั้งสองคนมาจับมือมันผมก็เลยได้ไอเดียเรื่องเมโลดี้ว่าควรจะร้องยังไง ประกอบร่างกันจนกลายเป็นเพลงนี้ขึ้นมาครับผม

Track 5 : Dual Role

Jeff Satur : พูดถึงการเป็นศิลปินกับนักแสดง เริ่มจากจุดที่เหมือนกันก่อนเลย คือมันเป็นการเล่าเรื่องเหมือนกันครับ แต่เป็นการเล่าเรื่องในรูปแบบที่ต่างกัน การเป็นนักแสดงมันเหมือนกับว่าเราเล่าเรื่องชีวิตของตัวละคร ซึ่งไม่ใช่เรานะครับ เป็นตัวละครที่บางทีไปเจออีเว้นท์หรือเหตุการณ์บางอย่างที่อาจไม่ได้เกิดขึ้นในชีวิตปกติของเรา สมมุติว่าเราโดนยิง มันคงเป็นไปได้ยากที่เราจะโดนยิงในชีวิตปกติ แล้วเรื่องราวเหล่านั้นมันไม่ได้มอบแค่ประสบการณ์ให้กับคนดูได้เห็นชีวิตของตัวละคร แต่มันได้มอบประสบการณ์ให้กับเราด้วย อีโมชั่นเหล่านั้นมันก็ลิงค์ต่อไปที่เรื่องของการทำเพลง บางอีโมชั่นที่เราไม่เคยเจอมาก่อน เราสามารถเอาเรื่องราวของตัวละครมาเขียนเป็นเพลงได้ มันเหมือนเราได้รับทรัพยากรจากการไปเป็นคนอื่นมาแปปนึง

แล้วในการเขียนเพลงที่ต้องใช้การตีความอะไรบางอย่าง เราก็หยิบยกมาจากตรงนั้นกลับไปใช้ในการแสดง ซึ่งมันส่งผลให้เรื่องราวของตัวละครมีมิติที่ลึกมากขึ้น  ทำให้เรารับรู้อีโมชั่นของตัวละครละเอียดขึ้นกว่าปกติ มันช่วยส่งเสริมกันครับ ผมรู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้มาทำสองงานนี้ เราไม่มีทางรู้เลยว่าจริง ๆ แล้วมันเชื่อมโยงกันยังไงได้บ้าง ประมาณนั้นครับ

Track 6 : Heading Out to the Highway

Jeff Satur : ผมมีโควทคำหนึ่งที่ชอบมากครับ อันนี้เป็นคำที่คุณพ่อของเพื่อนเคยพูดว่า “ถ้าเราไม่คาดหวัง ทุกอย่างมันคือกำไร” ถ้าเปรียบการเป็นศิลปินคือการขับรถมุ่งตรงสู่ Highway ผมไม่ได้ Expect ว่าจะเจออะไรบน Highway นี้ แต่ถ้าเจอก็จะ Appreciate แบบที่ผมไม่เคย Expect มันมาก่อน เพราะถ้าเราไม่ Expect ทุกอย่างมันจะดีเสมอ เราจะได้รับรู้ประสบการณ์เหล่านั้นในแบบที่ไม่มี Filter รับรู้โดยแบบที่มันอยู่ตรงหน้าของเราจริง ๆ เพราะฉะนั้นผมก็ไม่ได้ Expect ว่าผมจะเจออะไรครับ

Track 7 : The Artist

Jeff Satur : เอกลักษณ์กับการเป็นศิลปิน ผมว่ามันจำเป็นและเชื่อว่าทุกคนมีมันอยู่แล้วนะ ถ้าเราไม่พยายามจะไปเป็นคนอื่น เราจะมีมันอยู่แล้วครับผม

รสนิยมกับการสร้างงาน ผมคิดว่ามีส่วนร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับ คือมันมาจากรากของเรา ทุกอย่างที่เราชื่นชอบ สนใจ เสพ มันหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งก้อนแล้วก็กลั่นจนออกมาเป็นตัวเรา เพราะฉะนั้นมันเอฟเฟคถึงกันหมดเลย ไม่ว่าเราจะฟังเพลงอะไรมา เราเติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหน ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันเกี่ยวข้องและมีผลถึงกันหมดครับ

ความท้าทายในการเป็นศิลปิน ผมรู้สึกว่าการที่เราพูด ทุกอย่างมันมีผลต่อคนฟังเสมอ การที่เราเป็นศิลปินไม่ว่าเราจะเล่าเรื่องอะไรก็ตาม มันมี Consequence ตามมาเสมอ ยกตัวอย่าง ผมเพิ่งอ่านหนังสือเล่มหนี่งมีชื่อว่า “The Catcher in the Rye” (เขียนโดย เจ.ดี. ซาลิงเกอร์) ซึ่งเป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่สังคมไม่ยอมรับ หนังสือเล่มนี้ดังมาก ๆ แล้วหนึ่งในคนที่อ่านมันคือคนที่สังหาร จอห์น เลนนอน ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าหนังสือเล่มหนึ่งมันจะสามารถทำให้คนสามารถไปฆ่าอีกคนได้ ความท้าทายคงอยู่ตรงที่ว่าเราในฐานะศิลปินค่อนข้างที่จะต้องเซนซิทีฟในการที่เราพูดเรื่องอะไรออกไป เพราะว่ามีคนที่ฟังแล้วคอยตีความมันอยู่เสมอครับ

Outro : บทส่งท้าย

Jeff Satur : เมสเสจที่ผมอยากจะบอกผ่านผลงาน ผ่าน “ทำไมมันยาก (Complicated)” คือเรื่องของการที่เราเป็นมนุษย์ เราเจอปัญหาในทุก ๆ วัน เราเห็นเราให้คำปรึกษากับเพื่อน แต่บางทีพอเกิดเรื่องกับตัวเองมันก็ยากกว่าที่คิด ผมเชื่อว่าทุกคนมีช่วงเวลาที่มันยากอย่างนี้ในชีวิต ไม่ครั้ง สองครั้ง หรือหลาย ๆ ครั้ง ให้เวลากับมัน แล้วพอผ่านเรื่องยาก ๆ พวกนี้ไปได้เราจะเติบโตขึ้นไปอีก เป็นตัวเราที่แข็งแรงขึ้นอีกครับผม ขอฝากเพลงนี้ด้วยนะครับ ตอนที่เขียนเพลง อัดเพลงนี้ ผมรู้สึกเลยว่ามันทำให้เรานึกถึงความทรงจำเก่า ๆ ถ้าฟังแล้วมันเจ็บปวด เรามารู้สึกเจ็บปวดไปพร้อม ๆ กันครับ

สำหรับช่องทางการติดตามเจฟ ทุกคนสามารถติดตามได้ทุกช่องทางโซเชียลมีเดีย ส่วนผลงานเพลงสามารถรับฟังได้ทาง Music Streaming ทุกช่องทางเลยครับ และมิวสิกวิดีโอ รวมไปถึงเบื้องหลังการทำงานต่าง ๆ สามารถติดตามได้ที่ Youtube Channel : Jeff Satur เลยครับผม

Hidden Track : Playlists

Jeff Satur : ถ้าให้แนะนำศิลปินที่อยู่ในเพลย์ลิสต์ของเจฟ คนแรกทุกคนน่าจะรู้จักกันดี Ed Sheeran คนที่สองคือ IU เป็นศิลปินที่เรารู้สึกว่าเขาเขียน เพลงเขียนเมโลดี้ให้ออกมาสวยงามและเป็นตัวเขา โปรดิวซ์เอง ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว แบบ Magical Girl มาก ๆ เพลงของเขาเป็น Inspiration ที่เราฟังอยู่ตลอด คนที่สามคือ RINI ทุกคนอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นชื่อเท่าไหร่ครับ เพลงที่เจฟชอบคือ “Meet Me in Amsterdam” ซึ่งเป็นเพลงที่ดีมาก ๆ แล้วก็มีวง LUSS ที่น่าจะคุ้นเคยกัน คือจริง ๆ แล้วพี่เบนก็มาทำงานร่วมกับเจฟในซิงเกิลแรกด้วย นอกจากนี้ก็มี D Gerrard มี Patrickananda คือเราชอบไวบ์เพลงประมาณนี้ แล้วบังเอิญมารู้ว่าทั้งสามคนนี้เขาอยู่ค่ายเดียวกันหมดเลย ถือเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกประหลาดใจดีครับผม

 

Follow Him

Facebook : Jeff Satur
Twitter : jeffsatur
Instagram : jeffsatur
Tiktok : jeffsatur
Youtube : Jeff Satur

Photo : Warner Music Thailand

Jeff Satur : Heading Out to the Highway ชีวิต แรงขับเคลื่อน และแนวคิด ของศิลปินผู้ไร้ขอบเขต