Batman v Superman: Dawn of Justice
เรียกว่าเป็นปีแห่งภาพยนตร์ Super Hero ก็ว่าได้ เนื่องจากปี 2016 นี้ มีภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ต่อคิวรอปรากฏโฉมบนจอเงินอีกนับสิบเรื่อง แต่เป็นที่แน่นอนว่าทุกสายตาจะต้องจับจ้องมาที่การพบกันเป็นครั้งแรกของบุรุษเหล็กจอมพลังกับอัศวินแห่งรัตติกาล ที่จะมาสะเทือนบัลลังก์ทำเงินของหนังซูเปอร์ฮีโร่จากอ้อมอกของคู่แข่งอย่าง Marvel
ต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่าหลังจากที่มีข่าวเตรียมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง Batman v Superman: Dawn of Justice ก็ทำให้ความเป็นเด็กในตัวรู้สึกตื่นเต้น กระเหี้ยนกระหือรือในการอดทนรออย่างใจจดใจจ่อ เพราะว่าส่วนตัวแล้วเติบโตมาในยุคที่คอมมิคอเมริกันฮีโร่มีอิทธิพลต่อเยาวชน ในช่วงก่อนที่ตลาดการ์ตูนในเมืองไทยจะถูกครองโดยมังงะจากฝั่งญี่ปุ่น และแน่นอนว่าความคาดหวังของหนังเรื่องนี้จากแฟนคลับทั่วโลกก็คงสูงลิบลิ่วไม่ต่างกัน ซึ่งก็ต้องยอมรับจริง ๆ ว่ามีความคาดหวังค่อนข้างสูง และแน่นอนเมื่อออกมาไม่ได้ตามหวังก็ย่อมผิดหวังเป็นธรรมดา
เริ่มแรกเลย ถ้าผู้ชมมีพื้นฐานตัวละครซูเปอร์ฮีโร่จากฝั่ง DC มาก่อน จะดูได้เพลินมาก ๆ เนื่องจากอย่างที่รู้กันว่า Zack Snider ค่อนข้างที่จะเก่งในการทำให้หนังดาร์กและเรียล แต่ข้อเสียของเขาก็คือการที่เขาเล่าเรื่องไม่เก่งเลย เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญหลาย ๆ อย่างที่ควรถูกเล่า กลับกลายเป็นว่าคนดูต้องศึกษามาเอง คือถ้าใครจะดู ต้องรู้มาบ้างแล้ว ทำให้มันกลายเป็นหนังสนองนี้ดของติ่งไป แฟนขาจรอาจจะดูแล้วไม่เก็ต อีกอย่างที่น่าตำหนิมาก ๆ ก็ตามนักวิจารณ์เขาว่าเลย น้ำเยอะ แล้วเป็นการพูดถึงน้ำที่เสียเวลาโดยใช่เหตุ เหมือนมุ่งประเด็นผิดนั่นแหละ ก็คิดเล่น ๆ เหมือนกันว่าถ้าตัดส่วนน้ำออก แล้วให้ความสำคัญกับพื้นหลังตัวละคร หนังน่าจะ Complete และเข้าถึงคนส่วนใหญ่ได้มากกว่า
ซึ่งนี่คือข้อเสียของหนัง DC ที่นำเสนอทุกตัวละคร ก่อนจะแยกไปเฉลยในหนังเดี่ยวของตัวเอง ต่างกับ Marvel ที่เลือกแนะนำตัวละครในหนังของตัวเอง หรือไปแจมกับเรื่องอื่นก่อนแล้วค่อยจับมารวมทีมกัน
ถัดมาตัวผู้กำกับ Zack Snider เอง ถ้าพูดกันตามตรงเริ่มต้นหนังได้ค่อนข้างดีนะ แต่อย่างไรก็ตามข้อเสียของเขาก็ยังคงเหมือนเช่นหนังหลาย ๆ เรื่องของเขา นั่นคือการที่เขาคุมมันให้ไปทางเดียวกันไม่อยู่ หนังเลยค่อย ๆ ดรอปลงเรื่อย ๆในขณะที่บางจุดกำลังพีคขึ้นจนเกือบสุด กลับกลายเป็นถูกดึงเปลี่ยนโหมดไม่ทันกันไปเสียอย่างนั้น แต่ยังดีที่เป็นเพียงแค่ช่วงองก์แรกของหนังเท่านั้น เหมือนมันส์มือไปหน่อยแต่พอจัดระเบียบได้แล้ว ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางขึ้นเยอะ
เรื่องของตัวละคร เหมือนความสำคัญไม่เท่ากันเลย คือน้ำหนักควรให้ใครเท่าไหร่ ควรจะเฉลี่ยให้เท่ากันมากกว่านี้คือเหมือนลำเอียง แล้วพอลำเอียง คนดูก็ไม่อิน เริ่มตั้งคำถามนั่นนี่ ทำให้หนังมันขาดอรรถรสไปเยอะอยู่ เพราะน้ำหนักที่ไม่บาลานซ์ ทำให้มีแต่คำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม แทบจะตลอดเวลา คือตอนแรกไม่กังวลนะ กับการได้เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก มารับบทเล็กซ์ ลูเธอร์ ซึ่งซีนที่มันน่ากลัวและน่าขยะแขยง เขาทำได้ดีมาก ๆ แต่น่าเสียดายตรงที่บทมันมีอะไรให้เล่นเยอะ แต่มันถูกทับซ้อนด้วยคาแรกเตอร์จาก Social Network กับการที่พยายามมากเกินไปจนจะกลายเป็นโจ๊กเกอร์อยู่แล้ว ทำให้มันดูไม่ขลังเท่าที่ควรกับเล็กซ์ ลูเธอร์ เวอร์ชั่นนี้
ส่วนที่น่าสนใจของเรื่องน่าจะเป็นเรื่องของการตีความเชิงสัญลักษณ์ ที่ตัวผู้กำกับเองได้นำเอาเรื่องของความเชื่อในศาสนาคริสต์ ไม่ว่าจะเป็น พระเจ้า = Superman, มนุษย์ = Batman และ ปีศาจ = Lex Luther ที่จัดการให้สัญลักษณ์ของปีศาจอย่างเล็กซ์ ลูเธอร์ ล่อลวงตัวแทนของความละเอียดอ่อนในจิตใจมนุษย์อย่าง Batman เพื่อใช้กำจัดพระเจ้า หรือ Superman ซึ่งก็เกือบจะทำสำเร็จหากไม่มีผู้ส่งสาร Lois Lane ที่โผล่เข้ามาแทรกจังหวะได้อย่างพอดิบพอดี
ซึ่งสิ่งที่เป็นนัยยะแล้วอิมแพคต่อคนดูที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นฉากที่ซูเปอร์แมนก้มลงไปศิโรราบต่อหน้าเล็กซ์ ลูเธอร์ซึ่งแสดงให้เห็นเลยว่า ปีศาจ หรืออีกนัยหนึ่งคือมนุษย์สามารถควบคุมพระเจ้าให้อยู่ใต้อาณัติของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดมนุษย์จะแพ้ภัยตนเอง แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อมนุษย์สามารถไขว่คว้าสิ่งที่ทัดเทียมพระเจ้าได้แล้วฉันใด เขาก็จะไม่หยุดแสวงหาและครอบครองพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นฉันนั้น
และสุดท้ายต้องขอปรบมือดัง ๆ ให้กับเรื่องดนตรีประกอบ คือเป็นส่วนสำคัญของหนังเลยก็ว่าได้ฮาน ซิมเมอร์ผู้ฝากฝีไม้ลายมือในหนังซูเปอร์ฮีโร่ของ คริสโตเฟอร์ โนแลนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมันคือส่วนที่ขับให้หนังมีพลัง และคงอยู่ในโทนที่ควรจะเป็น พูดง่าย ๆ ก็เหมือนกับว่าหนังได้ดนตรีประกอบพยุงช่วยไว้ค่อนข้างเยอะ ไม่งั้นผู้ชมคงผิดหวังไปมากกว่านี้เป็นแน่เลยทีเดียว
Film Info
ผู้กำกับ :Zack Snyder
ประเภท :Action, Adventure,Fantasy
สัญชาติ : USA
ความยาว : 151 นาที
Ratings : 7.5/10