บานเย็น รากแก่น

บานเย็น รากแก่น

เสียงร้องที่แสนจะอ่อนหวาน ลูกเอื้อนอ้อนผสานความหนักเบาตามความหมาย ประกอบกับท่วงท่าร่ายรำบรรเลงด้วยเสียงแคน ถือเป็นอีกหนึ่งมนต์ที่สร้างสรรค์ให้ต้นไม้ใบหญ้าดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่า ... ความพลิ้วไหวที่เกิดขึ้นบันดาลให้ผู้ฟังได้มีอารมณ์ร่วมไปกับทำนองเพลง ... นี่คือเสน่ห์แห่งหมอลำบานเย็น รากแก่น ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน - หมอลำ)

พรสวรรค์บันดาลชีวิต

น้อยคนนักที่จะฉายแววพรสวรรค์ในตัวแล้วสามารถต่อยอดสิ่งที่มีให้ไปไกลได้อย่างถูกทาง ซึ่งหนึ่งในความสำเร็จที่ผู้หญิงแกร่งคนนี้ได้ฝ่าฟันมานั้นถือได้ว่า ผู้เป็นมารดาคือผู้ให้และชี้นำแนวทางที่สำคัญ 

“เริ่มมาจากที่แม่มีคุณป้าชื่อหนูเวียง แก้วประเสริฐ ท่านเป็นหมอลำกลอน มีชื่อเสียงโด่งดังที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดใกล้เคียง แล้วพอดีคุณแม่ท่านก็เล็งเห็นว่าแม่เสียงดี มีแก้วเสียงที่ไพเราะแม้กระทั่งเวลาพูด ในสมัยนั้นเขาเรียก ‘เสียงมีเอคโค่ในตัว’ ก็เลยอยากจะฝากฝังแม่กับคุณป้าว่าหากได้มาร้องหมอลำน่าจะดี ท่านก็ให้โอกาสมาลองดู 

“เมื่อก่อนนั้นตัวแม่เอง จะเป็นคนค่อนข้างขี้อาย เรียบร้อยมาก ถ้าไปแสดงกับคนเยอะๆ นี่ท่าจะไม่รอด (หัวเราะ) ก็ไม่อยากไปร้องไปรำ แต่คุณแม่กลับวางแผนให้แม่มีทางเลือกเพียงสองทางคือ ถ้าไม่เรียนไม่ร้องหมอลำ จะให้ไปขายไอติมหลอด เพราะท่านรู้จุดอ่อนว่าแม่ไม่อยากไปขายไอติมหลอดก็ต้องจำใจเลือกร้องหมอลำแน่นอน ซึ่งแผนของผู้ใหญ่เขาก็ประสบความสำเร็จนะ แต่แม่ก็ต้องร้องไห้อยู่เป็นเดือนๆ เลย เพราะใจมันไม่อยากจะเป็นหมอลำ 

บานเย็น รากแก่น
บานเย็น รากแก่น

“ตอนนั้นคือ ไม่ไหวเลยจริงๆ เพราะว่าอายคนที่จะมามองดูเรา เป็นคนที่ขี้อายมากขนาดมีใครมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านนี่แม่จะไม่ไปอยู่ใกล้เลย ยิ่งพูดเสียงดังกันนะ แม่หนีเลย เรามันคนพูดเบา คนละทางกัน (หัวเราะ) แต่แม้ส่วนตัวจะไม่อยากเป็นหมอลำ แต่แม่เป็นคนที่มีความรับผิดชอบรับปากกับคุณแม่แล้วว่าจะเป็นก็ต้องตั้งใจทำให้ได้ ไม่ให้ท่านผิดหวัง มาคิดย้อนกลับไปถึงตอนนั้นว่าถ้าเราไม่ทำก็ได้นะ เรางอแง ไปเรียนแล้วทำเป็นไม่เข้าใจก็ได้ ก็ร้องเพี้ยนร้องอะไรไป แต่กลับไม่ทำ ตอนนั้นก็คือตั้งใจเลย แล้วคุณแม่ก็บังคับมาก เช่น ในวันนี้ต้องท่องให้ได้หน้านี้ หน้านั้นถ้าไม่ได้ก็จะโดนตี ซึ่งท่านก็ตีจริงๆ ไม้เรียวก็จะเหลาแล้วเสียบไว้กับข้างฝาผนังบ้าน ตอนนั้นกลัวคุณแม่เป็นอันดับหนึ่งเลย ถ้าท่านบอกว่าไม่ดี เราทำผิด จะเสียใจมาก คือผิดเหลือเกิน เสียใจเหมือนท่านเป็นพระเจ้าที่มองเราทะลุปรุโปร่ง 

“ตอนนั้นแม่โดนตีทุกวัน เพราะใจเราไม่ได้ชอบ ความเป็นเด็กเราก็ยังมี ถึงแม้เราจะรับผิดชอบ แต่นิสัยของเด็กเวลาหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านปุ๊บหลับ ง่วงเลย เหมือนคนไม่ชอบขับรถก็จะหาวตลอด (หัวเราะ) ก็คือจะหลับ พอผล็อยหลับไปคุณแม่จะย่องเอาน้ำถังใหญ่ๆ เลยมาเทราดตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย พอลืมตาขึ้นมาเห็นคุณแม่ยืนอยู่ ด้วยความกลัวนะ น้ำเข้าหู เข้าปาก เข้าตา ไม่กล้าเช็ด รีบลุกขึ้นมาแล้วก็เอามือป้องหู ร้อง “โอ้หละหนอ ...” ร้องท่อนที่เขาให้ร้อง เพราะถ้าร้องจบก็จะโดนแค่ราดน้ำอย่างเดียวไม่ได้โดนตี (หัวเราะ)” 

ก้าวออกมาจากความกลัว

กว่าจะมี บานเย็น รากแก่น ในวันนี้ เธอต้องใช้เวลาฝึกฝนแม้จะเป็นเพียงขั้นพื้นฐานอยู่นานหลายปี เรียกได้ว่ากว่าที่จะได้มีโอกาสขึ้นเวทีเป็นหมอรำเต็มตัวในครั้งแรก เธอก้าวข้ามผ่านอุปสรรคที่สำคัญมากมาย ไม่เว้นแม้แต่การเอาชนะความกลัวของตัวเอง

“แม่ฝึกอยู่เกือบสามปีถึงได้ออกแสดงจริงแรกๆ ก็ไปแสดงกับคุณป้า มียกครูอะไรเรียบร้อย คุณป้าหรือครูมีงานแสดงที่ไหนก็ไปกับครู เราก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนเวที ครูให้อยู่บนเวทีแล้วก็เขาจะแสดง แม่ก็นั่งดู แล้วคนเขาก็ถามว่าแม่เป็นลูกครูเหรอ ครูจึงบอกว่าเป็นลูกศิษย์ เขาเลยบอกว่า ‘ขอฟังลูกศิษย์หน่อยได้ไหม’ แม่ก็สั่นเลยตอนนั้น จำได้ดีเลยคิดในใจว่า ‘ตายแน่คราวนี้ไม่รอดแน่ ร้องต่อหน้าคนดู’ ซึ่งตลอดสองปีที่ฝึกฝนเนี่ยะ ต้องร้องทุกวันนะ จะมีหมอแคนมาคนหนึ่งและก็ลูกศิษย์ของครูเกือบสี่สิบคนร้องอยู่ใต้ถุนบ้านทุกวัน แต่วันนั้นต้องร้องคนเดียว คนดูก็ของจริงด้วยมากันเยอะมากมืดฟ้ามัวดินเลย 

“ลุกขึ้นยืนครั้งแรกยังสั่นเสียงยังเพี้ยนอยู่ ก็ร้องไหลไปเลย แต่สักพักหนึ่งเท่านั้นแหละ คนเขาคงจะเห็นว่าเรายังเป็นเด็กสาว มีการเอาทิปมาให้ (สมัยนั้นยังมีแบงค์บาท) พอให้มาให้คนละบาทๆ มันก็เยอะสิ ตอนนั้นเป็นเด็กน่ะ พอเห็นเงินเราก็อุ้ยตาย! ได้เงินด้วย! แล้วคนดูเขาก็ชอบ ไม่ได้มีการโห่อะไรไม่เหมือนอย่างที่กลัวไปเองเลย แถมยังมีปรบไม้ปรบมือขอเพลงต่อเรื่อยๆ ไม่ให้ลงเวทีเลย พอถึงตอนนั้นแม่ก็เลิกสั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้แล้ว นั่นคือครั้งแรกที่ร้องบนเวทีแล้วก็ติดใจ ทีนี้ไปงานไหนครูก็ให้ร้องทุกงาน ก็รู้สึกว่าตัวเองเก่งกล้าขึ้น ไม่กลัวแล้ว มั่นใจ คนดูเขาทำให้เรามั่นใจ ให้กำลังใจดีมาก 

“ช่วงที่มีชื่อเสียงนั้นเป็นช่วงอายุ 16 ปี เวลาจะออกงาน-รับงาน มันก็จะมีการเข้าไปที่หมอลำของแต่ละจังหวัด เมื่อก่อนเขาเรียกสำนักงานทุกวันนี้เขาก็เรียกบริษัท แต่อันนี้อยู่ในภาคอีสานจังหวัดอุบลฯ เขาก็เรียกสำนักงานหมอลำ แล้วก็จะมีอัดเทป เทปม้วนใหญ่ๆ มีห้องอัด เราก็อัดแล้วก็ไปออกตามสถานีวิทยุต่างๆ พอได้ออกสื่อเผยแพร่ตรงนี้แหละที่แม่เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้น

บานเย็น รากแก่น
บานเย็น รากแก่น

“เอกลักษณ์ที่ทำให้คนเขาชอบการแสดงของแม่นั้นน่าจะเป็น การร้องและรำที่ไม่เหมือนใคร จะมีความสนุกสนานและสวยงาม เจ้าภาพก็แห่กันมาติดต่อ มีชื่อเสียงมากงานก็เข้ามามากพออายุ 17 ปี นี่ดังเต็มที่เลย จากนั้นก็จะเข้าไปอยู่ในสังกัดมีคู่ผู้ชายเป็นหมอลำเดชา นิตอินทร์ ซึ่งเขาเป็นลูกชายของเจ้าของสำนักงานของคุณแม่จันทร์เพ็ญ นิตอินทร์ ซึ่งเป็นครูหมอลำที่โด่งดังคนนึง หลังจากนั้นมางานก็มีทุกวัน คุณแม่ก็ผันตัวมาเป็นผู้จัดการ ไปไหนก็ไปกันสองคนแม่ลูก ซึ่งการไปแสดงแต่ละที่นั้นโหดมากเลยนะ เมื่อก่อนจะไม่มีรถส่วนตัว ก็จะไปรถประจำทาง หรือ รถสามล้อเอา 

“เคยมีงานหนึ่งเดินทางไปแสดงโหดมาก ออกจากบ้านนั่งรถสามล้อถีบ แล้วไปพักอยู่ที่คิวรถรถประจำทาง สมัยนั้นเป็นรถไม้สองแถวใหญ่ รถบัสก็เป็นรถไม้ ไม่มีแอร์เป็นรถพัดลม รอรถนานพอรถมาก็ต้องรอคนเต็มก่อนรถถึงจะออกอีก แถมถนนหนทางยังไม่สะดวก ลงรถตรงถนนใหญ่แล้วยังต้องข้ามทุ่ง ข้ามอะไรเดินเท้าไกลเป็นหลายสิบกิโล หิ้วกระเป๋าพะรุงพะรังแต่งตัวสวยเดินผ่านหมู่บ้านกันไปเลย เดินกันแดดเปรี้ยงๆ ไม่ได้เตรียมน้ำหรืออาหารกันไปหรอก เพราะหิ้วของก็หนักแล้ว กว่าไปจะไปถึงหมู่บ้านก็แทบไม่ไหว 

“พอไปถึงหมู่บ้านก็เดินลิ่วๆ ไปบ้านหลังแรกเลย เขาก็ทักว่าจะไปร้องไปรำที่ไหน เขาก็ใจดีให้เราพักดื่มน้ำดื่มท่า แล้วก็ยกสำรับกับข้าวมาเลย มีพร้อมทุกอย่าง คนบ้านเราจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ แม้ไม่รู้จักกันแต่เขารู้ว่าเราเดินทางไกล เมื่อได้เวลาพอดีก็เอาข้าวเอาน้ำมารองรับ สำนึกบุญคุณเขามากเลยนะ ยังจำหน้าเขาได้ไม่ลืม เห็นหน้าเขานี้เหมือนแม่คนที่สองเลย เหมือนช่วยชีวิตแม่เพราะตอนนั้นเหนื่อยมาก หลังจากพักรับประทานอาหารเสร็จ พอเขารู้ว่าแม่คือบานเย็น รากแก่น ก็ขอให้ร้องให้ฟัง เชื่อไหมว่าแม่ร้องให้ฟังจากใจเลย พยายามร้องให้เพราะที่สุดในชีวิต เหนื่อยแต่ได้พบเจอน้ำใจคนแบบนี้มันมีความสุขมากนะ จากนั้นก็เดินไปสักประมาณ 5 กม. หิ้วกระเป๋าไม่ไหว ก็เอาของออกซ่อนไว้ตามพุ่มไม้ข้างทาง เอาไปแต่ที่จะใช้ใส่คืนนี้ กะว่าค่อยกลับมาตามเก็บเอาตอนขากลับ เดินไปจนถึงบ้านที่แสดงทุ่มครึ่ง

“กว่า 11 กม. ที่เดินทางมา แม่ได้เรียนรู้อะไรในชีวิตมากมายเลยนะ เดินทางทั้งวันเลยวันนั้น พอไปถึงบ้านงานก็กินข้าวไม่ลงแล้ว เหนื่อยมาก ล้างหน้าอย่างเดียวแล้วขึ้นแสดงเลย คนดูก็มารอดูเต็มเลย ตอนนั้นดังมาก แม่ต้องขึ้นเวทีอยู่บนนั้นไปจนถึงเช้าเลย ได้ลงมานั่งพักแค่ช่วงเที่ยงคืนถึงตีหนึ่งเท่านั้น คนเขาชอบมากอยากให้ร้องต่อ ปกติเราต้องเลิกเมื่อฟ้าเริ่มสว่าง แต่เขาเอาบันไดหนีไม่ให้ลง(หัวเราะ) พอถึง 7 โมง เขาก็เอาบันไดมาให้ แม่ก็นอนพักสักงีบเดียวแล้วก็กลับ ก็เริ่มต้นเดินทางกันใหม่ ชีวิตตอนนั้นก็จะเป็นอยู่อย่างนี้” 

ยุคทองของหมอลำ

ด้วยเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ ประกอบกับรูปร่างหน้าตาที่ถือได้ว่าสร้างความประทับใจให้กับแฟนเพลง ในช่วงเวลานั้นจึงไม่แปลกที่หมอลำสาวคนนี้จะเป็นที่หมายปองของใครหลายคน

“ตอนนั้นหมอลำมีชื่อเสียงกันก็หลายคน แต่แม่จะไม่เหมือนคนอื่นรายได้ช่วงนั้นก็ถือว่ามากทีเดียว ก็ได้ตามความดัง แม่ก็จะได้ห้าร้อยบาท เจ็ดร้อยบาท ถ้าหนึ่งพันนี่เยอะสุดตอนนั้น (สมัยก่อนทอง 1 บาท มีมูลค่า 400บาท) ชีวิตตอนนั้นมีแต่งานกับงาน คำว่าชีวิตวัยรุ่นมันเป็นอย่างไรแม่ไม่เคยได้สัมผัสเลยจนถึงทุกวันนี้ แม่ยังไม่รู้เลยว่าชีวิตวัยสาวมันจะสนุกสนานยังไง เขาไปเที่ยวมีกิ๊กมีแฟนอะไรกันแบบไหน มีใครมาชอบมาควงคู่กันไปดูหนังไปเที่ยว แม่ไม่เคยเลย พอดังมาปุ๊บก็งานอย่างเดียว แม้จะมีหนุ่มๆ มาจีบที่บ้าน แม่ก็จะแค่มาไหว้มาทักทายเป็นมารยาทแล้วก็เข้าไปนอนต่อเพราะมันเหนื่อย บางครั้งความง่วงก็ลืมปิดประตู โดยเซเข้าไปในห้อง นอนตกเตียงให้เขาเห็นก็มี (หัวเราะ) 

“ดังมาก เงินมากจริงแต่ก็เหนื่อยมาก ชื่อเสียงของ ‘บานเย็น รากแก่น’ คนรู้จักหมด ใครเขาก็อยากจะมาเจอ อยากมาคุยด้วย บางทีก็มาเป็นกลุ่มกันหลายๆ กลุ่ม ก็ได้คุณทวด คุณพ่อ คุณแม่มานั่งคุยแทนที่บ้านแม่นั้นจะไม่หยิ่ง ให้เกียรติแขกทุกคน สภาพไหนก็ช่างเราให้เกียรติมีน้ำท่าให้กิน ไม่เคยไล่กลับ แต่ตัวแม่เองไม่ได้นั่งคุยกับใครส่วนมากจะหลับ บางกลุ่มดักตีกันอยู่ข้างล่างบ้านก็มีนะ แต่แม่ก็นอนอุตุอยู่บนบ้านไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) 

“แต่เวลาไปแสดงมีคนมาทำรุ่มร่ามบ้างเหมือนกันนะ แต่ไม่มากอะไรหรอก คนสมัยก่อนเนี่ย เขาจะให้เกียรติศิลปิน เมื่อก่อนผู้ชายเข้ามาคล้องมาลัยแล้วมือมาโดนตัวนอกจากแม่จะตกใจแล้ว เขาเองก็ตกใจเหมือนกันนะ แต่ก็ไม่อันตรายเหมือนสมัยนี้ ขนาดเขาจะเอาทิปมาให้มือเขายังมือสั่นเลย ซึ่งแม่เองก็จะถือเนื้อถือตัวมาก ถ้าเป็นผู้หญิงจับมือได้ กอดได้ แต่เป็นผู้ชายนี่จบเลย ทะเลาะกันก็มี

“ต่อมาแม่ลำกลอนได้อยู่ 2 ปี ก็ย้ายออกจากสำนักงานเก่า เพราะงานมันหนักจนเป็นโรคกระเพาะ หมอห้ามทำงานเลย 2 ปี รักษาตัวอย่างเดียว ทีนี้ตัวแม่เองเป็นเสาหลักของครอบครัว ก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี แล้วจะทำอะไรกิน พอดีหมอลำคณะรังสิมันต์ เขาเป็นหมอลำเรื่อง มีร้องหลายคน มาติดต่อก็เลยไปเป็นนางเอกให้เขา งานก็จะไม่ค่อยหนัก เขาเป็นคณะที่ถือว่าดังที่สุดในภาคอีสานตอนนั้น จากนั้นก็ไปที่สำนักงานสยามธุรกิจบันเทิงที่มหาสารคาม มีคุณเทพบุตรเป็นเจ้าของ ตอนนั้นเขานั่งอยู่หน้าบ้านแล้วเห็นแม่เดินเข้ามา เขาพูดเลยว่า ‘คนนี้แหละคือคนที่เขาจะแต่งงานด้วย’ เขาเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างหน้าตาดี มีเชื้อฝรั่งเศส-เวียดนาม ผู้หญิงชอบเขาเยอะนะ 

บานเย็น รากแก่น
บานเย็น รากแก่น

“จากนั้นเขาก็เรียกแม่เข้ามาพักที่สำนักงานนี้กับน้องสาว (แม่บานชื่น) เขาก็ดีนะจัดห้องให้นางเอกโดยเฉพาะ ทั้งเราและเขาก็ได้ทำความรู้จัก และเห็นการวางตัวของกันและกัน ทำความรู้จักกันอยู่ 8 ปี แล้วก็ดูใจกันอีก 8 ปีไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวกันเลย ซึ่งแม่ก็ชอบผู้ชายแบบนี้ด้วย ชอบคนที่ให้เกียรติ ตอนนั้นใครจะมาทำอะไรแม่โกรธเลยนะ แค่โดนตัวนิดเดียวนี่ไม่ยอมเลย แต่คุณเทพบุตรนี่ไม่ เขาจะชวนเราไปดูหนัง เขาก็เรียกหมอลำในคณะที่อายุมากกว่าเรา คนมองเห็นเขาจะดูถูกเราไม่ได้ เราไปกับผู้ใหญ่ เขาจะบอกเองให้ชวนคนนี้ๆ ในคณะจะมีคนเล่นเป็นแม่ที่เราเรียกป้า เราก็จะพาไปด้วย เขาคิดให้เกียรติทุกอย่างไม่พาไปที่ลับหูลับตาคน แต่ไปโรงหนังเขาจะให้เอาผู้ใหญ่ไปด้วยพอตอนนี้มานั่งคิดดูก็ขำตัวเองว่า ‘เรามันเว่อร์ไป’ 

“ก็ประทับใจมากเลยนะที่เขาให้เกียรติผู้หญิง แม่ก็คิดว่าผู้ชายคนนี้เขาน่าจะรักเราจริง จึงได้ตกลงปลงใจแต่งงานกัน เพราะแม่จะจำคำสอนของคุณพ่อได้ขึ้นใจเลยว่า ‘คนที่เขามาไม่ให้เกียรติถึงเนื้อถึงตัว คนลักษณะนี้จะไม่รักเราจริง ไม่จริงใจกับเรา’ และคำของคุณแม่ก็มักสอนว่า “จนแต่จริงใจดีกว่ารวยแต่ไม่จริงใจ” ถือว่าตลอดชีวิตที่เชื่อฟังตามคำสอนของคุณพ่อคุณแม่นี่ไม่ผิดเลยจริงๆ

“ตอนแต่งงานคุณเทพบุตรก็บอกว่าจะให้แม่ออกจากวงการ เขาจะหาเลี้ยงเอง ให้แม่ดูแลลูกๆ อย่างเดียว แม่ก็ทำตามนะ ประกาศเลิกเล่นเลย หนังสือพิมพ์ลงข่าวดังมากเลยตอนนั้น ‘บานเย็นลาวงการไปแต่งงาน’ แฟนเพลงก็เสียใจ เสียดาย คนแก่คนเฒ่าก็เลยบอกว่าไม่แสดงแล้วให้อัดแผ่นหน่อยได้ไหม ออกทีวีให้หายคิดถึงก็ได้ แฟนเพลงร้องไห้ก็เยอะ พูดไปก็ร้องไห้ไป อย่างพี่ศกุนตลา (ภรรยาของคุณเพลิน พรหมแดน) นี่ร้องไห้เลย แกบอกว่า ‘จะเลิกได้ยังไงกัน’ คือกำลังดังมากๆ ตอนนั้นดังทั่ประเทศไทย ไปเล่นที่ไหนคนก็ล้นหลาม”

รางวัลแห่งชีวิต

ครั้งหนึ่งในชีวิตหลายคนคงเคยคาดหวังกับความสำเร็จในชีวิตเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับรางวัลอันทรงเกียรติที่บานเย็น รากแก่นได้รับในช่วงชีวิตนี้อย่าง ‘ศิลปินแห่งชาติ’ กลับยิ่งตอกย้ำให้แรงแห่งความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นนั้นได้ส่งต่อเป็นพลังที่สร้างสรรค์คืนกลับสู่สังคม

บานเย็น รากแก่น
บานเย็น รากแก่น

“สำหรับรางวัลชีวิตการทำงานของแม่อย่าง ‘สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน - หมอลำ) เชื่อไหมแม่เคยคิดอยากได้มากๆ เลยนะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้ เพราะว่าเป็นรางวัลที่สูงเหลือเกิน ซึ่งในประเทศนี้มีคนเก่งๆ เยอะมากคิดว่าคงไม่ถึงเราหรอก แต่วันหนึ่งพอเขาประกาศว่าแม่ได้รับรางวัล แม่ดีใจมากๆ ลูกๆ อย่างแคนดี้เขาร้องไห้เลยนะเขาเองก็ปลื้มและดีใจมาก แล้วก็มีหลายคนที่โทรมายินดีกับแม่ หนึ่งในนั้นก็มีครูเทียม ชิงช้าสวรรค์ เขาก็โทรมา พูดไปร้องไห้ไป กับครูเทียมนี่ก็รักนับถือกันเหมือนพี่น้อง รักมาก ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร แต่ก็ว่าลึกๆ ในหัวใจยังมีเขา คิดถึงและรักเสมอ เมื่อก่อนนี้เดินสายด้วยกันตลอด เรียกได้ว่าครูเทียมเป็นคนที่จริงใจกับแม่มาก เขาเป็นคนดีจริงๆ

“กลับมาที่เรื่องรางวัล พอได้รับก็คิดแล้วว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อให้มีคุณประโยชน์สมกับรางวัลที่ได้รับมา ก็คุยกับลูกสาว (แคนดี้) จึงได้ริเริ่มการทำโปรเจ็คต์ทั้งการเผยแพร่โดยสารสอนและแข่งขันเพื่อกระตุ้นให้เกิดความสนใจในศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านของเรากันมากขึ้น จากที่แม่ได้สัมผัสกับเด็กๆ ก็เห็นเลยว่าพวกเขาให้ความสนใจมาก มีอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป พวกเขาน่ารักให้ความสนใจและเห็นได้ชัดเลยว่าชอบมากแล้วร้องดีด้วย แต่เด็กเขายังเข้าหมอลำไม่ถูก ยังไม่เข้ากับเพลง แม่ก็ไปสอนเทคนิคการร้องและการรำให้เขา

“ทีนี้พอมีโอกาสได้ทำงานเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านเราให้กับเด็กๆ แล้ว แม่ก็อยากจะขอร้องให้ลูกหลานอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยของเราอย่างจริงจัง วัยรุ่นหลายคนหรือส่วนมากอาจจะคิดว่าหมอลำเป็นอะไรที่เชย แล้วก็ไม่ทันสมัย ถ้าจะร้องก็อายเพื่อน แม่อยากจะสอนว่ามันเป็นความคิดที่ผิด เพราะว่าหมอลำเดี๋ยวนี้ดังไปทั่วโลก อย่างคุณแม่ไปแสดงต่างประเทศ ไปเกือบทั่วโลกแล้ว ต่างประเทศกลับชอบและชื่นชม เขาหลงใหลมาก เขาอ้าปากค้างฟังแม่ร้อง เขาบอกว่าแม่หายใจตอนไหนเนี่ย (หัวเราะ) มันมีเอกลักษณ์ มันมีความภาคภูมิใจในตัวของเราเอง” 

 

แม่แบบเพลงหมอลำ