Vincent Van Gogh
ท่านผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าภาพที่มีมูลค่าราคาแพงที่สุดในโลกคือภาพใด หลายท่านคงตอบได้ไม่ยากใช่ไหมครับ ภาพดังกล่าวคือภาพ “Mona Lisa” ที่วาดโดยจิตรกรเรืองนาม Leonardo da Vinci ซึ่งวาดขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1503–1507 แต่ที่บอกว่าเป็นภาพที่มีราคาแพงที่สุดในโลก คงจะไม่ถูกต้องซะทีเดียวนัก เพราะภาพ Mona Lisa ไม่ได้ถูกนำออกประมูลหรือมีการซื้อขายโดยบุคคลภายนอก ราคามูลค่าที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการประเมินมูลค่าเท่านั้น
เพราะภาพดังกล่าวได้ตกเป็นสมบัติชาติของรัฐบาลฝรั่งเศส ถูกเก็บและจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse du Louvre ในกรุงปารีส ซึ่งภาพนี้ได้ถูกทำประกันไว้ด้วยมูลค่าสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีมูลค่าโดยประเมินสูงกว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ...แล้วภาพที่มีการซื้อขายกันจริง ๆ และมีราคาแพงที่สุดคือภาพใด..? คำตอบคือภาพ Portrait of Dr. Gachet ของ Vincent Van Gogh นั่นเองครับ
ภาพ Portrait of Dr. Gachet ได้ถูกประมูลและขายให้กับมหาเศรษฐีชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า Ryoei Saito ด้วยวงเงินสูงถึง 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีราคาประเมินตามค่าเงินในปัจจุบันสูงถึง 116,790,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเมื่อเปรียบอันดับ 10 อันดับภาพที่แพงที่สุดในโลกแล้ว เป็นภาพของ Vincent Van Gogh ถึง 3 ภาพ นับเป็นอัตราส่วนที่มากทีเดียว แต่เป็นเรื่องที่ตลกปนเศร้าอยู่สักหน่อยว่า เรื่องราวชีวิตของ Vincent Van Gogh ในยามที่มีชีวิตอยู่นั้น ไม่มีทางได้รับรู้เลยว่าภาพงานเขียนของเขานั้นจะมีมูลค่าสูงถึงขนาดนี้
Vincent Van Gogh ศิลปินผู้อาภัพ เขามีอารมณ์ของความเป็นศิลปินอยู่เต็มเปี่ยม มีขึ้นมีลงแปรเปลี่ยนไม่แน่นอนและบางครั้งก็แสดงออกมาอย่างรุนแรง Van Gogh เป็นศิลปินชาวเนเธอร์แลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ.1853 ในครอบครัวนักบวช และมีพี่น้องถึง 6 คน ในวัยเด็กนั้น Vincent Van Gogh ถือได้ว่าเป็นเด็กที่เอาใจยาก บางครั้งก็ดูเหมือนเอาแต่ใจ ขี้ใจน้อย ปิดตัวเอง บางครั้งก็เหมือนเป็นเด็กเจ้าอารมณ์อ่อนไหวง่าย แต่เหนือสิ่งอื่นใด Van Gogh เป็นเด็กที่มีจิตใจดี ขี้สงสาร และเคยมีปณิธานที่จะช่วยเหลือผู้ยากไร้ และออกบวชเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์เฉกเช่นพ่อของเขา
โดยในช่วงอายุ 18 ปีนั้น Van Gogh ได้สอบเข้าวิทยาลัยศาสนาที่อัมสเตอร์ดัมได้ และ ได้เข้าไปศึกษาอยู่นานถึง 14 เดือน แต่เขาก็ค้นพบว่า การที่เขานั่งเรียนศาสนาอยู่นี้ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงดังที่เขาตั้งใจไว้ จึงได้ออกมาและได้ไปอยู่ที่เหมืองถ่านหินในประเทศ “เบลเยี่ยม” โดยมีความต้องการจะเข้าไปช่วยคนทุกข์ยากที่ทำงานในเหมืองและเทศนาให้คนเหล่านั้นฟัง แต่กาลกลับไม่ใช่อย่างนั้น Van Gogh พูดไม่เก่ง สอนหรือเทศนาอะไรออกไปคนก็ไม่ฟัง จะเข้าไปช่วยเหลือคนที่มีความยากจนแต่ตนเองก็มีกำลังไม่พอ ยิ่งช่วยตัวเองก็ยิ่งล้ม สุดท้ายเงินก็หมด แถมเจ็บป่วยด้วยพิษไข้และอากาศที่หนาวเหน็บจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แถมยังไปมีปากเสียงกับนักเทศน์อาวุโสจนถูกขับออกจากกลุ่ม ซึ่งในที่สุด Van Gogh ก็ต้องถอนตัวออกมา
ชีวิตของ Van Gogh ระหกระเหินอีกครั้งหลังจากเป๋ไปสักพัก หลังจากออกมาจากที่เหมืองไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน ไม่มีใครได้รับการติดต่อจากเขา แม้แต่ “เธโอ” น้องชายที่เขารักมากก็ตาม แต่แล้ววันหนึ่งในปี ค.ศ.1880 Van Gogh ก็ได้เขียนจดหมายมาหา “เธโอ” น้องชายของเขา โดยมีใจความว่า “เขาค้นพบแล้วว่า ศิลปะคือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา และเข้ามาแทนที่สิ่งอื่น ๆ จนหมด เขาใช้เวลาเพื่อศึกษามันด้วยตนเองอย่างจริงจัง ก่อนหน้านั้นเขาเคยเขียนรูปมาบ้างแต่ไม่จริงจังเท่าไหร่ แต่ต่อจากนี้ไป
มันคือชีวิตจิตใจของเขา”
หนทางสายศิลปะของ Van Gogh นั้นได้ก่อให้เกิดผลงานที่เป็นตำนานอยู่หลากหลายชิ้น ที่ถูกกล่าวขวัญมาจนถึงในปัจจุบัน Van Gogh ได้เข้าไปศึกษาแนวทางการวาดภาพ การลงสี การใช้แปรงอยู่หลากหลายที่ ไป ๆ มา ๆ โดยตลอดทั้งในประเทศเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และฝรั่งเศส อีกทั้งยังมีโอกาสได้พบศิลปินมีชื่อในขณะนั้นอยู่หลายต่อหลายท่าน ซึ่งแนวทางศิลปะที่เขาชอบนั้นคือแนว Impressionist นั่นเอง เขาได้เดินทางไปตามท้องที่ต่าง ๆ เพื่อค้นหาแรงบันดาลใจและความประทับใจอยู่พักใหญ่จนในที่สุด เขาก็เขียนออกมาสำเร็จในปี 1883 โดยภาพดังกล่าวเขาตั้งชื่อให้ว่า “Potato eaters”
แต่แนวทางการวาดภาพดังกล่าวมันยังไม่ตอบสนองความต้องการทั้งหมดของเขา ซึ่ง Van Gogh ได้เข้าไปศึกษาการใช้แปรงและการลงสีอีกทั้งค้นหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติมที่ปารีสอยู่อีกถึง 2 ปี ซึ่งมันช่วยขัดเกลาฝีมือและทำให้เขาสามารถลงสีระบายมันออกมาตามอารมณ์ได้อย่างเฉียบคมมากขึ้นจนมาเป็นสไตล์ของตนเองอย่างที่เราเห็น Van Gogh เริ่มใช้สีสันที่มีชีวิตชีวา และไม่ยึดติดอยู่กับการเขียนภาพแบบเก่า ๆ ผลงานของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่มันกลับไม่เป็นที่ยอมรับเลยในขณะนั้น หลาย ๆ อย่างรุมเร้าจนทำให้ Van Gogh เกิดความเครียด โดยเฉพาะเรื่องของเงิน ที่เขาแทบจะไม่มีติดตัว เขาล้มเหลวมาแทบทุกอย่างในชีวิต ไม่ประสบความสำเร็จซักอย่าง แม้กระทั่งภาพงานเขียนศิลปะ ที่เขาชื่นชอบและคิดว่าเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ดีที่สุด
ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เขาเริ่มมีปัญหากับคนรอบข้าง รวมไปถึงกับตนเองด้วยเช่นกัน
จนวันหนึ่งวันที่พีคที่สุดในชีวิตเขาก็เกิดขึ้นเมื่อเขามีปากเสียงกับ เออแฌน อ็องรี ปอล โกแก็ง จิตรกรแนว Impressionist ผู้เลื่องชื่ออีกท่านหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เป็นเพื่อนรักกันแต่ก็มีปากเสียงกันอย่างรุนแรงจนถึงขนาด Van Gogh ควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ หยิบมีดมาตัดใบหูของตนเองทิ้งไปข้างหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จบลง และวันนั้นเป็นวันที่ Van Gogh ได้รับรู้ถึงความบกพร่องของสภาพจิตใจตัวเอง เขาได้วาดรูปตัวเองที่ใบหูขาด อันลือชื่อเก็บเอาไว้ และได้เขาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ้าเป็นเวลา 1 ปีเต็ม และเมื่อออกมาได้ 2 เดือน เขาก็ได้ฆ่าตัวตายด้วยการเอาปืนยิงที่สีข้าง และเสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา
ซึ่งก่อนยิงตัวเองนั้นเขาได้เขียนภาพทิ้งไว้อีกภาพหนึ่งคือภาพ “รูปทางสามแพร่ง” (Wheat Field with Crows) ซึ่งน่าจะหมายถึงสภาพจิตใจของเขาที่หาทางออกไม่เจอ จนสุดท้ายต้องแก้ปัญหาด้วยความตาย
หลังจากที่ Van Gogh เสียชีวิตนั้น ได้มีการหยิบยกเอาผลงานของเขาขึ้นมากล่าวขวัญถึงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังถูกยกย่องให้เป็นจิตรกรชาวดัชต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยถือว่าเป็นจิตรกรผู้มีอิทธิพลต่อศิลปะในแนว Impressionist นั่นเอง
ผลงานของ Van Gogh มีอยู่มากมายจำนวนหลายร้อยภาพ
แถมในปัจจุบันภาพของ Van Gogh ถือได้ว่าเป็นภาพวาดที่แพงที่สุดที่มีการประมูลซื้อขายกันจริงอยู่ในท้องตลาด แต่ตลอดชั่วชีวิตของเขาสมัยยังมีชีวิตอยู่นั้นขายรูปไปได้แค่ผืนเดียว ซึ่งผู้ที่ซื้อภาพของเขาไปคือ “ธีโอ” น้องชายของเขาเอง ที่หวังเพียงแค่จะช่วยซื้อให้พี่ชายมีเงินไปประทังชีวิตเท่านั้น ซึ่ง 1 ปีหลังจาก Van Gogh เสียชีวิต “ธีโอ” ก็เสียชีวิตตามพี่ชายของเขาไปเนื่องจากความโศกเศร้าและอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ซึ่งศพของเขาก็ได้นำมาฝังไว้ด้วยกันกับพี่ชายของเขาในสุสานเล็ก ๆ ที่เมืองโอแวร์ซูว์รวซ นั่นเอง
Did you know
ครั้งหนึ่งในการประมูลภาพ “ดอกทานตะวัน” ของ Vincent Van Gogh มีศิลปินนักวิจารณ์ภาพท่านหนึ่งได้ไปยืนจ้องที่รูป และกล่าวออกมาว่าเขา “รู้สึกถึงไอร้อนออกมาจากรูปนี้” ซึ่งไม่ทราบว่าเกี่ยวกับนักวิจารณ์ท่านนี้หรือเปล่า แต่ภาพดังกล่าว ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะนั้น