อั้น
ครั้งนี้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ Sound Engineerและ Producer ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินดังหลากหลายวง อาทิ บอดี้สแลม บิ๊กแอส พาราด็อก ฯลฯ ซึ่งเป็นบุคคลที่คุณเมธี อรุณ (เมธี ลาบานูน) แนะนำมาให้เราได้ถามในบางคำถามแทนใจใครหลายคน ซึ่งก็ไม่แน่ว่าในคำตอบของเขานั้นจะแทงใจใครบางคนบ้างหรือไม่...
รู้จักกับคุณเมธี ลาบานูนได้อย่างไร
รู้จักด้วยเรื่องงานเลยครับผมมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้เขา ก่อนหน้านั้นก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย เริ่มจากงานล้วนๆ ตอนนี้ร่วมงานกันมาหนึ่งปีแล้ว ก็เริ่มสนิทกันจนเหมือนครอบครัวเดียวกัน ก็ว่าได้
คิดว่าเพราะอะไรพี่ถึงเป็นคนต่อไปที่คุณเมธีอยากให้มาพูดคุยด้วย
ผมคิดว่าเพราะผมร่วมงานกับเขา แล้วเราก็สนิทกันพอสมควร เมธีคงอยากแนะนำผมให้คนอื่นรู้จักว่าเป็นผมโปรดิวเซอร์ให้เขา ผมทำงานเบื้องหลังมานาน คงอยากให้คนรู้จักบ้างมั้ง (หัวเราะ)
เดินทางในสายดนตรีมานานแค่ไหนแล้ว
น่าจะ 20 ปี ตั้งแต่เรียนดนตรีที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ผมเรียนมารุ่นเดียวกับโอม บอดี้สแลม เป็นรุ่นพี่อ๊อฟ บิ๊กแอส ผมทำงานดนตรีมาตลอด แต่ไม่ได้อยู่เบื้องหน้าแค่นั้นเอง อย่างบอดี้สแลมทำกันมาตั้งแต่ชุดแรกเลย
ติดใจอะไรกับการเป็นซาวน์เอนจีเนียร์
แรกๆ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจอะไรขนาดนั้น ตอนนั้นเป็นยุคคาบเกี่ยวระหว่าง Analog กับ Digital ซึ่งเราทำได้ ก็เลยได้รับโอกาสจากพี่หมี แกรมมี่ ให้มาช่วยงานด้านนี้ เลยเริ่มทำมาตั้งแต่ตอนนั้น ทำไปทำมารู้ตัวอีกทีซาวน์เอนจีเนียร์ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
อั้น
คิดว่าเสน่ห์ของอาชีพนี้คืออะไร
ได้ฟังเพลงก่อนคนอื่น (หัวเราะ) ผมว่าอาชีพนี้มันสนุกนะ เหมือนเราทำกับข้าวเรากำลังปรุงมัน ใส่โน้นใส่นี้ ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ถ้าตัวเองคิดว่าพอไม่ทำต่อไม่พัฒนาชีวิตคงจะหน้าเบื่อ แต่ผมไม่เคยเบื่อนะ เพราะมันมีเสน่ห์ที่ทำให้เราได้ทำสิ่งต่างๆ ได้เจออะไรใหม่ๆ ได้ทดลองและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
ผลงานที่ประทับใจที่สุดคือชิ้นไหน
ถ้าจะถามว่าชอบ ประทับใจงานไหนมากที่สุดไม่มี เพราะชอบทุกงาน ทั้งงานคอนเสิร์ต งานห้องอัด ซึ่งมันก็ต่างกัน แค่เปลี่ยนหน้าคนทำงาน โดยเฉพาะคอนเสิร์ตจะเปลี่ยนตลอดเวลา มันทำให้เราสนุก ได้รู้ชีวิตของคน ได้เห็นชีวิตของคน แต่ในห้องอัดก็ได้เรียนรู้การทำงาน เรื่องของธุรกิจ การวางแผน การจบงานให้ได้ภายในกำหนด มันได้ไม่เหมือนกันแต่มันก็เป็นศาสตร์เดียวกัน เรื่องของดนตรีเหมือนกัน
การทำงานที่ผ่านมาเห็นอะไรในวงการดนตรี
ถ้ามองด้านธุรกิจดนตรีคงไม่แฮปปี้ เพราะจะมาขายอัลบั้มอย่างเดียวไม่ได้แล้ว การหาเงินมันเปลี่ยนไป ต้องหาวิธีใหม่ๆ แต่ถ้ามองเรื่องดนตรีมันพัฒนาขึ้นเยอะ มีเพลงใหม่ วงใหม่เล่นกันเองแล้วเอาเพลงอัพโหลดลง youtube มีคนมากด Like เป็นที่รู้จักง่ายขึ้น
จากเทป เป็นซีดี เป็นมาดาวน์โหลด
ต่อไปมันจะเป็นอย่างไร ผมว่ามันสุดทางแล้ว ยังไงก็ต้องใช้คำว่าดาวน์โหลด นึกถึงแล้วเพลงมาก็ต้องมีการเลือกเปลี่ยนกันโหลดเพลงไปเงินมา แต่ตอนนี้มันกำลังจะย้อนกลับมากกว่า เหมือนแฟชั่นที่วนกลับมา อย่างแผ่นเสียงก็จะกลายเป็นของสะสม มีการกลับมาทำใหม่ เป็นของเล่นของคนมีเงิน ที่เขามีกำลังซื้อ
คิดยังไงกับเทคโนโลยีที่จะกลืนความเป็นศิลปินในตัวนักดนตรี
ผมว่าถ้าสมัยก่อนมีเทคโนโลยีที่เป็นตัวช่วยมากเท่าทุกวันนี้ นักดนตรียุคนั้นก็ใช้เหมือนกัน มันอยู่ที่ยุคสมัยมากกว่า เพราะผลลัพธ์มันเหมือนกัน เทคโนโลยีมันช่วยเราในหลายด้านแต่มันก็เป็นดาบสองคม เราทำงานง่ายขึ้น แต่คนก็จะขาดความพยายาม มันอยู่ที่คนเลือกใช้ แต่ถึงจะมีคอมพิวเตอร์มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย งานก็จะดีไม่ได้ถ้าขาดความคิดของคน เพราะคนสร้างมันขึ้นมา มันคือเครื่องมือที่จะช่วยให้เราทำงานง่ายและดีขึ้น แต่มันไม่ได้ช่วยให้เราคิดเพลงที่ดีได้
20 ปีที่ผ่านมาบนถนนดนตรี ในภาพของเบื้องหลัง มองเห็นอะไรบ้าง
สิ่งที่ผมเห็นมันเป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใจชีวิตเข้าใจโลกมากกว่าคนอื่น ผมทำมานานเห็นทั้งคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ประสบความสำเร็จ หรือประสบความสำเร็จแล้ว กลับมาไม่ประสบความสำเร็จอีก มันก็วนอยู่แบบนี้ เห็นอยู่ตลอดเวลา ภายในช่วงที่ผ่านมา มันทำให้ผมเข้าใจการดำเนินชีวิตเยอะว่าชีวิตเราประมาทไม่ได้เลย