วินิจ เลิศรัตนชัย

วินิจ เลิศรัตนชัย

“ผมฟังวิทยุมาตลอดจนความคิดอยากจะเป็นนักจัดรายการวิทยุมันฝังอยู่ในหัว ผมลงทุนซื้อเครื่องเสียงไว้ที่บ้าน อัดเทปเองแล้วเอาไปให้เพื่อนฟังที่โรงเรียนช่วงที่อยู่ปวส.” คำบอกเล่าเคล้ารอยยิ้มที่เผยออกมาคือส่วนหนึ่งของเรื่องราว ในชีวิต วินิจ เลิศรัตนชัย อดีตนักจัดรายการวิทยุชื่อดังและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเฟรชแอร์เฟสติวัล จำกัด หรือที่ใครหลายคนรู้จักในนาม ‘เฮียเว้ง’

เสียงเพลงนำทาง

จุดเริ่มต้นที่มีเครื่องทรานซิสเตอร์เป็นแรงบันดาลใจสำคัญ ทำให้วันวานของเด็กชายวินิจ เริ่มคิดฝันอยากจะเป็นนักจัดรายการวิทยุ ผู้ที่คอยมอบความสุขผ่านเสียงเพลง แม้ว่าหนทางจะไม่ง่ายแต่เขาก็สามารถผ่านมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ

“ชื่อ ‘เว้ง’ นั้นก็มาจากสมัยก่อนในวงการนักเลงมีฉายาต่างๆ เกิดขึ้น เช่น ตี๋ ปลาหมึก ฯลฯ ส่วนเพื่อนๆ ก็จะเรียกผมว่า ‘เว้ง บางนา’ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแปลว่าอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าผมชอบบู๊ เป็นชื่อที่เรียกกันเล่นๆ ในวงเหล้า แต่ชื่อของผมจริงๆ คือ ‘โอสือ’ แปลว่า ‘เสือดำ’ เพราะเกิดปีเสือ

“ผมเริ่มทำงานจริงๆ ก็ตอนจบปวส. แผนกการโฆษณา จากโรงเรียนพานิชยาการพระนคร โดยเริ่มเป็นโฆษกอ่านข่าวที่สถานีวิทยุ พล.ปตอ. AM 603 กิโลเฮิรตซ์ จากนั้นก็เริ่มเข้ามาในแวดวงการเป็นดีเจและเริ่มจัดรายการวิทยุที่ Night Spot และ Media plus จนกระทั่งหันมาลงทุนกับเพื่อนทำธุรกิจผลิตรายการป้อนสถานีวิทยุต่างๆ เอง โดยใช้ชื่อบริษัทว่า Pirate Radio

“เอาเข้าจริงตอนที่จบม.ศ.3 ตัวผมเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียนอะไร รู้อยู่อย่างเดียวว่าอยากเป็นนักจัดรายการวิทยุ แล้วก็ตามเพื่อนผู้หญิงในห้องไปสอบเพราะอยากอยู่ใกล้เขา ซึ่งเขาก็สอบไม่ติด แต่ผมดันได้เข้าไปเรียนเพราะโควต้านักกีฬาปิงปอง ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่หยุดนิ่ง ชอบทำอะไรก็ไปขอฝึกงานตอนปิดเทอม เช่น อยากรู้เรื่องงานพิมพ์ก็ไปขอฝึกงานที่โรงพิมพ์ดาราไทย พอจะสนใจอยากขายโฆษณาก็อาสาไปช่วยอาจารย์ขายสปอนเซอร์เอาเงินมาช่วยงานโรงเรียน ผมก็ใช้การเรียนรู้ในวิถีของเราเองแบบนี้

วินิจ เลิศรัตนชัย
วินิจ เลิศรัตนชัย

“สิ่งต่างๆ ที่ผมเจอมาอย่าเรียกว่าเป็นแรงผลักดันหรือความพยายามอะไร มันเป็นธรรมชาติมากกว่า ธรรมชาติของเราคือชอบคิดชอบทำงาน ไม่ชอบเอาชนะใคร ต่างคนต่างเดิน ไม่ใช่ว่าคนนั้นเด่นแล้วเราจะต้องเด่นกว่า หรือต้องทำลายคนอื่นเพื่อให้เราได้ดีแทนเขา ต้องมีเส้นทางของตัวเอง มีคาร์แร็กเตอร์ ยิ่งสมัยนั้นคนจบเมืองนอกมีน้อย พอเห็นพูดภาษาอังกฤษเป็นไฟมันทำให้เรากระตือรือร้น คิดว่าสักวันเราต้องพูดให้ได้ แต่ไม่ถึงขั้นต่อสู้จนอึดอัดใจ ไม่ได้ต้องฝ่าฟันต่อสู้อะไรขนาดนั้น

“วันนี้ถ้าใครจะทำอาชีพนักจัดรายการวิทยุ ต้องทำงานหนักกว่าที่ผมเคยทำหลายเท่า เพราะข้อมูลบางอย่างผู้ฟังอาจเข้าถึงได้ก่อนเราด้วยซ้ำ แล้วการที่จะบอกให้คนฟังเชื่อในสิ่งที่เราพูดมันไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ควรทำคือการโยนความคิดกลับไปให้เขาคิดเอง
ว่ามันเป็นอย่างที่เราพูดจริงๆ หรือเปล่า การทำแบบนี้นอกจากจะได้แชร์ความคิดซึ่งกันและกัน ยังทำให้ได้มีการออกกำลังกายทางมันสมองร่วมกันอีกด้วย”

จุดเปลี่ยนวงการเพลง

ในยุคที่วงการเพลงถึงจุดตกต่ำ สิ่งที่ทำให้อดีตนักจัดรายการวิทยุชื่อดังคนนี้ยังคงรักษารากเหง้าแห่งความดีไว้ได้ก็คือคำว่า ‘ซื่อสัตย์’ คำสอนจากผู้เป็นพ่อซึ่งยังคงจดจำได้เสมอมา และถ้ามองย้อนกลับไปคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขากลายเป็นฮีโร่ของใครหลายคนในยุคนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

“สมัยก่อนนักจัดรายการวิทยุมีหน้าที่แค่เปิดเพลงให้คนฟัง แต่ต้องยอมรับว่าตอนนั้นผมเป็นดีเจที่มีอิทธิพลมากจนสามารถผลักดันให้นักร้องทำอัลบั้มเป็นธุรกิจออกมาได้ เช่น อัลบั้มของเบิร์ดกะฮาร์ท ชุดบ้าหอบฟาง เพราะคนฟังเชื่อว่าสิ่งที่เราพูดใช่ก็คือใช่ ดีก็คือดี แล้วผมก็จะวิจารณ์ตรงๆ เพลงไหนดีหรือไม่ดีก็ต้องบอก มีจรรยาบรรณ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องที่คิดว่าเหมาะสมกับผู้ฟัง อย่างเพลงไทยบางเพลงในยุคหนึ่งจะชอบไปก็อปปี้มาจากเพลงจีนบ้าง ฝรั่งบ้าง แล้วมาบอกว่าตัวเองเป็นคนเขียนเอง ถือว่าเป็นยุคทองของการก็อปปี้ ผมรับไม่ได้เลยออกมาบอกว่าให้ซื่อสัตย์กันหน่อย ถ้าใช้ทำนองต่างประเทศแต่งก็บอกไปตามจริง

“ตอนนั้นผมต่อสู้เรื่องนี้มาเยอะจนโดนต่อต้านจากอุตสาหกรรมแผ่นเสียงบางแห่งว่า ‘การก็อปปี้มันต้องเหมือนกันทั้ง 7 ตัวโน้ต แต่นี่เหมือนแค่ 6 ตัวโน้ต’ แต่ผมว่ามันก็เหมือนกับการที่คุณหยิบมีดขึ้นมาแล้วกำลังจะแทงคนตาย แค่หยิบมีดจะแทงคุณติดคุกข้อหาพยายามฆ่าแล้ว นั่นแสดงว่าเจตนาคุณไม่ดี ถ้าเป็นที่ต่างประเทศเหมือนกัน 3 ตัวโน้ตก็เท่ากับเจตนาลอกเลียนแบบ จับได้ก็ถือว่าผิด ขโมยมากขโมยน้อยก็ขโมยเหมือนกัน

วินิจ เลิศรัตนชัย
วินิจ เลิศรัตนชัย

“พอผมจับได้เองก็เสียใจ เพราะเคยชื่นชม เคยบอกว่าเพลงนี้ดีมาก ทำนองเรียบเรียงได้สุดยอด เพลงนี้ต้องฟังให้ได้ แต่ผ่านมาสักพักถึงรู้ว่าเพลงฝรั่งต้นแบบเป็นอย่างนี้ผมก็เลยเอาเพลงฝรั่งเพลงนั้นกับเพลงไทยเพลงนี้มาเปิดคู่กัน ให้ผู้ฟังฟังเลยว่าคิดอย่างไร ผมเล่นขนาดนี้ก็ถูกผู้ใหญ่ของบริษัทเทปบางค่ายโวยมาทางผู้ใหญ่ของผม สั่งให้หยุดเกม Black and White นี้ ซึ่งเป็นการเปิดเพลงไทยให้ฟังก่อนแล้วก็ตามด้วยเพลงฝรั่ง หลังจากนั้นก็มิกซ์ให้ฟังพร้อมๆ กันผมไม่ได้สนุกกับสิ่งที่ผมทำนะ เพียงแค่รู้สึกว่าผมโดนดูถูกวิชาชีพ เพราะผมมีหน้าที่ต้องบอกข้อมูลเพลงให้แก่ผู้ฟัง ถ้าบอกผิดผมก็แย่ ‘ถ้าเราถูกต้มมันก็เท่ากับว่าเราไปต้มคนอื่นต่ออีกที’

“นอกจากนี้ยังมีเรื่องคิวละพัน วันละเพลง คือบางบริษัทเทปออกแผ่นเสียงแล้วไปจ้างดีเจเปิดวันละเพลง เมื่อครบเดือนก็รับเงินไปหนึ่งพันบาท แต่ก็แน่นอนว่าไม่มีทางจ้างผมได้อยู่แล้ว ตอนที่ผมอ่านข่าวอยู่ที่สถานีวิทยุ พล.ปตอ. AM 603 กิโลเฮิร์ต ก็มีดีเจรุ่นพี่คนหนึ่งมาจัดรายการพร้อมถือเพลงมา 10 แผ่น เปิดอยู่นั่นแหละมิหนำซ้ำตอนกลางคืนคนคอนโทรลสถานีบางคนดันไปเร่ง  สปีดเทปให้วิ่งเร็วกว่าปกติ เพื่อให้เหลือเวลาแล้วรับคิวผีของบริษัทเทปมาเปิดแผ่น พอนานวันเข้ามันก็เริ่มรุกคืบหน้าที่ผม เขาเร่งให้ผมอ่านข่าวเร็วๆ จะได้เปิดเพลง ผมก็ยอมไม่ได้ ครั้งแรกก็เลยต่อยเข้าให้ ครั้งที่สองผมอ่านข่าวยังไม่จบเขาก็ปิดไมค์โดยที่ผมไม่รู้ ผมจึงเปิดประตูออกมากระโดดถีบ พอเจ้าของสถานีทราบเรื่องก็เรียกไปคุย พอเขาถามว่าทำไมทำอย่างนี้ ผมก็ไม่ได้บอกความจริงอะไรนะ บอกแค่ว่าหมั่นไส้ แล้วผมก็ลาออกเลย

“ช่วงปี พ.ศ. 2538-2539 ยุคฟองสบู่แตก ก็มีเรื่องของวิทยุชุมนุมเสรีที่มันเกิดขึ้นมาแล้วโดนแทรกแซงโดยไม่มีกติกามาควบคุม มีบางคนมองว่าใช้สื่อในทางที่ผิดเช่น ขายขนมขายยาขับฤดู หนักๆ เข้าก็เป็นเรื่องการเมืองแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย ซึ่งผมเองฟังแล้วก็ไม่สบายใจตอนนั้นยังบอกกับตัวเองว่าถ้าปล่อยให้สื่อเข้ามาทำแบบนี้โดยไม่มีการควบคุมวันหนึ่งมันจะอันตรายมาก เพราะสื่อจะกลายเป็น Propaganda ที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อฆ่ากัน แล้วทุกวันนี้มันเกิดแบบนั้นขึ้นจริงๆ หรือไม่ลองคิดดูก็แล้วกัน” 

ชีวิตเกินคาดฝัน

สิ่งสำคัญของการมีชีวิตอยู่คือการวาดฝัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการลงมือทำในแบบฉบับของตนเอง เพื่อให้ทุกอย่างก่อกำเนิดเป็นรูปธรรม แม้ว่าบางครั้งอาจจะทำไม่สำเร็จ แต่ทุกครั้งที่ได้ฝันมันคือความสนุก นี่คงเป็นแนวคิดอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าวันนี้ชีวิต ‘เกินความคาดฝัน’ แล้ว 

“ถ้าถามผมว่าไม่อยากรวยหรือ ผมไม่ได้มีความอยากแต่ผมมีความฝัน ผมฝันและคิดว่าต้องทำตามขั้นตอนในวิถีของเราโดยที่ไม่ต้องไปแข่งกับคนอื่นหรือทำให้ใครเดือดร้อน ผมฝันว่าอยากมีบ้านริมแม่น้ำ วันนี้ผมก็มีแล้ว ผมฝันว่าอยากจะทำงานหนึ่งชิ้นถวายพระเจ้าแผ่นดิน แล้วผมก็ได้ทำงานแสดงแสงสีเสียง ‘พ่อ ... The Greatest of the Kings The Greetings of the Land’ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ถวายงานพระเจ้าแผ่นดิน รวมถึงงานอีก 2-3 ชิ้นต่อจากนั้น 

“ผมคิดว่าอยากจะทำอะไรแตกต่างจากสิ่งที่เคยมีแล้ว อะไรที่ยังไม่มีก็จะทำเรื่องเหล่านั้นก่อน นี่คือลำดับวิธีการของผม ผมฝันไว้ 10 อย่างแต่วันนี้ได้มาถึง 20 อย่าง ไม่ได้จะโอ้อวดตัวเองแต่ผมบอกกับลูกเสมอว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการดำรงชีวิตคือการวาดฝันของตัวเอง

วินิจ เลิศรัตนชัย
วินิจ เลิศรัตนชัย

“ส่วนการที่ได้ภรรยา (ส้มโอ เพ็ญพิสุทธิ์ เลิศรัตนชัย) เป็นถึงนางเอก อันนี้จริงๆ เกินความคาดฝันครับ เพราะผมไม่รู้จักเขามาก่อนเลย แล้วก็เคยด่าเขาออกอากาศทางวิทยุด้วย ตอนที่เขาร้องเพลงตัดใจไม่ลง ในหนังเรื่องซึมน้อยหน่อยฯ ผมก็บอกว่าร้องเพลงอย่างนี้ไปทำมาหากินอย่างอื่นดีกว่า เสียงเหมือนแมวหิวข้าว (หัวเราะ) แล้วก็ดันไปก็อปปี้ทำนองเพลงจีนมาอีก ซึ่งตอนหลังเขาก็จะมาย้อนผมเรื่องนี้เสมอว่าเคยด่าเขาออกอากาศ (ยิ้ม)

“ตอนที่ผมทำธุรกิจแล้วมีหนี้กว่า 20 ล้าน ผมบอกส้มโอว่าต้องขายบ้าน ลูกอีก 2 คนที่ยังเล็กอยู่ก็ต้องออกจากโรงเรียน รถที่มีอยู่ทุกคันก็ต้องขาย เพื่อเอาเงินมาใช้ต้องใช้หนี้ก่อน แล้วค่อยเริ่มต้นกันใหม่ เขากลับบอกผมว่า มีสิบก็อยู่แบบสิบ มีร้อยก็อยู่แบบร้อย แค่คำพูดไม่กี่คำของส้มโอแต่มันเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับเรา ผมผ่านตรงนั้นมาได้ก็เพราะครอบครัว จากนั้นก็ตั้งใจทำงานมาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็ใช้หนี้หมดภายใน 2 ปี

“ที่ผมไม่ได้ให้ภรรยามาช่วยทำงานเพราะว่าต่างคนต่างมีมุมของตัวเอง ผมว่ามันเปลืองเวลา พอมีลูกทุกอย่างก็เปลี่ยนไป จำได้ว่างานสุดท้ายที่ส้มโอรับคืองานละครเฉลิมพระเกียรติ แล้วต้องไปต่างจังหวัด 2-3 วัน ชีวิตผมเละเลย เพราะต้องตื่นตี 4 ตี 5 ไปส่งลูก ทำงานยังไม่ทันไรบ่ายสองก็ต้องขับรถไปรับลูกมาส่งที่บ้านแล้วกลับมาทำงานใหม่ กว่าจะกลับบ้านอีกทีก็ตีสอง ขณะที่ตีสี่ต้องตื่นไปส่งลูกอีกแล้ว ก็เลยให้ส้มโอออกจากวงการแล้วคอยดูแลลูกอย่างเดียวดีกว่า ส่วนเรื่องงานผมลุยเอง ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ซึ่งเราทั้งสองคนก็เห็นตรงกัน”

หลงใหลในแผ่นเสียง

ความหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของแผ่นเสียงซึ่งสะท้อนออกมาผ่านสีหน้าและแววตาอันเปี่ยมไปด้วยความสุขเป็นเหมือนตะเกียงช่วยจุดประกายความคิดจนเกิดเป็นธุรกิจที่ชุบชีวิตผลงานเพลงเก่าๆ ให้กลับมามีคุณค่าสู่อ้อมกอดของคอเพลงอีกครั้ง

“ร้านขายแผ่นเสียง Vlovevinly นี้เกิดจากความชอบส่วนตัว บางวันผมฟังแผ่นเสียงนาน 7-8 ชั่วโมง โฮมเธียเตอร์แบบครบชุดที่มีอยู่ผมก็ยกให้คนอื่นไปหมดเพียงเพราะว่าอยากจะฟังแต่แผ่นเสียงอย่างเดียว อย่างเพลง Hotel California ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นพันครั้งก็ยังไม่เบื่อ แต่ก็ตลกดีนะผมอยู่กับอาชีพนี้มานาน ผมกลับเพิ่งรู้ว่าแผ่นเสียงคุณภาพดีกว่าซีดีเมื่อตอน 2 ปี ที่แล้ว เพราะสงสัยว่าทำไมทั้งแผ่นเสียงและเครื่องเล่นถึงมีราคาแพง จึงลองเอามาฟังเทียบกันดู ความคิดเลยเปลี่ยน ระหว่างนั้นก็เลยคิดว่าทำแผ่นเสียงเองเลยดีกว่า เพราะเพลงที่เราอยากฟังไม่มีขาย จึงติดต่อแล้วก็ได้ลิขสิทธิ์มาทำ

“ส่วนเรื่องเงิน ผมจะจ่ายค่า Royalty ให้เขาทันทีเลยในอัตราที่เราตกลงกัน ไม่ต้องรอให้แผ่นออกแล้วค่อยมาเก็บทีละแผ่น ผมขายหมดหรือไม่หมดก็เรื่องของผม ใหม่ๆ ก็มีการันตีหนึ่งพันแผ่น แต่เดี๋ยวนี้ตลาดเหลือ 500 แผ่น ขณะที่ผมก็ยังคงจ่ายค่าRoyalty ที่หนึ่งพันแผ่นอยู่นะ เพราะรับปากไปแล้วไม่อยากจะเสียคน ซึ่งทุกคนก็แฮปปี้ ผมตั้งใจทำทุกอย่างทั้งงาน Artwork งานดีไซน์ ทำให้แผ่นเสียงมันมีคุณค่ามากขึ้น 

วินิจ เลิศรัตนชัย
วินิจ เลิศรัตนชัย

“ผมชอบและรักแผ่นเสียง เพราะว่าการซื้อแผ่นเสียงแผ่นนึงก็เหมือนลดการละเมิดลิขสิทธิ์ไปครั้งนึง แถมเรายังได้ลูบคลำ ได้ Information ในแผ่น มันมีความสุขมากกว่าที่เป็นซีดี Music appreciation มันมีเยอะกว่า จนตอนหลังผมแทบไม่ได้ซื้อซีดีเลย ล่าสุดผมเพิ่งสั่งซื้อแผ่นเสียง Box set ‘Random Access Memories’ ของ Daft Punk ที่เพิ่งออกวางจำหน่าย 2,500 ชุด บอกได้เลยว่าสุดยอดจริงๆ เขาตั้งใจทำมาก นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการตั้งใจทำงาน

“เราเองก็ทำ Box set ที่เป็นลิมิเต็ด เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากพวกนี้เหมือนกัน ผมว่างานศิลปะทางดนตรีพวกนี้ยังสามารถอยู่ได้อีก 100 ปี มาสเตอร์พีซดีๆ มันก็จะถูกบ่มเพาะและถนอมไว้อย่างมีคุณค่าต่อไป ที่สำคัญศิลปินทุกคนเขามีความสุขที่ได้เห็นงานของเขา กลับมาอีกครั้ง ซึ่งคุณภาพดีมากกว่าแผ่นออริจินอลของเขาที่แจกโปรโมทครั้งแรกตามสถานีวิทยุเสียอีก บางชุดเราก็ต้องหา Sound engineer ที่จะสามารถรีมาสเตอร์ได้เหมาะสมกับซาวด์คาร์แร็กเตอร์ของแต่ละอัลบั้มให้ด้วย

“เวลาผมทำอะไรผมจะใส่เต็มที่ ไม่ค่อยมองถึงเรื่องต้นทุนเท่าไหร่ ทำงานออกมาให้ดีก่อนแล้วค่อยมาดูว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป สมมติมีทุนอยู่ 5 บาท ผมก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดก่อน งบเกินก็ช่างแต่ขอให้มันออกมาดี เราดำรงชีวิตอยู่ก็เพื่อทำให้ชีวิตมีความสุขตามที่เราฝันอยากจะทำ เวลาผ่านไปคนจะนึกถึงเราเสมอ อย่างการจัดรายการวิทยุก็ต้องทำให้ดี เคารพในหน้าที่ ซึ่งทุกวันนี้คนก็ยังจดจำผมได้ดีว่าเป็นคนตรงไปตรงมาแค่ไหนแม้เวลาจะผ่านมาแล้วกี่ปีก็ตาม”

ความรัก ความฝัน และ เสียงเพลง