The Sound Of Silence
พอล ไซมอน และอาร์ต การ์ฟังเกิล คือชื่อของเพื่อนซี้สมัยเรียน ที่กลายมาเป็นคู่หูทางดนตรีที่มีอิทธิพลกับคนในยุค 60-70 มากที่สุดคู่หนึ่ง ด้วยฝีมือการแต่งเพลงที่เนี๊ยบกริบของพอลกับเสียงเย็นใสของอาร์ต ทำให้อัญมณีทางดนตรีชิ้นเอกเพลงนี้ เป็นแลนด์มาร์คทางดนตรีแห่งยุคสมัยที่ทั้งคู่สร้างสรรค์ไว้ให้ผู้คนได้ฟังกันอย่างไม่รู้เบื่อ
เพลงนี้ถูกใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Graduate หนังที่ทำคลอด ดัสติน ฮอฟแมน ให้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ประดับฮอลลีวูดอีกดวง เนื้อเพลงสะท้อนปัญหาเรื่องความเชื่อของผู้คนในสังคม โดยเปรียบเหมือนเราอยู่ในยุคมืดที่เต็มไปด้วยแสงสีจากไฟนีออน สังคมที่มีคนอยู่ร่วมกันจำนวนมาก แต่สนทนากันแบบไม่พูด ได้ยินโดยไม่ต้องฟัง
People talking without speaking, People hearing without listening, People writing songs that voices never share. ในอีกการตีความหนึ่ง Hello darkness, my old friend. I come to talk with you again. คือการพูดคุยกับพระเจ้า เปรียบถึงการมีศรัทธาต่อพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ประกอบด้วยปัญญา ที่ทุกคนอยู่ในความเงียบไม่มีใครกล้าตั้งคำถามตั้งข้อสงสัย เพราะ no one dared disturb the sound of silence. ไม่มีใครกล้าทำลายความสงบที่มี
And the people bowed and prayed to the neon god they made. บอกว่า ผู้คนพากันน้อมคำนับกราบไหว้ Neon God ที่พวกเขาสร้างขึ้น ตรงนี้ตีความต่อได้ว่า คือพระเจ้าแห่งวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้น อันได้แก่เงิน เพราะแสงนีออนเป็นสัญลักษณ์ถึงโลกแห่งวัตถุ
“The words of the prophets are written on the subway walls and tenement hallsAnd whispered in the sounds of silence”
ถ้อยคำแห่งผู้พยากรณ์หรือนักบวชนั้นถูกเขียนไว้บนกำแพงรถไฟใต้ดินและโถงของอพาร์ตเม้นต์ คอยกระซิบบอกโดยไม่มีเสียง อันนี้น่าจะหมายถึง “โฆษณา” ครับ ถ้าเงินคือพระเจ้ายุคใหม่ โฆษณาต่าง ๆ ก็ไม่ต่างจากคำเชิญชวนของนักบวชในศาสนาที่โน้มน้าวผู้คนให้ควักเงินในกระเป๋า
ในตอนท้ายของหนัง The Graduate ก็พูดถึงเรื่องศาสนา เพราะเป็นฉากพิธีแต่งงานในโบสถ์ และพระเอก นางเอกของเรื่องวิ่งหนีกันออกมา ทิ้งผู้คนไว้ในโบสถ์โดยการเอาไม้กางเขนอันใหญ่ไปขัดประตูไว้อันนี้สะท้อนความคิดเชิงขบฎของหนุ่มสาวยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
เราวางเรื่องความเชื่อ ศรัทธา ไปก่อนก็ได้ครับ แล้วลองมาถามตัวเองดูว่า เราเคยได้ยิน “เสียงของความเงียบ” บ้างไหม
ตั้งแต่เด็กมาผมเป็นคนชอบฟังเพลงครับ ถ้าไปที่ไหนไม่มีโทรทัศน์นี่ผมอยู่ได้สบายมาก ขอให้มีวิทยุ เครื่องเล่นเทปคาสเซทหรือซีดี ผมอยู่ได้ เพราะติดการฟังเพลงมาก อยู่มาวันหนึ่งผมมีโอกาสได้ไปเพื่อฝึกฟังเสียงความเงียบในใจตัวเอง ถึงได้รู้ว่าในความเงียบก็มีเสียงชนิดหนึ่งที่เราไม่เคยได้ยิน หรือเคยได้ยินแล้ว แต่ไม่สนใจ
ถามว่ามีประโยชน์อะไรไหมกับการฟังเสียงแห่งความเงียบ ตอบว่าถ้าฟังเป็น ก็มีครับ มากด้วย เพราะมันจะทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น เช่นได้รู้ว่าจิตใจเราแทบจะไม่เคยหยุดพูดเลย และการพูดในความเงียบของจิตนั่นแหละที่เราเรียกว่า “ความคิด” ได้รู้ว่าปกติจิตใจเราคิดเรื่องอะไรบ้าง ดีหรือร้าย
ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไร แต่ถ้าไม่รู้ทันความคิดนั้น มันก็จะกลายเป็นการกระทำจากการกระทำย้ำบ่อย ๆเป็นความเคยชิน จากความเคยชินมาก ๆ ก็กลายเป็นนิสัย และสุดท้ายก็เป็นชะตากรรม แล้วเราก็พากันไปหาหมอดูเพื่อจะถามว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง”
มันเริ่มมาจากเสียงแห่งความเงียบที่ชื่อ “ความคิด” นี่เองครับ
Songwriters :Paul Simon
Hello darkness, my old friend,
I’ve come to talk with you again,
Because a vision softly creeping,
Left its seeds while I was sleeping,
And the vision that was planted in my brain
Still remains
Within the sound of silence.
In restless dreams I walked alone
Narrow streets of cobblestone,
‘Neath the halo of a street lamp,
I turned my collar to the cold and damp
When my eyes were stabbed by the flash of a neon light
That split the night
And touched the sound of silence.
And in the naked light I saw
Ten thousand people, maybe more.
People talking without speaking,
People hearing without listening,
People writing songs that voices never share
And no one dared
Disturb the sound of silence.
“Fools,” said I, “You do not know.
Silence like a cancer grows.
Hear my words that I might teach you.
Take my arms that I might reach you.”
But my words like silent raindrops fell
And echoed in the wells of silence
And the people bowed and prayed
To the neon god they made.
And the sign flashed out its warning
In the words that it was forming.
And the sign said, “The words of the prophets are written on the subway walls
And tenement halls
And whispered in the sounds of silence.”