ฮานอย...

ฮานอย...

กลิ่นอายสงคราม ความยากลำบากของผู้คน การดิ้นรนต่อสู้ และหยาดน้ำตา ถูกหล่อหลอมให้กลายมาเป็นประเทศเวียดนาม แต่สิ่งนี้ได้กลายเป็นความทรงจำไปแล้ว เวียดนามกำลังเริ่มต้นด้วยการลืมบาดแผลความเจ็บปวดในอดีต มุ่งหน้าสู่ความสดใสอย่างน่าจับตามอง จากการหันมาใช้นโยบายเปิดประเทศ อย่างการเข้าร่วม AEC เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งอาจนำพาสิ่งใหม่มาสู่ดินแดนนี้ MiX Magazine เลยหาโอกาสไปเยี่ยมเยือนกรุงฮานอยเมืองหลวงเก่าแก่ของเวียดนาม และฮาลองเบย์ เมืองมรดกโลกกับความเป็นธรรมชาติที่สวยงามจับใจ

เราออกเดินทางด้วยสายการบิน Jetstar โดยใช้เวลาเดินทางชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงสนามบินนอยไบ เมืองฮานอย สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้เมื่อออกจากสนามบินจากภาพเบื้องหน้า ฟ้าครึ้มความชื้นในอากาศสูงผสมกับละอองฝนโปรยเป็นพัก ๆ ติดกระจกรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมา นอกหน้าต่างรถทั้งสองข้างทางมองเห็นความเขียวขจีของทุ่งนาสุดลูกหูลูกตาในขณะที่ชาวนากำลังขะมักเขม้นทำหน้าที่อย่างไม่รู้จักเหนื่อย  เมื่อจรรโลงวิวทิวทัศน์อยู่พักใหญ่ไม่นานก็เห็นแม่น้ำแดงสีขุ่น เปรียบเสมือนเส้นเลือดสายใหญ่ของชาวเวียดนาม แตกแขนงเป็นคลองเล็กน้อย มีเกาะแก่งกว้างขวางหลายกิโลเมตรไปสิ้นสุดถึงอ่าวตังเกี๋ย แม่น้ำแดงนี้เองเสมือนเป็นเส้นแบ่งระหว่างชนบทกับ

เมืองใหญ่อย่างฉับพลัน ถนนรายรอบที่เวียนแวะไปรอบ ๆ เมืองใหญ่ ชวนให้เราเห็นสิ่งแตกต่างกับบ้านเรา อย่างอาคารโคโลเนียลแบบดั้งเดิมสมัยฝรั่งเศสเรืองอำนาจ ผสมกับความแออัดของบ้านตึกทรงหน้าแคบสูงยาวที่คนเวียดนามรุ่นเก่าได้สร้างเอาไว้ มันซับซ้อนราวกับสลัมตึกที่ไม่มีวันจบ ด้วยเหตุนี้เองเป็นเหตุผลที่คนรุ่นใหม่ของเวียดนามปลีกตัวออกมาอยู่คอนโดแบบสากลมากขึ้น 

เวียดนามผู้ผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน แม้จะจารึกเป็นนัยว่าคือผู้ชนะในสงครามกับอเมริกา แต่ด้วยน้ำตาของประชาชนที่หลั่งไหลบนซากปรกหักพัง แผ่นดินก็บอบช้ำอย่างปฏิเสธไม่ได้ จุดหมายแรกของเราจึงเดินทางไปสุสานโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh’ s Mausoleum) เพื่อชื่นชมประวัติศาสตร์ของรัฐบุรุษผู้รวมชาติเวียดนามให้เป็นหนึ่งเดียว โดยท่านผู้นำโฮจิมินห์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายนพ.ศ.2512 ปัจจุบันร่างของโฮจิมินห์ได้ถูกบรรจุในโลงแก้วที่จตุรัสบาดิงห์แห่งนี้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้มาเคารพ ในทุก ๆ วันจะมีชาวต่างชาติ และชาวเวียดนามเองมาเคารพอย่างไม่ขาดสาย

ยังมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ เช่น ทะเลสาบคืนดาบ (ทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม) ผืนน้ำอันกว้างใหญ่สร้างความงดงามยามเย็นให้กับผู้คนที่รายล้อมอยู่โดยรอบทะเลสาบแห่งนี้ยังมีตำนานความเชื่อจากบรรพบุรุษผู้สร้างเมืองในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเล เหล่ย แห่งราชวงศ์เล ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ผู้รุกรานชาวจีนแห่งราชวงศ์หมิงได้สำเร็จ เมื่อเสร็จศึกจักรพรรดิเล เหล่ย ล่องเรืออยู่ในทะเลสาบก็มีตะพาบยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ บอกให้พระจักรพรรดิส่งดาบนั้นกลับคืนแด่จ้าวมังกร ดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ จึงเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบคืนดาบซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการคืนความสันติสุขให้กับชาวเมือง

หลังจากเดินดื่มด่ำวิวทะเลสาบอย่างเอมอิ่มใจ เพียงข้ามฝั่งถนนก็จะได้สัมผัสกับศิลปะหุ่นกระบอกน้ำ การแสดงประจำชาติดั้งเดิมตั้งแต่ราวหนึ่งพันปีก่อน ตกทอดมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น มีการเล่าเรื่องผ่านดนตรีโบราณตามฉบับของชาวเวียดนามเกี่ยวกับชาวนา ความเชื่อ นิทานพื้นบ้าน ปนเปกันกับการแสดงอ่อนช้อยวิจิตร ขับขานด้วยเสียงร้องลีลาภาษาเวียดนามแท้ ผสานกับเทคนิคเชิดหุ่นแบบยุคใหม่ทำให้น่าติดตามชมอย่างไม่ละสายตา การแสดงหุ่นกระบอกน้ำ
ใช้เวลาราว  1 ชั่วโมง เต็มเปี่ยมด้วยความประทับใจจากผู้ชม

เมืองฮานอยในยามเย็นย่ำอาจดูวุ่นวายด้วยมอเตอร์ไซค์และเสียงแตรบ้าง แต่ด้วยผู้มาเยือนอย่างเรารับรู้และเข้าใจในวิถีชีวิตต่างชาติพันธุ์ และความนึกคิด บางทีความอบอุ่นกับความวุ่นวายก็อาจรวมกองอยู่ในที่เดียวก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะพลาดไปไม่ได้คืออาหารเวียดนามแท้ที่มีผักสด ๆ เป็นเมนูหลักทุกมื้อ กลายเป็นต้นตำหรับอาหารคลีนที่เป็นธรรมชาติของคนที่นี่มาตั้งแต่อดีต นอกจากนี้ยังมีความหอมกรุ่นของกาแฟที่รสชาติเข้มข้นไม่เป็นสองรองใคร ดึงดูดให้ผู้คนที่หลงใหลจากทุกสารทิศได้เข้ามาลิ้มลองอย่างไม่รู้ลืม 

ท่ามกลางความสวยงามของวัฒนธรรมของชาวเวียดนามที่กำลังเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง จึงเสมือนเป็นประตูอีกบานหนึ่งของโลกที่คอยต้อนรับผู้มาเยือนให้สัมผัสถึงมิตรภาพที่รออยู่เบื้องหน้า ณ เมืองฮานอยแห่งนี้ที่ไม่เคยหลีกหายไปไหน   

How to go?

•    บินจากกรุงเทพไปฮานอยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. 50 นาที 
•    ระยะทางจากสนามบินสู่ใจกลางเมืองประมาณ 45 กิโลเมตร สามารถใช้บริการรถแท็กซี่, แอร์พอร์ต มินิบัส, รถบัส สาย 7 และ 17 

มนต์เสน่ห์แห่งเวียดนามเหนือ (ตอนที่ 1)