กิตติ เชี่ยววงศ์กุล

กิตติ เชี่ยววงศ์กุล

‘เกลือ-กิตติ เชี่ยววงศ์กุล’ หลายคนคุ้นเคยเขาในชื่อ ‘วอก’ จากบทบาทตัวละครสุดฮิตจากซิทคอมเรื่องเป็นต่อ เรามักติดภาพชายหนุ่มคนนี้ว่าเป็นหนุ่มอารมณ์ดี รวยอารมณ์ขัน แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของเขานั้นมีอะไรมากมายซ่อนอยู่ รวมไปถึงกระบวนการคิดที่ไม่ธรรมดา เพราะชีวิตของเขามีหลากหลายบทบาท ทั้งในมาดคนเขียนบท คนกำกับและนักแสดง

“ตอนนี้ชื่อประจำตำแหน่งของผมก็คือรองผู้จัดการฝ่ายซิทคอมของ บริษัท The One Enterprise เพราะฉะนั้นขอบข่ายหน้าที่ผมก็คือ ทำทุกอย่างตั้งแต่ปั้นโปรเจ็กต์คิดโปรเจ็กต์ พัฒนาโปรเจ็กต์ แล้วก็คุมทีมบทไปด้วย ดูแลบทของทีมซิทคอมด้วย แต่ว่าก็ไม่ได้ดูแลทั้งหมด บางทีก็แบ่ง ๆ ไปเพราะตอนนี้เหนื่อยมาก แล้วก็มีกำกับละครบ้านนี้มีรัก มือปราบกุ๊กกุ๊กกู๋ เป็นต่อ และเล่นซิทคอมเป็นต่อครับ จะดูภาพรวมมากกว่า 

“ในเรื่องบทส่วนใหญ่พอมีเรื่องใหม่ เราก็จะลงมาปั้นโปรเจ็กต์ใหม่ พอโปรเจ็กต์เริ่มอยู่ตัวแล้วก็จะให้น้อง ๆรับช่วงต่อ คือเราเซ็ตอัพเรื่องทั้งหมดมาเล่าให้น้องฟังว่าเป็นประมาณนี้ คุยกันประชุมกันเสร็จก็ให้น้องแยกกระจายกันไปเขียน แล้วกลับมาประกอบร่างเป็นบท ซึ่งเราก็คอยดูแล สำหรับผลงานเด็ด ๆ ที่ผ่านมาของผม เขียนบทเรื่องแรกในชีวิตก็คือบางรักซอยเก้า แล้วมาเขียนเป็นต่อ แล้วก็มากำกับบุญดีผีคุ้ม บุญดีผีคุ้มนี่เป็นซิทคอมเรื่องแรกของบริษัทที่ได้รางวัล ต่อมาก็กำกับบ้านนี้มีรักครับ”

หากให้ย้อนไปถึงชีวิตของเขา ช่วงที่ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงและได้เดินตามฝันที่วางไว้ เขาได้มีโอกาสพบ ‘บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ’ บอสใหญ่แห่ง Exact และ Scenario เจ้าของค่ายละคร ผู้กำกับละคร และละครเวทีนั่นคือก้าวแรกของการก้าวเข้าสู่ละครเวทีที่เขาเรียกว่าคือจุดเริ่มต้น

“ผมเคยมาแคสติ้งละครเวที เรื่องวิมานเมือง สมัยที่ผมเรียนอยู่ปี 1 ได้เข้ามาเรียนรู้ละครเวที ได้เรียนรู้ด้านการแสดงกับคนที่รักการแสดงจริง ๆ มันหล่อหลอมทำให้เรารักไปโดยปริยาย จนกระทั่งได้มีโอกาสมาทำงานเบื้องหลัง ทำไปจนจบแต่ละโปรเจ็กต์ เราก็เริ่มมานั่งถามตัวเองแล้วว่าเราอยากทำอะไร จนพี่หนุ่ม อรรถพร เดินเข้ามาบอกว่า เกลือน่าจะลองทำละครซิทคอมดูนะ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าซิทคอมคืออะไร จนได้กลับมาร่วมงานกับ Scenario อีกครั้ง

“วันแรกเขาให้ไปเป็นผู้ช่วย ผมเลยเดินเข้าไปในกองซิทคอม ผมก็ไม่รู้จักใคร ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง จนมาเจอกับพี่นก ผู้กำกับตอนนั้น เจอพี่อ้อยโปรดิวเซอร์ นั่งมองไปก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมเขาถึงคิดว่าเราเหมาะกับซิทคอมเพราะจริง ๆ แล้วซิทคอม นั่นก็คือศาสตร์ของละครเวทีที่มาปนกับทีวี อยู่ตรงกลางระหว่างกัน ซึ่งเราก็เป็นเด็กที่จบด้านละครเวทีมาโดยตรง แล้วมีอารมณ์ขันอยู่ในตัวด้วยฉะนั้นพอเราได้มาอยู่กับซิทคอม เรารู้สึกสบายมาก อยู่ตรงนั้นมาจนได้เป็นผู้ช่วย แล้วก็อยากเป็นผู้กำกับแต่รู้สึกว่าเป็นผู้กำกับที่ดีไม่ได้ถ้าเราไม่รู้จักบทที่ดีก็เลยบอกพี่เขาว่าอยากไปเขียนบท พี่หัวหน้าทีมเขียนบทก็บอกว่าอยากทำก็ทำ แต่ถ้าทำไม่ได้เขาก็จะไล่ออกนะ (หัวเราะ)

“ครั้งแรกที่ผมเป็นผู้กำกับละครซิทคอมร่วมเรื่องแรกคือ บุญดีผีคุ้ม ภูมิใจมาก ดีใจมาก แต่เป็นสถิติแรกที่เราทำเรื่องนั้นให้เป็นซิทคอมที่อายุสั้นที่สุดที่ออฟฟิศเคยทำมา ใช้เวลาแค่ 30 ตอนแล้วปิดเลย ช่อง 9 ให้เหตุผลว่าไม่สังคมอุดมปัญญา คือดูแล้วไม่เกิดอะไร ตอนนั้นเสียเซลฟ์มาก คิดว่าจบแล้วชีวิตการกำกับละคร จนซิทคอมเรื่องนี้ได้รางวัล Asian Television Awards สาขาละครตลกยอดเยี่ยมที่สิงค์โปร์ ตอนนั้นเราช็อกมากเลยกลับมาคิด เฮ้ย! เรายังโอเคอยู่นี่หว่า (หัวเราะ) อีกเรื่องคือบ้านนี้มีรัก ทำไปได้เกือบ 10 ตอน ช่องบอกให้เวลาอีกสามเดือน ไม่งั้นจะถอดแล้ว พี่บอยบอกต้องทำอะไรสักอย่าง ให้แม่เป็นมะเร็งแล้วกัน ซึ่งเราก็ไม่เคยทำซิทคอมดราม่า เคยทำแต่สนุก ๆ แล้วมันจะตลกยังไง ตอนนั้นเราเครียดมาก สุดท้ายก็ทำให้บ้านนี้มีรักเรตติ้งอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ กลายเป็นเอกลักษณ์เลย”

หลังจากมีแนวทางของตัวเอง เขามีโอกาสได้เขียนบทเป็นผู้กำกับ และแสดงเอง จนเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างมีหลายครั้งที่เขารู้สึกว่าท้อ เครียด แต่สุดท้ายเขาจะกลับมานั่งคิดถึงวันเก่า ๆ ที่พยายามต่อสู้ วิธีการหาแรงบันดาลใจเขาเลือกใช้วิธีการพูดคุยและใช้ชีวิตกับคนรอบข้างมากกว่า จนกลายเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ในละครซิทคอมของเขานั่นเอง

“ผมรู้สึกว่าผมเกิดมาเพื่อทำทีวี เราดูทีวีมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วเราก็รักมาก ถามว่าอยากทำหนังไหม ก็อยากทำนะ แต่เรารู้ว่าจุดยืนของเราคือคนทีวี  คนที่ทำงานศิลปะแบบแจกฟรี เรามีความสุขที่ได้ทำแบบนั้น ภูมิใจนะที่เราอยู่มาตั้งแต่ยุคที่คนดูถูกทีวี แล้วเราก็มาช่วยกันทำให้ทีวีมันไม่ตายได้ คิดว่านี่แหละ ฉันจะเป็นคนทำทีวีต่อไปแบบนี้ เรียกได้ว่าตอนนี้ก็มีความสุขที่ได้ทำ ชอบให้คนดูละครของเราเป็นช่วงเวลาของครอบครัว ได้อยู่ดูพร้อมหน้าพร้อมตากัน

“ทุกวันนี้ผมมองว่าคนไทยชอบเสพดราม่า ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล คนมักชอบดูอะไรแรง ๆ เอาสะใจ แต่บางครั้งความแรง เอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง มันก็ไม่ใช่เหตุผล แล้วอย่างนี้เราจะอยู่กันยังไง สังคมจะเดินหน้าต่อไปยังไง น่ากลัวนะ คนมักเอาเรื่องที่ถูกใจแต่ไม่ถูกต้อง ส่วนตัวผมถ้าเป็นคนทำทีวี ก็ต้องทำในเรื่องที่มีประโยชน์ คนดูต้องได้รับสิ่งดี ๆ บางครั้งชีวิตเราก็ไม่ได้สิ่งที่ถูกใจไปทุกอย่างหรอกนะ นี่คือมุมมองที่เราอยากจะถ่ายทอดบอกคนดูแบบนี้”

นอกจากละครซิทคอมแล้ว เขาบอกอีกว่า เตรียมพบกับละครซีรีส์ทางช่อง ONE เป็นละครที่จบในตอน ไม่มีเสียงหัวเราะของคนดู เป็นเรื่องราวที่จริงจังมากขึ้น ตื่นเต้นระทึกขวัญ ย้อนยุค มีครบทุกรสชาติเหมือนเดิมอย่างแน่นอน และทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายคนนี้ทำ ไม่ได้มีแต่เสียงหัวเราะเท่านั้นที่เขามอบให้ เรื่องราวต่าง ๆ ทางสังคม แง่คิดและสาระดี ๆ ล้วนถูกถ่ายทอดผ่านคนหลังกล้องและจอมอนิเตอร์อย่างเขานี่เอง 

ชีวิตที่ขาดเสียงหัวเราะไม่ได้