Close Your Eyes Touch Your Mind
น้อยคนนักที่จะเข้าใจว่าโลกของผู้พิการทางสายตานั้นเป็นอย่างไรใช้ชีวิตกันแบบไหน โลกแห่งความมืดมิดนั้นมีสิ่งใดซ่อนอยู่ เราเคยทำความรู้จักกับ ‘หลุยส์-กฤษณ์ สงวนปิยะพันธ์’ เมื่อประมาณสองปีก่อน ในวันที่โครงการเพิ่งเริ่มต้น จนตอนนี้ได้ต่อยอดผลิดอกออกผลกลายเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง จากวันนั้นถึงวันนี้เขายังคงเดินหน้าทำตามปณิธานที่มุ่งมั่นอย่างชัดเจน
หลุยส์ เป็นหัวหอกแห่งกลุ่มละคร Hidden Art Society เจ้าของโปรเจ็กต์ Blind Theatre ผู้ที่เชื่อมโลกของคนตาดีและคนตาบอด ผ่านพื้นที่ตรงกลางด้วยศาสตร์และศิลป์แห่งละครเวที สิ่งเหล่านี้จะเกิดไม่ได้หากเขาไม่มีความรัก ความชอบ และศรัทธา
“ผมเรียบจบมาจากสายศิลปะการแสดง ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือผมไม่สามารถทำสิ่งที่ผมรักทั้งวันแล้วหาทางเพื่อทำเป็นรายได้ ผมเลยคิดว่ามันน่าเสียดายถ้าผมจะเอาสิ่งที่ผมรักไปเป็นงานอดิเรก ผมเลยหาวิธี แล้วคิดที่จะทำละครเวทีขึ้นมาแต่ต้องเป็นในแง่เพื่อสังคม Blind Theatre คือหนึ่งในโปรเจ็กต์ทดลองของเราที่สร้างมาแค่นั้น เรื่องของการแสดงละครเวทีเมื่อก่อนผมเริ่มจากคำว่าชอบ ตามด้วยหลงรัก แล้วพบว่ามันมีความดี มีคุณค่าบางอย่าง เราจึงศรัทธา มันเป็นความงดงามที่โลกใบนี้ควรมี
“Blind Theatre เริ่มจากที่ผมไปสอนการบ้านเด็กตาบอดแล้วเราพบว่าน้องตาบอดมีปัญหาที่เราสนใจมาก คือคนตาบอดเขาไม่ได้ต้องการให้เราไปช่วยเหลือ แต่ต้องการโลกที่เจอกันตรงกลาง โลกที่อยู่ร่วมกันอย่างแท้จริง ผมจึงคิดอยากจะสร้างพื้นที่ที่คนตาบอดและตาดีสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยมีกติกาใหม่ ซึ่งคนตาดีอาจจะไม่ได้เป็นคนให้และคนตาบอดอาจจะไม่ได้เป็นผู้รับเสมอไป โดยได้คิดให้คนตาดีและคนตาบอดมาทำละครเวทีร่วมกัน รูปแบบ Blind Theatre ที่เราทำคือคนตาบอดดูได้ถ้าคนตาดีมาก็ปิดตา เราไม่ได้เรียกว่าโลกที่บอด แต่เป็นโลกที่ทุกคนมี นั่นคือโลกแห่งความมืด”
Blind Theatre จึงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ให้พวกเขาร่วมกันสร้างสรรค์ละครขึ้นมาหนึ่งเรื่องเพื่อให้คนตาบอดได้เข้ามาแสดงฝีมือบริหารจัดการ ร่วมเล่นละครและมีโอกาสชมละครเช่นเดียวกับคนทั่ว ๆ ไปในขณะเดียวกันก็ให้คนตาดี ได้ลองปิดตาสัมผัสละคร ได้กลิ่น ได้ยิน และได้เห็นอย่างแท้จริงโดยไม่ใช้ตา ทำให้เราได้รู้จักโลกของความมืดมากขึ้น
“บางคนอายุ 70 ปีมาดูละครผม เขาบอกว่าเขาไม่เคยคิดว่าจะเห็นภาพในหัวมากมายขนาดนี้ นี่คือฟีดแบ็คที่ผมรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มาก ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มีสาร มีข้อความอะไรบางอย่างที่มันดีต่อสังคมและผมซ่อนมันไว้ในเครื่องมือละครเวทีของผม ฉะนั้นสิ่งที่ผมต้องการที่สุดคือให้บางคนเห็นข้อความที่ผมซ่อนไว้และเอาข้อความนั้นไปใช้ต่ออาชีพของคุณ สังคมจะดีขึ้นด้วยการเชื่อสารอะไรบางอย่าง ซึ่งสารนั้นที่ผมต้องการก็คือในปัจจุบันคนตาบอดต้องการทางเลือก การที่สามารถอยู่ในสังคมได้ ที่บอกว่าผมศรัทธาในละครเวที ก็เพราะว่าสื่อมีอำนาจที่สามารถเปลี่ยนสังคม เปลี่ยนคนได้ นี่คือสิ่งที่ผมทำจนมาถึงวันนี้”
ประเด็นหลัก ๆ ที่พวกเขาใส่เข้าไปในละครเวทีคือปัญหาเกี่ยวกับความจริงของชีวิต เป็นสัจธรรม เพราะเขามองเห็นว่าสังคมมีปัญหาอะไร เขาจะหยิบสิ่งนั้นเข้าไปในละครเวทีด้วย อยู่ที่ว่าเขาและทีมงานจะเผชิญหน้ากับปัญหาไหน
“ผมคิดว่าปัญหาหลัก ๆ ที่สังคมเรามีปัญหาก็เพราะว่าเราไม่เข้าใจว่าชีวิตมันเป็นเช่นนั้นแหละ ทุก ๆ ขณะมันต้องมีความเปลี่ยนแปลง เพราะคุณยึดติดกับอะไรบางอย่างคุณก็เลยเป็นทุกข์กับปัจจุบัน นี่คือสังคมของเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนจะทำอะไรคือการคิดให้รอบด้านว่าทำไปทำไม เพื่ออะไร สิ่งที่ผมทำงานหนักคือกระบวนการคิดก่อนที่จะทำบางทีเราใช้เวลาประมาณสองเดือนในการคิดให้แน่ใจก่อนที่จะลงมือทำ
“วงการเพื่อสังคมผมคิดว่ามันดีขึ้นเรื่อย ๆ ในแง่ที่ว่าคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่าเองก็หันมาให้ความสำคัญกับสังคมมากขึ้น มันดีด้วยธรรมชาติของมันเพราะว่าทุกวันนี้โลกเรากำลังไปสู่ยุคที่โลกกำลังจะพัง แล้วมันจะจัดการคุณเองและธรรมชาติกำลังบอกคุณว่าให้ใส่ใจสังคมเถอะ มันจะเกิดสิ่งใหม่ขึ้นมาแล้วสิ่งนั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นคือเพื่อสังคม ทีมผมเชื่อว่าโลกนี้ต้องอยู่ร่วมกัน ผมเลยบอกว่าเราต้องให้ความสนใจกับภาคสังคมมากยิ่งขึ้นเพื่อทำสิ่งที่สมดุล อันนี้คือสิ่งที่ทีมผมเชื่อและจะทำต่อไป
“สำหรับ Blind Theatre ผมมองว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการทำละครเวที ละครที่แท้จริงคือต้องการแค่พื้นที่คนดูและคนแสดง ฉะนั้นละครที่ถูกต้องคือสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ ผมคิดว่าอนาคต Blind Theatre จากวันนี้ที่แสดงแค่เพียงในโรงละคร วันหนึ่งจะสามารถออกไปดูที่อื่นได้ วันหนึ่งผมจะพา Blind Theatre ไปอยู่ในตลาด เข้าไปหาสังคม มันจะมีรูปแบบที่สนับสนุนกับพื้นที่ที่ห่างไกลมากยิ่งขึ้นสนับสนุนกับประเทศอื่นมากขึ้นด้วยตัวภาษา ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราตั้งใจไว้”
โปรเจ็กต์ต่อไปของ Blind Theatre คือละครเวทีครั้งยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งกลางปี 2559 แต่ระหว่างทางเขาจะเริ่มทำอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ที่อยากจะเชิญชวนทุกคนให้มาร่วมกันทำกิจกรรม ‘Sharing for The Blind’ ที่โรงเรียนสอนคนตาบอดอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง โดยให้อาสาสมัครทุกคนที่มีทักษะแตกต่างกัน มาช่วยกันแชร์ให้กับผู้พิการทางสายตาได้ลองทำในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำ ชายคนนี้ทำให้เราเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องยาก แต่หากไม่ลงมือทำ ทุกอย่างคงกลายเป็นเพียงแค่สายลมที่ผ่านไป หากเราลองหลับตาใช้ใจรับรู้ความรู้สึก แล้วมาปล่อยจิตใจให้เพลิดเพลินไปกับละครจากโลกแห่งความมืด...
Know Them
• ยังมีโปรเจ็กต์อื่น ๆ ที่พวกเขาทำอีกนอกเหนือจากBlind Theatre คือ After School (The School Of Living)โรงเรียนที่จะสอนสิ่งที่ไม่เคยเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย,Hidden Garden นำงานศิลปะต่าง ๆ เข้าไปอยู่ในสวนสาธารณะและอันสุดท้ายคือ Sharing For The Blind
• ติดตามต่อได้ที่ www.facebook.com/theblindstheatrethailand