ฮาลองเบย์

ฮาลองเบย์

เมื่อยามเช้ามาเยือนนักเดินทางอย่างเราก็รีบย่างกรายมุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงฮานอย ไปยังจุดหมายปลายทางคืออ่าวฮาลองเบย์ ด้วยการลัดเลาะบนถนนเส้นเล็ก ๆ หนึ่งเลนที่ทำให้ความเร็วของรถยนต์จำกัด แต่ก็ทำให้เราได้ยลโฉมความเป็นชนบททั้งสองข้างทางของเวียดนามอย่างยาวนาน

ผู้คนส่วนใหญ่ยังตรากตรำอยู่กับการทำการเกษตรไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนความเจริญมักเกาะกลุ่มอยู่ในเมืองใหญ่ปล่อยทิ้งไว้ให้คนบางกลุ่มโดดเดี่ยวเอาตัวรอดอยู่ในวงนอกเท่านั้น

รถยนต์ค่อย ๆ แล่นพาเรามาราวครึ่งทางจึงได้แวะจอดสักการะองค์พระ ที่วัดเอียนตื๋อ หรือ Yen Tu ซึ่งมีความหมายว่าภูเขาแห่งสายหมอก ด้วยความสูงกว่า 1 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเล ที่นี่จึงเป็นมนต์เสน่ห์ของความท้าทาย ชวนหลงใหล ทำให้สาธุชนชาวพุทธแบบเราอยากลองไปทดสอบตัวเองเพื่อการสักการะและเอาชนะความสูงบนภูเขาแห่งนั้น โดยเบื้องหน้าเห็นเทือกเขาผืนป่าเขียวขจีที่ยังคงอยู่ สัมผัสถึงความสดใสของแมกไม้บนยอดเขามีเมฆหมอกปกคลุมราง ๆ

นักแสวงบุญทั้งหลายที่นับถือพุทธทั้งชาวต่างชาติและคนท้องถิ่น แม้ไม่รู้จักกันแต่ต่างก็มีจุดหมายเดียวกัน คือขึ้นไปสักการะวิหารทองแดง และเจดีย์ โดยใช้เครื่องอำนวยความสะดวกคือกระเช้าลอยฟ้า ขณะเดียวกันยังคงมองเห็นความสวยงามของพื้นดินเบื้องล่างอยู่ลิบ ๆ แต่ยังมีคนส่วนหนึ่งที่ใช้ใจและแรงศรัทธาอย่างเปี่ยมล้นเดินเท้าก้าวขึ้นบันไดอันสูงชันมาเองอย่างไม่ย่อท้อ นักแสวงบุญทั้งหลายเหล่านี้หวังชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์แม้จะใช้เวลายาวนานกว่าก็ตาม

หลังจากไหว้พระขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลแล้ว เราก็เดินทางออกมาตามถนนอันสวยงามจนมาถึงอ่าวฮาลองเบย์อันลือเลื่อง เห็นภาพความเปลี่ยนแปลงของชาวเมืองทางตะวันออกของประเทศเวียดนาม ซึ่งมีวิถีท้องถิ่นแบบชาวประมงออกหาปลาอันน้อยนิด แต่ปรับเปลี่ยนกลายเป็นนักเดินเรือบริการนักท่องเที่ยวขึ้นมาแทน

ในส่วนของความเจริญยังคงดำเนินไปอย่างไม่หยุดหย่อนมีการถมเกาะสร้างเมืองบนน้ำขนาดย่อม ๆ เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวควบคู่กับธรรมชาติที่ยังคงอยู่เป็นมรดกโลก ที่นี่ยังงดงามอย่างที่กล่าวขานถึงทิวทัศน์ภาพเกาะหินปูนที่มีม่านเกาะแก่งเรียงรายมากมายราวกับตั้งอยู่บนผิวน้ำมากกว่า 3 พันเกาะ จนคิดเอาเองว่าเหมือนศิลปะภาพเขียนของจีนตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า

เขาหินปูนแห่งแรกที่เราได้มาเยือนคือถ้ำเทียนกุง หรือ Thien Cung Grotto ซึ่งแปลว่าพระราชวังสวรรค์ ถ้ำแห่งนี้งดงามประดุจอัญมณี มีหินงอกหินย้อยเมื่อยามต้องแสงไฟวาววับระยับพราย ที่รูปลักษณ์บางส่วนกลายเป็นตำนานความเชื่อของชาวพื้นเมือง บ้างคล้ายรูปมนุษย์หรือสัตว์แล้วแต่การแต่งแต้มจินตนาการของมนุษย์

เมื่อชื่นชมความงามภายในถ้ำอยู่พักใหญ่ เราขึ้นเรือออกไปชมอ่าวฮาลองกับผืนน้ำทะเลที่ทอดยาวมีคลื่นเล็กแต่ดูราบเรียบแผ่วเบา ยืนเด่นด้วยเกาะน้อยใหญ่อย่างไม่รู้จบแล้วเมื่อลำแสงสีทองเริ่มสาดส่องประกายกระทบน้ำระยับเป็นการรู้กันว่ายามสนธยากำลังมาเยือนในไม่กี่นาที ภายในที่แห่งนี้ยังมีเกาะลือชื่ออย่างเกาะไก่ชน ที่ถูกกัดเซาะจากลมและน้ำทะเลคล้ายรูปไก่กำลังหันหน้าชนกัน เราลอยเรือชื่นชมสายลมและผืนน้ำจนเต็มอิ่มก็ถึงเวลาขึ้นฝั่ง

เวลาพลบค่ำเมืองฮาลองเบย์เปลี่ยนจากเมืองธรรมชาติเป็นเมืองแห่งการค้าทันที มีแหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหาร บาร์เบียร์เล็ก ๆ รวมทั้งร้านขายของที่ระลึกมากมาย ไร้แสงสีแต่แลดูสงบกลับดึงดูดนักท่องเดินทางอย่างเราพอสมควร ในระหว่างสบตาแม่ค้าเจ้าบ้านกับผู้มาเยือนในการต่อรองสินค้า แม้หนึ่งชิ้นอาจต้องใช้เวลาเพื่อหาจุดกึ่งกลาง แต่เราก็เข้าใจในวิถีของวัฒนธรรม ที่คงความแตกต่างแต่กลมกลืนในความเป็นมิตรภาพไว้เอาไว้ด้วยรอยยิ้ม

แม้ความเปลี่ยนแปลงของโลกได้พัฒนาอยู่ทุกวันเวียดนามในวันนี้ไม่ได้ต้านกระแสที่ไหลบ่าออกมาอย่างสุดขั้วจากทุนนิยม เพียงแต่รับเอามาอย่างระมัดระวังทำในสิ่งที่ควรจะเป็นตามยุคสมัย ดังเห็นได้จากยังมีธรรมชาติมากมายให้เราได้ชื่นชมรวมถึงวิถีชีวิตของผู้คนและวัฒนธรรมที่คงความเป็นเอกลักษณ์ยากจะหาที่ใดเหมือน เท่านี้ก็ทำให้นักเดินทางอย่างเราหลงใหลและ อยากหวนคืนกลับมาอีก...เสมอ   

สัมผัสเสน่ห์เวียดนาม (ตอนจบ)