ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย คือนักคิด นักเขียน นักบรรยาย นักบริหารการตลาดและประชาสัมพันธ์ เป็นประธานที่ปรึกษา บริษัท ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด แม้จะทำธุรกิจ แต่ธุรกิจที่คุณดนัยทำนั้นเน้นเรื่องของคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งมีการถ่ายทอดออกมาเป็นเจ้าของทฤษฎีกลยุทธ์ น่านน้ำสีขาว เป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ของการตลาดที่ดีให้กับสังคมอีกทางหนึ่ง ในมุมมองเรื่องความดีของคุณดนัยนั้นจึงมีแนวคิดที่เข้าใจสังคมอย่างแท้จริง
“ความดีของคนเรามีหลายระดับ ทั้งข้างนอกและข้างใน ข้างนอกก็เช่นการบริจาค การช่วยเหลือสังคมสงเคราะห์ สร้างวัดวาอาราม บูรณะพระธาตุ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ปล่อยปลา ช่วยเหลือเด็กอันนี้ผมทำตลอด ซึ่งถือว่าดีอยู่แล้ว แต่ความดีจากข้างในคือเรื่องของกิเลส ถ้าพูดเป็นภาษาธรรมะคือขันธสันดานที่คิดว่าตัวเองยังต้องปรับปรุงอยู่ตลอด เป็นความดีที่ไม่หลงลืม ถ้าคนเราทำความดีมันจะติดตัวเราไปทั้งชาติภพนี้และภพชาติต่อไป
“แนวทางการทำความดีสำหรับตัวผม คือการได้เห็นคุณค่าของตัวเอง มีความศรัทธาในตัวเองก็มีความภาคภูมิใจ นี่คือจุดเริ่มต้นของความดีงามที่สุดในโลกใบนี้ ถ้าเราตระหนักถึงคุณค่าของตัวเราเองแล้ว เราจะรู้ว่าเกิดมาเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้โลกนี้ดีขึ้น ผมมองว่านี่คือความดีที่เราควรแสวงหา การทำความดีง่ายที่สุดในชีวิตประจำวัน คือทำให้คนรอบข้างเรามีความสุขคือไม่ต้องไปหากลุ่มเป้าหมายอะไร ใครที่เดินผ่านหน้าเรา เขาก็สมควรที่จะได้รับแบ่งบันความสุขง่าย ๆ กับเรา
“เวลาเราทำความดีบางคนบอกว่าทำความดีสร้างภาพ ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรไม่เกี่ยวกับเรา ถ้าเราทำอะไรแล้วกลับมาดูว่าเป็นสิ่งที่ควรทำก็ทำต่อไป คือการสร้างภาพที่ดีมันก็ยังดีกว่าการสร้างภาพที่ไม่ดี ผมคิดว่าอะไรที่เราทำซ้ำห้าครั้ง สิบครั้ง ร้อยครั้ง หมื่นครั้ง สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นนิสัย เป็นชะตาชีวิตของเรา ถึงแม้จะเป็นการสร้างภาพก็ทำไปเถอะครับถ้าเป็นสิ่งดี
“หากเราเป็นคนไทยแล้วเป็นชาวพุทธ คือไม่มีอะไรที่เป็นธรรมและเที่ยงแท้เท่ากับกฎแห่งกรรม ถามว่าทำไมบางคนทำไม่ดีแต่ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคม ก็เพราะกรรมของแต่ละคนไม่เท่ากัน มันเป็นเรื่องของภพชาติด้วย คือบุญของแต่ละคนสั่งสมมาต่างกัน ทีนี้มันเป็นเรื่องของบุญใหม่ที่เรากำลังสะสม บางทีอาจยังไม่เห็นทันตา กรรมใครก็กรรมมันไม่ต้องไปแทรกแซง ห่วงตัวเองดีกว่าครับ
“ในชีวิตของผมมี 2 พระองค์ที่เป็นต้นแบบการทำความดี คือพระพุทธเจ้า พระองค์ลงมาเป็นมนุษย์เหมือนพวกเรา ได้ลงมาชี้ทาง เป็นแรงบันดาลใจให้เราเดินตามรอยพระพุทธเจ้า อีกพระองค์หนึ่งคือพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ท่านได้สอนธรรมะ สอนสิ่งที่ดีงามให้กับคนและชาวโลก ชี้ทางเจริญว่าทำได้อย่างไร ทั้งสองพระองค์จึงเป็นต้นแบบของผม
“โดยเฉพาะเรื่องราวของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ผมประทับใจหลายเรื่อง แต่มีครั้งหนึ่งที่ท่านรับสั่งเอาไว้คือ ‘เกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินประเทศไทย ไม่มีวันหยุดราชการ’ ซึ่งมาจากท่านรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม ที่เผยแพร่ออกมา พระองค์ท่านไม่เคยมีวันหยุด ไม่ได้ทำอะไรตักตวงเพื่อเป็นผลประโยชน์กับตัวเอง เราจึงควรมองตัวเองว่า ถ้าเราทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ก็ควรจะทำ คำขวัญที่ผมได้รับแรงบันดาลใจจากในหลวง รัชกาลที่ 9 คือ ‘หัวใจผมเป็นสุขทุกครั้งที่มันเต้นเพื่อผู้อื่น’
“ผมคิดว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เป็นแบบอย่างที่ดีมากในเรื่องของวินัย ซึ่งคนไทยเรายังอ่อนในเรื่องนี้ ท่านทรงเป็นแบบอย่าง ทรงรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระและทรงวิปัสสนากรรมฐานทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง ผมอยากเรียนว่าคนไทยแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์บอกว่าเรารักในหลวง แต่จะหาคนที่เดินตามรอยพระองค์มีน้อยมาก เพราะฉะนั้นลองคิดดูว่าถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ พระองค์ท่านจะสามารถประทับนั่งโดยไม่ขยับพระวรกายหลายชั่วโมงได้อย่างไร เหล่านี้เองผมอยากให้พวกเราน้อมนำสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำเป็นคติกับตัวเอง แล้วเราถามตัวเองว่าเราได้เดินตามเบื้องพระยุคลบาทได้อย่างแท้จริงแล้วหรือยังครับ”