สันติ พิเชฐชัยกุล

สันติ พิเชฐชัยกุล

ในรายการทีวีรายการหนึ่งพิธีกรได้กล่าวเปิดตัวแขกรับเชิญไว้อย่างยอดเยี่ยม คำพูดนั้นเป็นสัจธรรมและกินใจยิ่งนัก เขากล่าวว่า คนเราจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีสามสิ่งเหล่านี้ หนึ่ง...ต้องรู้จักตนเอง สอง...ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน สาม...ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น และบุคคลที่พิธีกรพูดถึงก็คือชายคนนี้ครับ ในวันนั้นเขาประสบความสำเร็จเพราะมีสามสิ่งนี้ครบถ้วน

อาจารย์สันติ พิเชฐชัยกุล นักปั้นมือทอง ผู้ที่คว้ารางวัลศิลปะการปั้นบนเวทีการประกวดระดับโลกมากมาย ผลงานล้วนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ชีวิตของเขาพลิกผันสู่ความสำเร็จจากคำพูดของสตรีท่านหนึ่งที่ว่า “ประเทศไทยจะเก็บสันติไว้คนเดียวไม่ได้ โลกจะต้องรู้จักคนที่ชื่อสันติ” คำพูดนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาค้นพบตัวเองมุ่งสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อมสตรีคนนั้นที่กลายมาเป็นคู่ชีวิตของเขา ทุกความสำเร็จล้วนต้องผ่านบทพิสูจน์ กว่าจะมีวันนี้ได้เส้นทางชีวิตล้วนต้องฝ่าฟัน

“ตอนเด็ก ๆ ตายายและพ่อแม่จะพาผมเข้าวัดทุกอาทิตย์ วัดวาอารามของไทยเป็นที่รวบรวมของศิลปะหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นจิตรกรรมฝาผนัง รูปจิตรกรรมพุทธประวัติ หรือจะเป็นรูปหล่อโลหะ เราก็ไปพบไปเห็นภาพวาดตามอุโบสถก็รู้สึกสนุกอยากจะลองทำบ้าง ผมเริ่มหัดปั้นดินเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่ตอนประมาณ 4 ขวบ พอ 6 ขวบ ก็ปั้นดินเหนียวจอมปลวกข้างบ้านเป็น UFO ขายให้เพื่อนข้างบ้าน ตอนนั้นอยู่อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา จากนั้นเราก็เริ่มเข้าประกวดได้รางวัลบ่อย ๆ เมื่อรู้ว่าเป็นสิ่งที่เราชอบก็เลยสู้แล้วฝึกฝนเพราะอยากทำงานศิลปะเป็นอาชีพ

“คุณพ่อของผมท่านเป็นครู ทำให้ที่บ้านจะมีสมุดแจกนักเรียนและกระดาษจดเยอะมาก เราก็เอามาวาดเล่นตลอด บางครั้งก็เอาถ่านและช็อคมาเขียนฝาผนังบ้านเล่น ตอนนั้นก็โชคดีที่คุณพ่อและคุณแม่สนับสนุน เช่น คุณแม่เป็นช่างเย็บผ้า เห็นแม่เย็บผ้าก็เป็นงานฝีมือ คุณพ่อเป็นครูก็จริง แต่คุณพ่อก็ยังเขียนตัวหนังสือสวย ๆ ให้นักเรียนอ่าน หรือพ่อทำของเล่นให้กับนักเรียน ทำเฟอร์นิเจอร์ มันก็เป็นงานช่างฝีมือ ตรงนี้เป็นการซึมซับแต่เด็กของผม จากนั้นเองทำให้เราสั่งสม ทั้งการเห็น การฝึกฝน การเรียนรู้ จากสิ่งที่เราชอบ 

“ฐานะตอนนั้นถือว่าปานกลาง จริง ๆ เกือบถึงขั้นจนด้วยซ้ำ เพราะว่าพ่อมีลูกหลายคน ทั้งหมด 6 คน ผมเป็นคนสุดท้อง โชคดีว่าท่านเป็นคนขยัน พ่อเป็นลูกชาวนาชาวไร่แต่สามารถไต่เต้ามาเป็นครูใหญ่จนได้เป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน  ผมเป็นลูกผู้อำนวยการโรงเรียน ผมก็เลยตั้งมั่นว่าผมต้องมีประโยชน์ แล้วก็ต้องทำให้ได้มากกว่าที่พ่อทำ ผมท่องจำในโรงเรียนว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผมท่องตั้งแต่เป็นนักเรียน สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรับผิดชอบในสิ่งที่ผมสัญญาเอาไว้ครับ ความสุขของผมคืออยากทำให้คนอื่นมีความสุข”

บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งศิลป์

“ตอนที่เรียนอยู่ชั้นประถม รร.ชุมชนชุมพวงวิทยา คุณครูศิลปะจะสอนให้เรามีอิสระ อยากวาดอะไรก็วาดได้ตามใจชอบ แล้วก็ค่อย ๆ ให้คอนเซ็ปต์ ช่วงชั้นมัธยมต้นซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ รร.ชุมพวงศึกษา ก็เรียนสายวิทย์-คณิต แต่ปรากฏว่าไม่ชอบเลยครับคณิตศาสตร์หรืออังกฤษ ชอบวาดรูปมากกว่า จนได้เป็นประธานชมรมศิลปกรรมของโรงเรียน แล้วก็เป็นหนึ่งในสมาชิกวงดุริยางค์อีกด้วย แต่คุณครูก็ชอบส่งเข้าไปประกวดในที่ต่าง ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างแต่สุดท้ายครูก็แนะแนวให้ไปเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา วิทยาเขตเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดนครราชสีมา 

“ซึ่งที่นั่นผมได้คำสอนของครูติดตัวมา อะไรก็ตามถ้าจะวาดต้องวาดให้ได้ชีวิต เช่น คุณวาดมีด มีดต้องบาดมือได้นะ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำสิ่งที่เหมือนจริง ผมเรียนศิลปะทุกแขนงเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นวิชาองค์ประกอบศิลป์ลายไทย Anatomy กล้ามเนื้อมนุษย์ และแม้แต่ว่าการผสมสีจากดอกไม้และพืชพันธุ์ธรรมชาติ ช่วง ปวช. ผมจะเรียนรวมหมดเลย พอปวส. ก็จะแยกสาขา ผมได้สิทธิ์ไม่ต้องสอบ ปวส. แต่อาจารย์แนะนำให้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาศิลปากรผมก็ไปเลยกับรุ่นพี่ ชื่อพี่ขจร นอนอยู่ที่ ร.พ. ศิริราช ซึ่งรุ่นพี่แนะนำให้ไปสมัครให้นักศึกษารุ่นพี่ที่ศิลปากรเขาติวให้ แต่ก็สอบไม่ติดครับ และไม่คิดว่าเราจะสอบไม่ติด เราเตรียมพร้อมมาจากโคราชนะ ที่ไม่ได้เข้าศิลปากรเพราะว่าไม่ใช่แค่วาดรูปเก่ง หรือปั้นเก่งอย่างเดียว แต่เขาเอาวิชาการด้วยครับ อย่าแค่เก่งทฤษฏีหรือเก่งแค่ปฏิบัติ มันต้องควบคู่กันไป นี่แหละถึงจะประสบความสำเร็จได้ ผมจำได้จนขึ้นใจ

“ผมไปอาศัยอยู่ที่ศิริราช 2 เดือน อยู่ที่นั่นผมก็ได้ศึกษา Anatomy ในตึกที่เขาเรียกว่าตึกซีอุย เห็นชิ้นเนื้อเห็นกระดูก เห็นกล้ามเนื้อ ผมเข้าไปเพื่อจะเอาความรู้ แล้วพี่เขามีงานเกี่ยวกับวาดภาพพุทธประวัติ เขาก็มาให้ผมลงสีให้ แลกกับอาหารและที่พัก แลกกับวิชาความรู้ มันต้องอดทน ทีนี้เพื่อนโทรมาว่ามีรุ่นพี่ทำงานเป็นนักปั้นในโรงหล่อแห่งหนึ่งอยู่แถวซอยเพชรเกษม 51 (บางแค) เขาให้ค่าแรงวันละร้อย ผมก็ไปทำงานที่นั่น เขาก็ให้ทำอะไรก็ทำ กวาดพื้น นวดขี้ผึ้ง เก็บขยะ หรือแม้แต่เก็บขี้หมาด้วย เพราะที่นั่นเลี้ยงหมาเยอะมาก ได้ความรู้เยอะมาก ๆ เริ่มจากก่อไฟ นวดขี้ผึ้ง จุดไฟแรงไฟต้องอ่อน หล่อยังไง รู้แม้กระทั่งกระบวนการทั้งหมดสามารถใช้เวลา 7 วัน ปั้นและหล่อโลหะทองเหลืองจนเสร็จได้ โรงงานเขาทำได้เร็วมาก และเราได้ประสบการณ์ความรู้จริง ผมต้องขอขอบคุณอาจารย์แดง กำพล เจ้าของโรงหล่อที่ชี้โพรงให้กระรอกอย่างผม ท่านแนะนำให้เข้าวงการบันเทิง เพราะก่อนหน้านั้นผมเคยประกวดนายแบบที่โคราชได้แชมป์มา ผมก็ไปโทรหาพี่ที่ทำโมเดลลิ่ง ที่ชื่อพี่จรัญ พลตื้อ เขาก็เลยให้ไปแคสติ้งเป็นพระเอกมิวสิควิดีโอ ไปถ่ายทำที่ภูเก็ตสองวันได้ค่าตัว 3 พันบาท ซึ่งเท่ากับเราทำงานทั้งเดือนเลยทีเดียว

“หลังจากได้ความรู้จากการปั้น การหล่อ ผมก็ลาออกมาอยู่วงการบันเทิง ทำงานอยู่โมเดลลิ่ง มีหน้าที่เป็นคนหานักแสดง ผมเป็นแมวมอง บางทีก็ไปเป็นสตั๊นท์แมนบ้าง ตัวประกอบในรายการทไวไลท์โชว์บ้าง สักพักก็ได้มาทำฝ่ายศิลป์ให้กับอาประยูร วงษ์ชื่น ผู้กำกับชื่อดังตอนนั้น สามารถหาเงินเรียนต่อที่เพาะช่างได้ ระหว่างนั้นก็ทำฝ่ายศิลป์ให้กับผู้กำกับท่านอื่นด้วย ที่สุดท้ายคือมาทำให้พี่ปื๊ด ธนิตย์ จิตนุกูล

“เราเรียนด้วยทำงานไปด้วย ตอนนั้นผมเรียนที่วิทยาลัยเพาะช่าง พาหุรัด แต่ยังมีงานเรื่อย ๆ เพราะผู้ใหญ่ในวงการนี้หลายคนให้โอกาสได้ทำงาน เช่นเป็นหัวหน้าฝ่ายศิลป์ละครเรื่อง ขบวนการสู้ผีไม่มีถอย (ช่อง 3) ของคุณหน่อง อรุโนชา ภานุพันธ์ บ.บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด เป็นต้น และแสดงเป็นพระเอกมิวสิควีดีโอคาราโอเกะให้กับหลายเพลงของบริษัท RS แล้วผมก็พยายามช่วยเหลือให้เพื่อนคนอื่น ๆ หลายคนเข้าวงการ อีกทั้งหางานและหาโอกาสมอบให้คนอื่นเสมอ วันหนึ่งได้มีอาจารย์ท่านหนึ่งเดินมาถามว่า ในเพาะช่างใครปั้นเก่งมากที่สุด จะให้ทำงานกับพิพิธภัณฑ์ฟาร์มจระเข้ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นการปั้นวิวัฒนาการของมนุษย์ ตั้งแต่ลิงกลายเป็นคน 9 ขั้น เป็นนูนสูงกึ่งลอยตัว ปรากฏว่าเขาเลือกให้ผมทำงานนี้ นั่นคือเป็นอาชีพครั้งแรกที่รับจ้างทำงานปั้นอย่างแท้จริง 

“พอได้งานชิ้นนั้น ผมก็เลิกทำฝ่ายศิลป์ให้พี่ปื้ด ธนิตย์ (สยึ๋มกึ๋ย ภาค 2) ไม่ทำหนังแล้ว ผมรับงานปั้นชิ้นนั้นกับเพื่อนรุ่นพี่อีกสองคน เราปั้นกันที่ซอยเพชรเกษม 51 เราปั้นให้ 7 ตัว ตอนนั้นได้เงินสามหมื่นบาท แบ่งกันคนละเก้าพัน ทีนี้รุ่นพี่มากระซิบว่าจริง ๆ แล้วเขารับงานมาแพงกว่านั้นมาก ผมเลยคิดว่าเรื่องเงินไม่สำคัญเท่ากับการได้รับโอกาส วันนี้เราลงทุนลงแรงและยอมขาดทุนไปก่อน เพราะผมถือว่า “ขาดทุนคือประสบการณ์ ความชำนาญคือกำไร” เดี๋ยวค่อยเอาคืนทีหลัง ระหว่างที่ผมกำลังศึกษาผมก็รับจ้างทำงานวาดและงานปั้นไปด้วยทุกชนิดจากลูกค้านักศึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัย และลูกค้าทั่วไปนอกมหาวิทยาลัยควบคู่กันไปด้วยตลอดเวลา จนจบปริญญาตรีสาขาประติมากรรมสากลศึกษาศาสตร์บัญฑิต สายครู ม.เทคโนโลยีราชมงคลคลอง 6 ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 

ชีวิตพลิกผัน สู่ความสำเร็จ

“จุดเปลี่ยนสำคัญคือตอนที่เราย้ายไปอยู่อเมริกา เพราะผิดหวังบางอย่างในเมืองไทย คุณเอริค่าบอกถ้าคนที่นี่ไม่เห็นค่าก็ไม่เป็นไร สันติ...คุณทำให้คนทั้งโลกเห็นก็แล้วกัน ประเทศไทยจะเก็บสันติไว้คนเดียวไม่ได้ โลกจะต้องรู้จักคนที่ชื่อสันติ คำพูดนี้ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะสู้ต่อ ตอนนั้นมีคนมาจ้างผมปั้นหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่เลื่อน (ไฟเบอร์กลาส) แต่สุดท้ายลูกค้าก็ไม่เอา เพราะว่าเขาไม่เห็นคุณค่า เราก็เลยนำหลวงปู่เลื่อนไปอเมริกาด้วย เหตุผลที่ไปอเมริกา ทำไมถึงต้องสู้ บทพลิกผันชีวิตก็มาจากผู้หญิงคนนี้ครับ คุณเอริค่าภรรยาของผมนั่นเอง 

“การทำงานใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะวิชาใด ถ้าเรารักในสิ่งที่เราทำ เราจะทุ่มเท ถามว่าจิตวิญญาณมาจากไหน มาจากตัวตนของเรานั่นแหละ ถ้าเราไม่รักเราจะเสียสละ เราจะอดทนศึกษาหาความรู้นั้นไหม เราจะทุ่มเททั้งชีวิตและจิตวิญญาณให้งานนั้น ๆ ไหม เราใส่ความรักและจิตวิญญาณของเราเข้าไปในงาน จิตวิญญาณและความรักมันจะสะท้อนออกมาจากงานครับ 

“สิ่งที่เราปั้นเป็นบุคคลสำคัญที่มีคุณงามความดี ท่านต่าง ๆ เหล่านี้ก็เป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณ ถ้าเราเชื่อมโยงกับท่าน จิตวิญญาณของเรากับท่านทั้งหลายที่เราปั้นจะมาเจอกันครับ หลายคนที่เห็นผลงานบอกว่ารูปปั้นเหมือนขยับได้ ก็เพราะว่าผมทุ่มเทเก็บทุกรายละเอียด ใส่ทั้งเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ มันจึงกลายเป็นว่าไม่ใช่แค่เหมือน แต่ต้องได้ชีวิตเลย ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ถ้าใครจะเห็นแล้วเห็นถึงจิตวิญญาณ เพราะผมก็ใส่จิตวิญญาณของผมกับบุคคลที่ผมปั้นลงไป มันจึงสะท้อนถึงจิตวิญญาณได้มากกว่าเหมือนคือชีวิตและจิตวิญญาณครับ 

“ปีแรกที่เข้าร่วมการประกวดในงาน ArtPrize ที่มิชิแกน ในปี ค.ศ.2010 ผลงานหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่เลื่อนของผมติดอันดับ 1 ใน 25 ของศิลปินที่ส่งงานศิลปะเข้าประกวดทั้งหมด 1,713 คน จากหลายประเทศทั่วโลก แต่ก็ยังมีคนครหาอีกว่าไม่ใช่รูปปั้น เพราะหาว่าผมทำแม่พิมพ์ลงไปบนคน หลวงปู่เลื่อนได้กลายเป็น Talk Of The Town ของที่นั่นศิลปินระดับโลกมาจับมือให้กำลังใจผม ถึงจะไม่ชนะ แต่ผมก็ยังภูมิใจว่าชนะใจคนดู รูปปั้นของเราเหมือนจริงมากขนาดที่เปรียบได้ว่ายุงยังมาเกาะและพยายามดูดเลือดเลยครับ นักปั้นชาวต่างชาติที่มาดูหลวงปู่เลื่อนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนจะสามารถปั้นได้เหมือนจริงถึงเพียงนี้ คือเขาไม่เชื่อว่าเราทำได้จริง ๆ ว่างั้นเถอะครับ 

“การประกวดในปีต่อมา คือปี ค.ศ.2011 ผมเลยทำรูปปั้นGerard Alford ที่เป็นอดีตประธานาธิบดีคนที่ ๓๘ของสหรัฐอเมริกาซึ่งท่านเกิดที่เมืองแห่งการประกวดนี้ ซึ่งผมพยายามทำให้เห็นเหมือนประหนึ่งว่า ท่านยังมีชีวิตอยู่มายืนชมงานและให้คะแนนผม โดยเป็นหุ่นขี้ผึ้งมาเชียร์ผมปั้นรูปปั้นโลหะของตัวท่านเองอีกที ซึ่งก็เป็นเรื่องเลยครับ เราวางแผนโชว์ข้างนอก 24 ชั่วโมง เพราะจากประสบการณ์ที่เราเคยโชว์ข้างในพิพิธภัณฑ์นั้น คนดูน้อยจึงทำให้ได้คะแนนเสียงโหวตไม่พอ พอมาตอนนี้เราจึงได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น ผมติด 1 ใน 4 ของผลงานศิลปะทุกแขนงของโลกและได้อันดับ 1 ของนักปั้นทั้งหมด จากศิลปิน 1,582 คนทั่วโลก 39 ประเทศ และ 42 รัฐในอเมริกา  และปีต่อมา คือในปีค.ศ.2012 ผมก็ยังได้รับรางวัล Best Of Show 3D ในงานครบรอบร้อยปีของ Calgary Stampede Western Showcase Artists’ Studios ในเมืองคาลการี่  รัฐอัลเบอร์ต้าประเทศแคนาดา ถือเป็นการแข่งขันงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ

“ถัดมาในปี พ.ศ.2556 ผมเข้าร่วมแข่งขันรายการ Portrait Society of America ซึ่งถือว่าเป็นการแข่งขันระดับโลกอีกรายการหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง งานของผมได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 15 จากสุดยอดศิลปินที่มีฝีมือ 800 กว่าคนทั่วโลก และ พ.ศ.2557 Safari Club Internationalได้ยกย่องให้ผมเป็นประติมากรอันดับหนึ่งของโลกในปีนั้น

“พ.ศ. 2555-2556 ผมมีแกลลอรี่อยู่ที่รามคำแหง 164  ก่อนที่ผมจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่ ตอนนี้ผมมีแกลลอรี่ที่อเมริกา อยู่ใจกลางเมืองดาวน์ทาวน์ไวท์ฟิ๊ช ของรัฐมอนทาน่าซึ่งนำโบสถ์เก่าอายุ 110 ปี มาบูรณะทำใหม่ ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นแกลลอรี่ที่สวยที่สุดในรัฐมอนทาน่า คนที่นี่บอกว่าน่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์มากกว่าที่จะเป็นแกลลอรี่ ซึ่งภายในซัมเมอร์ปี พ.ศ.2559 นี้คิดว่าจะเชิญศิลปินไทยไปโชว์งานที่แกลอรี่ของผมครับ เป็นการนำเอาฝีมือและผลงานศิลปะของศิลปินไทยไปอวดชาวต่างชาติบ้าง”  

ที่สุดของความภาคภูมิใจ

“ผลงานที่ผมภาคภูมิใจที่สุดก็คือการปั้นเพื่อเทิดพระเกียรติถวายแด่ในหลวง ‘รอยยิ้มของพ่อ’ พระพักตร์แจ่มใสทรงแย้มพระสรวล ผมคิดอยากจะปั้นรูปพระองค์ท่านมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าพอและไม่มีโอกาสสักที ความมั่นใจของผมเกิดจากแรงการันตีที่ได้รางวัลจากเวทีโลก เมื่อได้ความมั่นใจ ผมจึงกล้าที่จะปั้นถวายพระองค์ท่าน ผมเริ่มโดยการที่คิดว่าควรจะไปเริ่มต้นปั้นโครงสร้างที่โรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น รัฐแมซซาซูเซส ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่พระองค์ท่านทรงประสูติ โดยใช้ดินเซรามิคสีขาวที่ไม่เหมือนของใครในการปั้นขึ้นโครง 

“ผมจำได้แม่นว่า ในวันที่ 27 สิงหาคม 2556 เวลา เก้าโมงเช้า ถึงสิบโมงครึ่ง ทางโรงพยาบาลเขาให้เวลาแค่นั้น แถมตึกที่พระองค์ท่านทรงประสูติก็ถูกทุบทิ้งไปแล้ว ผมก็เลยมาปั้นอยู่ที่ห้องข้าง ๆ ซึ่งเป็นตึกที่อยู่ในอายุราวคราวเดียวกันกับตึกที่ทุบทิ้งแต่สภาพยังดีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้นผมได้บันทึกวิดีโอเอาไว้ เป็นความภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้ว ที่เราได้คิดและลงมือทำ เมื่อสำเร็จลุล่วงเราก็นำไปถวายให้พระองค์ท่าน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ที่พระราชวังไกลกังวล ท่านรองราชเลขามารับแทนพระองค์ และก็ยังแนะนำให้ทำสีใหม่เพราะว่าอาจจะดูเข้มไป จึงนำกลับมาแก้ไข เมื่อท่านรองฯ เห็นก็แสดงความชื่นชมว่านี่คือรูปปั้นในหลวงที่ดีและเหมือนจริงที่สุดเท่าที่เคยมีการปั้นกันมาถวาย วันต่อมาท่านรองก็ให้ลูกชายโทรมาบอกว่าพระองค์ท่านทรงโปรดและบอกว่าสวยดี และยังทรงถามอีกว่ารูปปั้นหนักกี่กิโล เพราะว่ามีรับสั่งให้คนทำฐานเพิ่ม เพื่อจะโชว์ที่ท้องพระโรง เมื่อพระองค์ทรงโปรดแล้ว เราถึงกล้าเปิดเผยคลิปวีดีโอการทำงานนั้นวันแรกเริ่มคือวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ.2557 จนถึงวันนี้มีผู้คนเข้าไปชมกว่า 2 ล้านวิวแล้ว ซึ่งท่านที่ยังไม่ได้ชมก็สามารถเข้าไปชมได้เช่นกัน เมื่อผมเห็นพระองค์ทรงแย้มพระสรวลและมีความสุข ผมก็มีความสุข และผมก็อยากจะแบ่งปันความสุขนี้ให้คนไทยทั้งชาติ ผมก็รู้สึกปลาบปลื้มใจและเป็นความภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้ว ซึ่งเป็นความสุขที่ยากเกินจะอธิบายเป็นคำเขียนหรือบอกเล่าได้ครับ

“และในขณะนี้ผมกำลังมีโปรเจ็กต์ใหญ่ที่อยากให้คนไทยทั้งชาติร่วมด้วยช่วยกันสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกชิ้นหนึ่งของโลกด้วย นั้นก็คือประติมากรรมเหมือนจริงที่มีความละเอียดของพระพุทธเจ้าโลหะปางสมาธิสูง 19 เมตร นั่งอยู่บนฐานสูงประมาณ 17 เมตรซึ่งเป็นทั้งพิพิธภัณฑ์แสดงเรื่องราวพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ,ตรัสรู้, ปริณิพาน ฯลฯ และเป็นแหล่งรวบรวมพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องที่สุด ซึ่งจะประดิษฐานอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอันรุ่งเรืองแห่งธรรม โครงการนี้มีชื่อว่า ร่วมค้นหาพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดในโลกตามประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่การตามหาพระพักตร์ของพระองค์ท่านเพื่อมาปั้นเท่านั้น แต่พวกเรายังจะได้เข้าใกล้พระองค์และได้รู้ซึ้งถึงแก่นของพระธรรมคำสอนที่แท้จริงของพระองค์อีกด้วย ซึ่งภายในองค์ยังจะมีการปั้นเป็นพุทธรูปแบบเหมือนจริงวัสดุเรซิ่นไฟเบอร์กลาสอีกด้วย 1 องค์ ซึ่งเป็นองค์ที่ 2 รองจากองค์ที่ 1 ซึ่งจะมอบให้กับ ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล เรามีความหวังว่าโครงการนี้เมื่อทำเสร็จแล้ว พวกเราก็จะได้เกิดความภาคภูมิใจว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเหมือนพวกเราทั้งหลายจนบรรลุมาถึงพุทธะได้ และตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง จะได้นึกถึงความจริงที่ท่านสอน ว่าด้วยสัจธรรมความจริง เราไม่ได้ฝันหรือคิดเองทำเองคนเดียวได้ เราปรึกษานักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ ปรมาจารย์ด้านพุทธศาสนาทั่วโลก เราทำงานเป็นทีมและมีหลักการและหลักฐานอ้างอิง เราค้นคว้าและวิจัยร่วมกับชาวต่างชาติด้วยหลายประเทศ 

“โปรเจ็กต์นี้ผมไม่ได้คิดคนเดียว คุณเอริค่าเป็นผู้เขียนหนังสือร่วมค้นหาพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าตามประวัติศาสตร์โลกขึ้นมา โดยมีทีมงานนักข่าวอาชีพของไทยเป็นผู้แปล ส่วนผมทำหน้าที่ในการเรียบเรียง รายได้จากการจำหน่ายหนังสือและเหรียญเบญจอรหันต์ คงกระพันความดีบารมี ๕๙ จะนำไปเป็นค่าเดินทางและการทำสารคดีทั้งภาคภาษาไทยและภาคภาษาอังกฤษ และจะเปิดเผยพร้อมกันทั่วโลก และจะนำรายได้ส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดินที่คนทิ้งแล้วและไม่เห็นคุณค่า เพื่อที่เราจะมาเนรมิตให้สวยงามตามหลักคำสอนของพระองค์ ทำสิ่งที่คนไม่เห็นคุณค่า ให้เกิดเป็นสิ่งที่มีคุณค่าขึ้นมา แล้วยังเปิดโอกาสมอบให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการสมทบทุนเพื่อโครงการ เราจะทำให้ดีที่สุดและพยายามให้ประหยัดที่สุดด้วย เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนรวม และปลายปี พ.ศ.2560 เราจะมีการประชุมใหญ่จัดที่เซ็นทรัลเวิลด์ เราจะเชิญให้ปรมาจารย์ด้านพุทธศาสนาทั่วโลกมาร่วมประชุมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพที่ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  ท่านสามารถสนับสนุนโครงการได้ โดยการอุดหนุนหนังสือ ร่วมค้นหา พระพักตร์ของพระพุทธเจ้าตามประวัติศาสตร์โลก และเช่าจองเหรียญเบญจอรหันต์ คงกระพันความดี บารมี ๕๙ ได้ที่ เซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขาทั่วประเทศ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนโครงการนี้ด้วยครับ” 

 

Best Portrait Sculptor ประติมากรเอกระดับโลก