ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

ดนัย จันทร์เจ้าฉาย

นักธุรกิจและนักการตลาดที่เก่งระดับหัวกระทิในประเทศไทยนั้นมีหลายท่าน แต่การจะหาคนที่เก่งและมีคุณธรรมล้ำหน้ากิเลส ตรงนี้น่าสนใจว่าจะมีเหลืออยู่กี่คน ไม่ต้องถามว่าความเก่งกับคุณธรรมรับรู้ได้อย่างไร เพราะผลจากการกระทำนั้น
จะเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นเองว่าคนคนนั้นจะเป็นคนเก่งและมีคุณธรรมหรือไม่

วันนี้เราได้มีโอกาสมาพูดคุยกับนักธุรกิจหนุ่มที่มีความเก่งควบคู่กับคุณธรรมคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด ถึงแนวความคิดและการใช้ชีวิตที่เรียกว่าเป็นแบบอย่างให้กับคนในสังคมสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี

คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย เกิดมาในครอบครัวฐานะปานกลาง ในวัยเด็กเป็นคนที่ย้ายโรงเรียนบ่อยมาก ตั้งแต่โรงเรียนสหพานิช โรงเรียนผะดุงศิษย์พิทยา โรงเรียนชุมชนวัดบางขัน จนกระทั่งในระดับมัธยมที่โรงเรียนหอวัง โดยให้เหตุผลว่าคุณพ่อคุณแม่ของท่านเป็นคนชอบย้ายบ้านหนีความเจริญ 

“คุณพ่อคุณแม่ของผมเป็นคนหัวสมัยใหม่มากอย่างตอนที่ผมเข้าอนุบาล 1 แค่เพียงวันที่ 2  ของการเรียนท่านก็บุกไปที่โรงเรียนทันทีแล้วไปบอกคุณครูว่าอย่าให้ ด.ช.ดนัย เขียนมือขวาเพราะเขาเป็นคนที่ถนัดมือซ้าย คือคุณพ่อคุณแม่ท่านรู้ถึงธรรมชาติของคน เพราะมนุษย์เรามักถูกบังคับเหมือนสิ่งของเครื่องจักร คือผมเป็นมนุษย์ใช้สมองซีกขวาผมจึงถนัดซ้าย แล้วประโยคที่คุณพ่อคุณแม่พูดมันฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเสมอ ผมจึงรู้สึกว่าเราเคารพในกติกาของสังคมแต่ว่าเราโดดเด่นในสิ่งที่เราเป็น

“ในสมัยนั้นคุณแม่ก็สอนให้ผมนั่งรถเมล์เองตั้งแต่ ป.1 คือบ้านอยู่บางซื่อ โรงเรียนอยู่บางรักมันก็ไกลพอสมควร แต่ถ้าเป็นลูกสาวคุณแม่จะขับรถไปส่งเอง ผมเป็นลูกชายเลยต้องฝึกนั่งรถเมล์ มันก็เป็นเรื่องดีที่คุณแม่ฝึกให้ผมดูแลตัวเองตั้งแต่เล็ก ส่วนคุณพ่อจะดูเราห่าง ๆ จะเรียนหรือทำอะไรก็แล้วแต่ตัวเราโดยไม่ได้บังคับ”

หลังจากในระดับมัธยมคุณดนัยก็เข้าศึกษาที่โรงเรียนหอวัง ซึ่งในช่วง ม.5 (พ.ศ.2531) คุณดนัยก็ได้ทุนเอเอฟเอส (AFS) ไปศึกษาที่โรงเรียนเคลตันไฮสคูล ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากกลับมาเรียนจบมัธยมปลายได้ปฏิเสธการเอ็นทรานซ์ ไปสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) แทน ซึ่งก็ได้รับทุนจากการสอบเข้าเป็นอันดับหนึ่งของรุ่น เหมือนกำลังจะไปได้ดีก็เกิดวิกฤติครั้งสำคัญของชีวิต เนื่องจากทางครอบครัวล้มละลายทำให้ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดอย่างไม่เคยมีมาก่อน

“ผมจำได้ว่าตอนนั้นเรียนมหาวิทยาลัยปี 2 ที่บ้านล้มละลายแบบไม่เหลืออะไรเลย มันเหมือนเป็นบทพิสูจน์ว่าตัวเองจะไม่เรียนแล้วลาออกมาช่วยที่บ้านทำงานปลดหนี้หรือเปล่า เรียกว่าอยู่ในช่วงสับสนจากคนที่มีบ้านมีรถยนต์ขับ กลายเป็นไม่มีเงินแม้กระทั่งขึ้นรถเมล์ไปเรียน ไม่มีเงินกินข้าว ไม่มีเงินเรียนหนังสือคือมันหายวับไปหมด 

“ทางกลับกันผมได้เห็นแล้วว่าความสุขนั้นมันไม่ได้หายไปเลย ต้องขอขอบคุณเพื่อนที่ให้ผมอาศัยอยู่ในบ้านของเขาตรงใต้บันได ผมมีตู้เสื้อผ้าพลาสติกกับเตียงบาง ๆ หิวข้าวก็กินมาม่ากับขนมขาไก่ ตัวผมเองไม่ได้ทุกข์อะไรนักเพื่อนของผมมานั่งร้องไห้เสียใจกว่าผมอีก แต่เวลาผมอ่านหนังสือเรียนน้ำตามันไหลนะ ไม่ได้ไหลเพราะตัวเองลำบากแต่สงสารแม่มากกว่า 

“ผมเอาตัวรอดโดยการจำนำของทุกอย่างในโรงรับจำนำแล้วย้ายไปลงไปเรียนภาคค่ำที่เอเบค ตอนกลางวันผมทำงานเป็นเซลล์ขายตู้คอนเทนเนอร์จนสามารถเป็นท๊อปเซลล์ได้ระหว่างเรียนก็ไปเป็นพนักงานพิมพ์ดีดในห้องสมุด คือเวลาผ่านไปเร็วมากจึงต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ จนผมเรียนจบปริญญาตรีเกียรตินิยมเหรียญทองอันดับ 1 สาขาการตลาด ภาคบริหารธุรกิจที่เอแบคภายใน 3 ปีครึ่ง ซึ่งเร็วกว่าคนปกติพอเรียนจบมาผมก็ได้ทำงานเป็นอาจารย์เลยจึงมีเงินมาช่วยทางบ้านอีกทางหนึ่ง”

หลังนั้นคุณดนัยได้ทำงานบริษัทชั้นนำอย่าง บริษัทโธมัสคุก เทรเวลเลอร์เช็ค จำกัด, บริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส (ไทย) จำกัด, บริษัทเอ็มดีเค คอนซัลแทนส์ (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงเปิดบริษัทประชาสัมพันธ์และการตลาดของตัวเองขึ้นมาอย่างบริษัท ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด นอกจากนี้ยังมีสำนักพิมพ์DMG ที่จัดพิมพ์หนังสือหลายแนวโดยเฉพาะเรื่องของธรรมะให้คนส่วนใหญ่ในสังคมได้เข้าใจซึ่งถือเป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรและยังสร้างประโยชน์ให้กับสังคม

“เมื่อ 20 ปีก่อน DMG มันย่อมากจากไดเร็คมีเดียกรุ๊ปโดยไม่ได้ตั้งใจทำสำนักพิมพ์ตั้งแต่แรก ในสมัยนั้นผมมีความรู้ด้านการตลาดและขายตรง เรียกว่าการช้อปปิ้งออนไลน์เมื่อก่อนขายดีมากตั้งแต่นาฬิกา ปากกา น้ำหอม เครื่องบินเล็กเรือยอร์ช จนถึงรถยนต์ซูเปอร์คาร์ คือมันสนุกและได้เงินเยอะมาก แต่พอทำไปสักพักตัวเองรู้สึกละอายใจเพราะคนซื้อนาฬิกาเดือนหนึ่งหลายแสนบาท ผมขับรถไปส่งเองก็งงว่าคนจะซื้อของเยอะไปเพื่ออะไร ในใจก็คิดว่าตัวเองใช้ความรู้ไปในทางมิจฉากิเลสหรือไม่ อีกทางหนึ่งเหมือนกับว่าเราทำชาติเลือดไหลจากการเสียดุลการค้า พอคิดได้แบบนั้นก็เลยหยุดทำทันที

“ผมเปลี่ยนธุรกิจมาทำสำนักพิมพ์ โดยเล่มแรกที่ออกคือ เถ้าแก่มือโปร เป็นเรื่องของธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อสังคม แล้วรู้สึกมีความสุขแม้รายได้และกำไรของสำนักพิมพ์เมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่ขายของมันคนละเรื่องเลย ทั้งเรื่องของความง่ายและกำไร แต่สิ่งที่ตางกันคือมีความภูมิใจ 

“เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว คนยังไม่อ่านหนังสือธรรมะ ผมก็คิดว่าจะเอาความรู้ด้านการตลาดของเรามาทำให้หนังสือธรรมะบูมขึ้น ก็ทำตั้งแต่เรื่องของออกแบบหน้าปก ให้มาเป็นหนังสือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน หรือหนังสือของท่านอาจารย์มิซูโอะเล่มละ 10 บาท ที่วางเป็นล้านเล่ม ทำให้ดูน่าอ่านขึ้นก็ถือว่าสำเร็จในระดับหนึ่ง หลังจากนั้นเราก็เห็นเกือบทุกสำนักพิมพ์มาทำหนังสือธรรมะซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี หน้าที่เราคือกระตุ้นให้แนวนี้มันเกิดแล้วต้องจับมือไปด้วยกัน”

ความจริงเรื่องของศรัทธาในธรรมะคุณดนัยมีมานานแล้วจึงสื่อสารออกมาได้ดีในรูปแบบสำนักพิมพ์ แต่จุดเริ่มต้นมาจากการที่ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ช่วงอายุ 17 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่อยู่ต่างประเทศก็ค้นหาอัตลักษณ์ในตัวตนและเกียรติภูมิของประเทศ โดยเห็นว่าส่วนหนึ่งความเป็นคนไทยนั้นยึดโยงอยู่ที่เรื่องของพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ แม้ไม่ได้เข้าใจในหลักการมากนัก แต่เขาก็มีโอกาสขึ้นไปบรรยายธรรมบางส่วนให้คนอเมริกันได้ฟัง และหลังจากนั้นก็เริ่มค้นหาหลักธรรม
ทางศาสนาอย่างจริงจัง

“พอกลับมาเมืองไทยผมก็ยิ่งค้นหาว่าศาสนาพุทธคืออะไร จึงเดินทางไปสวนโมกเพื่อกราบท่านพุทธทาสภิกขุในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่แล้วถามว่าศาสนาพุทธคืออะไร ตามหลักนักปราชญ์ท่านก็ตอบง่าย ๆ ว่าธรรมะคือการทำงานธรรมะคือธรรมชาติ จงทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง พอกลับมาก็งงนานถึง 20 ปี เพราะธรรมะเป็นอะไรที่ลึกซึ้งมาก เหมือนกับเราไปทะเล เห็นทะเล ก็คิดว่าถึงแล้วทั้งที่ความจริงมันยังมีในส่วนที่ลึกลงไปมหาศาล

“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมได้ปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังจึงพบผลลัพท์ที่เราได้ทำกับตัวเองคือทำงานแล้วสมาธิสูงพิสูจน์ได้จากผลงานที่ออกมาเยอะมากทั้งเรื่องของธุรกิจงานเขียนและการบรรยายธรรม มันเป็นการทำงานแบบจิตว่างตามหลักที่ท่านพุทธทาสสอนเอาไว้อาการที่เรียกว่าปิ๊งแว๊บ คือสมองปกติที่เรามีมันจะคิดแบบเดิม ๆ แต่ถ้าคิดในสภาวะของการไม่คิด คิดจากการไม่มีตัวตนไม่มีประธาน ไม่มีคนที่จะได้รับผลตรงนั้น คิดจากการกระทำที่บริสุทธิ์ มันจึงเกิดผลสำเร็จขึ้นมาได้

“จิตของเรามีมูลค่ามากกว่า 4G ที่เขาประมูลกันเสียอีกปัจจุบันคนเริ่มเข้าใจเรื่องพลังงานการสั่นสะเทือนจิตตานุภาพนี่คือความต่างที่เราได้เห็นได้เรียนได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าเอามาปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติจะได้ผลทันทีแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่เอา เราเลยรู้สึกว่านี่คือหน้าที่ของเราเวลาที่ผมไปบรรยายธรรมะก็จะพูดเรื่องสมัยใหม่มีผลอย่างไรกับคลื่นสมองมาโดยตลอด 

“เพราะคลื่นสมองมันพัฒนามาจากคลื่นเบต้าที่ยุ่งเหยิง แค่ปฏิบัตินิดเดียวจากการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น รำไทเก็กเล่นโยคะ คลื่นสมองจะปรับเป็นอัลฟ่า แต่สิ่งที่ดีที่สุดจะเป็นคลื่นเดลต้าตอนที่เรานั่งสมาธิ เป็นคลื่นที่มีพลังงานยาวมากอย่างมือถือที่เราใช้อยู่ก็มีคลื่นแต่มันไม่สามารถพัฒนาให้ทันจิตแน่นอน สิ่งที่เราคิดปั๊บจะสำเร็จได้เวลาคิดมันจะทำให้เส้นประสาทสมองสร้างเครือข่ายดึงดูดสิ่งที่ต้องการให้สัมฤทธิ์ผลเข้ามา 

“นอกจากนี้ผมเห็นประโยชน์จากธรรมะ อีกข้อหนึ่งคือเรื่องของสุภาพร่างกายแข็งแรง ผมอายุจะ 50 ปีแล้วแทบไม่ป่วย ผมก็เลยสนใจเรื่องนี้แล้วพยายามรณรงค์ให้คนมาสนใจเรื่องนี้”

สำหรับคนที่อยากปฏิบัติธรรมสามารถเริ่มต้นได้ทุกวันทุกเวลาเริ่มจากการบวชใจของตัวเองก่อน ซึ่งไม่จำเป็นต้องบวชแบบเป็นพิธีการพระตามศาสนาก็ได้ เพราะการบวชใจแบบนี้เน้นไปที่แก่นการประพฤติชอบตามหลักการ พยายามปฏิบัติในธรรมะให้ดีที่สุดตามแต่จะทำได้

“บางทีเราบวชแต่กาย  ใจยังไม่บวชมันก็ไม่มีประโยชน์ต้องบอกว่าเครื่องแบบเป็นเพียงองค์ประกอบภายนอก ไม่ว่าเราจะอยู่จุดไหนเราสามารถซักฟอกใจได้ หน้าที่ของเราเกิดมาเป็นมนุษย์ต้องทำให้ใจเราสูงขึ้นเรื่อย ๆ คือภาวะแบบนี้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และกระบวนการซักฟอกใจเป็นสิ่งง่ายมากเลยคือ ทาน ศีล ภาวนา 

“ทานก็มีหลายระดับเอาง่าย ๆ การให้ทานแล้วจิตของผู้ให้มันสบายพอยิ่งให้ใจยิ่งสูง แต่อานิสงส์ไม่เท่าวิหารทานคือการทำประโยชน์แก่มหาชน เช่น สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน วัด แต่วิหารทาน 100 ครั้งก็ไม่เท่าธรรมทานครั้งเดียวคือ ให้ความรู้เปลี่ยนจากคนคิดผิดเป็นคิดถูก แต่ธรรมทาน 100 ครั้งก็ไม่เท่าอภัยทานซึ่งทำยากที่สุด เพราะคนชอบเก็บเรื่องไม่ดีเอาไว้ 

“ส่วนเรื่องของศีล การเป็นมนุษย์คือการรักษาศีล อย่างพนักงานออฟฟิศของผมตอนเช้าต้องมีสมาทานศีลมีการอัพเกรดจากมนุษย์ปกติกลายเป็นมนุษย์เทโว คือละอายความชั่วกลัวผลกรรม ภาวนาคือการรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่อย่างเรื่องการหายใจเข้าหายใจออก แค่หายใจเข้าออกลึก ๆแล้วดูแลร่างกายตัวเอง โรคต่าง ๆ จะหายไปหมด และกระบวนการตรงนี้ของการซักฟอกเราจะมีสติสัมปชัญญะคนที่ทำชั่วทั้งหลายมากมายไม่ใช่ไม่รู้ว่าทำไม่ดี แต่ว่าในขณะที่เขาตรงนั้นมันขาดสติก็กลายเป็นเดรัจฉานไปเลย”

ด้วยการศึกษาและปฏิบัติธรรมมาโดยตลอดนี้เอง ทำให้คุณดนัยนำหลักการดังกล่าวมาปรับใช้ในการบริหารงานของบริษัทตัวเอง ที่ผสมผสานกันระว่างเรื่องของการตลาดและธรรมะ โดยหาจุดกึ่งกลางที่ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป สร้างสรรค์เป็นองค์กรวิถีพุทธที่เคร่งครัด

“บริษัทผมมีนโยบายชัดเจนเลยว่าไม่รับลูกค้าที่ไม่ทำประโยชน์กับสังคม เราไม่สามารถทำให้ความเป็นมนุษย์ของเราถูกฟาดหัวด้วยเงินสีเทา  เงินเท่าไหร่ก็ไม่มีค่าเท่าตัวเราคือเงินซื้อเราไม่ได้ และในส่วนภายในองค์กรอย่างที่ทราบกันว่าคนที่ประสบความสำเร็จต้องมีอิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะวิมังสา แต่เราเอามาแปลงเป็นสมัยใหม่ คือทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน แต่อย่าทำในสิ่งที่รักเพราะเราจะเป็นคนเลือกงาน แต่รักในสิ่งที่ทำเราก็ทำได้หมดเลย 

“หลักการบริหารของผมคือความเมตตา กรุณา มุทิตตาอุเบกขา อันนี้ใช้ได้จริง คือเราสามารถให้อะไรกับพนักงานได้เช่นเลี้ยงอาหารกลางวัน ให้ทุนการศึกษา ดูแลพนักงานเหมือนพี่น้องดูแลลูกค้าเหมือนญาติ เมื่อเรามีหลักแบบนี้เหมือนกัลยาณมิตรเราจะดูแลกันไปตลอด

“แต่ไม่ใช่ว่าองค์กรเน้นแต่ธรรมะอย่างเดียวจนลืมเรื่องรายได้และผลกำไร บริษัทของผมเป็นองค์กรสีขาวซึ่งผมถ่ายทอดหลักการเหล่านี้ไว้ในหนังสือกลยุทธ์น่านน้ำสีขาว White Ocean Strategy ที่มาจากหลักพระพุทธศาสนาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัว ในการกระตุกความคิดของคนว่าเราไม่ควรตามกระแสของตะวันตกมากเกินไปบางครั้งราเอาตำราผิด ๆ มาเรียน เช่น ทุนนิยม วัตถุนิยม แต่ถ้าเราเอามาปรับการใช้ทุนนิยมแบบพอเพียง เดินทางสายกลางก็คงจะดีกว่า

“ผมเคยให้นิยามการตลาดว่าควรเป็นสัมมามาร์เก็ตติ้ง ไม่ควรเป็นมิจฉาหรือกิเลศมาร์เก็ตติ้ง การตลาดก็มีสีขาวและสีดำ เราเห็นชัดว่าโลกตอนนี้มักใช้กิเลศมาร์เก็ตติ้งและมิจฉามาร์เก็ตติ้งสร้างความต้องการที่ไม่มีอยู่จริงให้มีขึ้นมา อุปสงค์หรือความต้องการไม่มีแต่กระตุ้นขึ้นมา แต่การตลาดที่เป็นสัมมาทุกอย่างต้องมีการตลาดส่งเสริมกระตุ้นแต่ต้องมีคุณค่าต่อสินค้าและบริการ แม้กระทั่งศาสนาพุทธก็ถือว่าเป็นการตลาดอย่างหนึ่ง เช่น ยูนิฟอร์มจีวรของพระโดดเด่นเรื่องของแบรนด์ที่ชัดเจน ไม่ต้องอธิบายว่าคืออะไรทุกอย่างมีความชัดเจนอยู่ตรงนั้นนี่คือสัมมามาร์เก็ตติ้ง

“ถ้าเอาเรื่องเหล่านี้มาปฏิบัติเป็นองค์กรสีขาว จะสร้างกำไรมากกว่าองค์กรทั่วไปถึง 6 เท่า เพราะมีทุนทางสังคมสูงซึ่งทุกคนมองข้าม เช่นเราเป็นที่ไว้วางใจของลูกค้า ลูกค้าต้องเชิญเรามาเป็นที่ปรึกษาแล้วเราชัดเจนมีจุดยืนตรงที่ไม่ตัดราคา ปัจจัยการทำธุรกิจอย่างหนึ่งคือต้นทุนเรื่องการเงิน ถ้าไม่มีสภาพคล่องทางการเงินเราจำเป็นต้องกู้เงินแต่ถ้าเป็นองค์กรสีขาวประสบปัญหานี้ สถาบันการเงินที่มีคุณธรรมเขาจะเข้ามาช่วยเองโดยไม่ให้บริษัทที่ดีแบบนี้ล้มละลาย 

“แต่ถ้าเราไม่มีต้นทุนทางสังคม ก็ต้องเหนื่อยวิ่งหาลูกค้าจนเหนื่อยหรืออาจตัดราคาขายทำลายตลาดไม่มีความไว้ใจกัน ปัจจุบันเราไม่ได้แข่งขันแบบในยุคอุตสาหกรรมดั้งเดิมแล้ว แต่เราแข่งกันที่ความรวดเร็วในองค์กรอันป็นที่ไว้วางใจของคนทั่วไป ถ้าองค์กรเรามีแบรนด์ที่ชัดเจนทำอะไรก็สำเร็จแต่อย่าทำลายความไว้วางใจนั้นเด็ดขาด ในสังคมปัจจุบันไม่ต้องแข่งต่ำแข่งกันสูงดีกว่า

“หลายคนเห็นผมทำงานหนักแบบนี้ผมบอกเลยว่าแรงบันดาลใจการทำงานส่วนหนึ่งของผมมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าผมเคยถวายหนังสือท่านเยอะมาก ตั้งแต่ชุดแรกคือ ด้วยรัก, ตามรอยพระยุคลบาทรัชกาลที่ 9,ธรรมดีที่พ่อทำ, ในหลวงในรอยธรรม และอีกเล่มที่ภูมิใจมากคือ King Bhumibol Adulyadej of Thailand เป็นหนังสือภาษาอังกฤษ ใช้เวลา 4 ปีในการทำ ที่ต้องทำเพราะอยากให้คนไทยเราได้อ่านและศึกษาเรื่องราวของพระเจ้าอยู่หัว 

“ในระหว่างที่เรามีการเก็บข้อมูลทำหนังสือผมก็ได้ไปอ่านบทความที่พระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งกับท่านวิษณุ เครืองาม ว่าเกิดเป็นพระเจ้าอยู่หัวประเทศไทยไม่มีวันหยุดราชการ หมายถึงท่านทรงงานทุกวันเพราะถ้าทางสำนักนายกมีอะไรขึ้นทูลเกล้าขอให้มีพระบรมราชวินิจฉัย หรือพระบรมราชโองการต่าง ๆ ก็ให้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าได้ตลอดเวลาไม่มีวันเสาร์หรืออาทิตย์ คือผมอ่านประโยคนั้นก็ซาบซึ้งเป็นแรงบันดาลใจเราต้องเดินตามรอยท่านให้ได้ 

“หรือพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งกับ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ว่าทำงานกับฉันไม่มีอะไรจะให้นอกจากความสุขร่วมกันในการทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ผมชอบประโยคเหล่านี้มาก จึงมีหลักการในทำงานหรือในการใช้ชีวิตว่า หัวใจผมเป็นสุขทุกครั้งที่มันเต้นเพื่อผู้อื่น ถ้าทุกจังหวะการเต้นของหัวใจเราเป็นไปเพื่อผู้อื่นเราก็เหนื่อยและท้อไม่ได้เพราะเรายังมีหน้าที่ แล้วมันแปลกเพราะทุกอย่างมันก็ดีเหมือนได้รับการปกป้องจากจักรวาล สิ่งที่เราคิดอาจเรียกว่าจักรวาลจัดเรียงสวรรค์จัดหนัก ธรรมะจัดสรรก็ได้

“ปัจจุบันผมรู้ความจริงว่า ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ต้องการแสงสว่างทั้งหมด ไม่วาจะเป็นพืช สัตว์ มนุษย์ แสงสว่างคือความหวัง กำลังใจ คือคุณงามความดี ผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องการของทุกชีวิต ผมคิดว่าเราเกิดมามีชีวิตสั้นเหมือนกับยุง ชาติหนึ่งของยุงมี 7 วันในความคิดของยุงอาจคิดว่ายาวนาน แต่ความคิดของเรายุงมันตายเร็ว แล้วถ้าคนเราอายุเฉลี่ย 75 ปี จึงต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ความรู้สึกว่าอุปสรรคหรือแรงเสียดทานทั้งหลายมันไม่สามารถต้านทานพลังที่เราอยากจะสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดเอาไว้ได้ เพราะชีวิตเราอยู่ได้ไม่นานอย่าไปสนใจสิ่งบั่นทอนจิตใจให้ลงมือปฏิบัติอย่างเดียว

“เวลาที่บรรยายให้คนฟังทุกครั้งผมจะมีรูปที่ทุกคนตะลึง เป็นรูปงานศพผมเอง คือไม่ต้องเสียใจเพราะผมไม่ได้กลัวการตายแต่ผมกลัวการเกิด การเกิดมันคือต้นทางของชีวิตที่ไม่รู้ว่าจะไปลงตรงไหนไม่เกิดอีกจะดีมาก เพราะเกิดทุกครั้งก็ทุกข์ทุกครั้ง แล้วมันเป็นพลังที่ว่าถ้าวันใดเราไม่อยู่แล้ว เราได้สร้างอะไรไว้บนโลกและประเทศไทยเราช่วยอะไรสังคมบ้าง 

“ชีวิตเราถ้าเปรียบเป็นแสง แสงหนึ่งที่ส่องสว่างไปทั้งสามโลกมากว่า 2,500 ปี นั่นคือแสงของพระพุทธเจ้า อีกแสงหนึ่งส่องว่างไปทั่วโลกกว่า 80 ปี นั่นคือแสงของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอเพียงอยู่ในแสงสว่างทั้งสองอย่างนี้ จะเกิดปัญหาอะไรก็ไม่เคยหยุดและย่อท้อและจะเดินหน้าทำดีต่อไป” 

Know Him 

• คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย จบปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง) จบปริญญาโทสาขาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ มหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก ประเทศสวีเดน
• ผลงานสร้างชื่อที่ผ่านมา อาทิ การสร้างแบรนด์ เดอะพิซซ่า คอมพานี, โครงการเมาไม่ขับ, กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว-โครงการคนไทยหัวใจสีขาว
• ผลงานการเขียนหนังสือ อาทิ ธรรมดีที่พ่อทำ, สุดยอดเดอะซีเคร็ต (The Meta Secret),กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว (White Ocean Strategy)

White Ocean Strategy ธรรมดีวิถีพุทธ