“I Put A Spell On You”
Writer: Jay Hawkins; Herb Slotkin
I put a spell on you
‘Cause you’re mine
You better stop the things you do
I ain’t lyin’
No I ain’t lyin’
You know I can’t stand it
You’re runnin’ around
You know better daddy
I can’t stand it cause you put me down
Oh oh
I put a spell on you
Because you’re mine
Oh oh
You know I can’t stand it
You’re runnin’ around
You know better daddy
I can’t stand it cause you put me down
Oh oh
I put a spell on you
Because you’re mine
You know I love you
I love you
I love you
I love you anyhow
And I don’t care if you don’t want me
I’m yours right now
I put a spell on you
Because you’re mine
Because you’re mine
Because you’re mine
Oooh yeah
หนึ่งในเพลงประกอบภาพยนตร์ที่อื้อฉาวที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปี 50 Shades of Grey เพลงนี้ เป็นเพลงเก่าที่มีประวัติยาวนานสืบย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ. 1956
คนที่ร้องเพลงนี้บันทึกเสียงคนแรกก็คือคนที่แต่งเพลงนี้ ลุงเขามีชื่อว่า เจย์ ฮอว์กินส์ (Jay Hawkins) หรืออีกชื่อว่า Screamin’ Jay Hawkins เหตุที่ได้ชื่อแบบนั้น ก็เพราะเวอร์ชั่นที่บันทึกเสียงกันครั้งแรกนั้นเกิดขึ้นระหว่างที่เจย์ ฮอว์กินส์ และทีมงาน เมากรึ่มกันสุดติ่ง
ลุงเจย์ แกเล่าว่า ก่อนหน้าเพลงนี้ แกเป็นนักร้องเพลงบลูส์ติ๋มๆ คนนึง แต่พอมีเพลง I Put A Spell On You ที่บันทึกเสียงด้วยความเมากรึ่ม แกเลยจัดซะมันโหยหวนไปเลย เท่านั้นแหละ แกก็ได้ฉายา Screamin’ มาโดยปริยาย
จะด้วยเพราะเพลงมันโหยหวนไปหรือเปล่าไม่ทราบ แผ่นเสียงเพลงนี้ถึงจะขายได้ขายดี แต่ก็ไม่ค่อยเป็นที่นิยมของบรรดาดีเจครับ เวอร์ชั่นแรกของเพลงนี้เลยไม่ติดอันดับใดๆ จนเมื่อมีหลายศิลปินขุดเอาไปร้องกันนั่นแหละ เลยกลายเป็นเพลงฮิต ติดอันดับขึ้นมาทั้ง CCR, Nina Simone, ไปถึงฉบับที่ เจฟฟ์ เบ็ค กับ จอส สโตน จับคู่กัน จนมาถึง แอนนี่ เลนน็อกซ์ ที่ถูกใช้เป็นเพลงประกอบหนังเรื่องนี้
พูดถึงตัวหนังเอง ความจริงใครได้ไปชมแล้วก็คงเห็นว่า จริงๆ ความโป๊นี่ไม่เท่าไหร่ แต่เหตุที่โดนแบน โดนเซ็นเซอร์กระจายในหลายประเทศ ก็เพราะความวิปริตของบทอัศจรรย์ในเรื่องมากกว่า แต่น่าจะช่วยส่งเสริมกิจการของร้านเซ็กซ์ช๊อปที่ขายอุปกรณ์ได้มากพอสมควร
มีเรื่องเล่าว่า อันที่จริง อีแอลเจมส์ คนแต่งนิยายเรื่องนี้ เป็นแฟนตัวยงของนิยายชุด Twilight Saga ซึ่งต้นแบบของบทประพันธ์เรื่องทไวไลท์ ที่นำมาสร้างเป็นหนังก็ไม่ใช่นิทานที่ไหน แต่เป็นซินเดอเรลล่า คือจับเอาเรื่องเด็กสาวชาวบ้านโนบอดี้ ที่ได้มาประสบพบรักกับเจ้าชายรูปงามนามเพราะ ซึ่งก็เป็นพล็อตเดียวกับหนังเอาใจสาวช่างมโนอย่าง Twilight นั่นเอง
เพียงแต่เจ้าชายในเรื่อง 50 Shades นี่ อาจจะมีปมสมัยเด็กมากหน่อย เลยกลายเป็นเด็กที่เก็บกดและมาแสดงออกด้วยการมีเพศสัมพันธ์ที่ผิดจากมนุษย์มนาทั่วไป ทำเอาเจ้าหญิง เอ๊ย ซินเดอเรลล่า เอ๊ย อนาสตาเซียที่เป็นนางเอกของเรื่องก็ลำบากใจกันเลยทีเดียว
จะว่าไปพล็อตแอนตี้เจ้าชายแบบนี้ ก็ปรากฏในหนังเรื่อง Into The Woods นะครับ เมื่อ Prince Charming เจ้าชายเจ้าเสน่ห์บอกเลยว่าก็ฉันเกิดมาเป็นคนเจ้าเสน่ห์ จะให้ฉันซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียวได้ไง ฉันก็ต้องโปรยเสน่ห์สิ
แต่ไม่ว่าจะมีคำเตือนซ่อนอยู่หนังสักกี่เรื่อง ก็เชื่อได้ว่า ผู้หญิงร้อยละเก้าสิบ ก็ยังมีความฝันจะได้พบเจ้าชายรูปหล่อแบบเดียวกับที่ เบลล่า เจอ เอ็ดเวิร์ด ในทไวไลท์ หรือที่ อนาสตาเซีย สตีล เจอ คริสเตียน เกรย์ ในเรื่องนี้
เพราะมันคงอยู่ในดีเอ็นเอของผู้หญิงทุกคน ที่อยากจะพบกับรักแท้ ยิ่งถ้าเป็นรักแท้ที่มาในแพ็กเกจที่สวยงาม เลอค่า แบบเจ้าชายรูปหล่อ หรือเจ้าของอาณาจักรธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งสมบูรณ์แบบ
แต่ความสมบูรณ์แบบบางครั้ง ก็มาในรูปของกรงทอง หรือกรงทองที่มีหนามติดอยู่ และเป็นกรงทองที่มองไม่เห็นว่าเป็นกรง แต่เห็นเป็นวิมานซะนี่
เอาเป็นว่า อย่างน้อย ทุกคนก็มีสิทธิเลือกนะครับ ว่าจะเลือกพาตัวเองไปอยู่ตรงจุดไหน ในกรงหรือนอกกรง
สุขสันต์วันที่ผมยังไม่ใช่เจ้าชายก็แล้วกันครับ