ตำนาน
ในชีวิตนี้ผมจำได้ว่า หนังสือที่ผมหยิบมาอ่านซ้ำๆ นั้นมีอยู่ไม่มาก หากให้นั่งนึกในการจัดอันดับมาสักสามอันดับก็สามารถนึกออกได้ทันที เรื่องแรกคือ “นายขนมต้ม” ฉบับเขียนโดย “คมทวน คันธนู” ซึ่งเล่าเรื่องราวได้สนุกสนาน มีตัวละครที่มีเสน่ห์หลายตัวให้ติดตามอ่าน โดยต่อมาผลงานเขียนฉบับนี้ได้ถูกนำมาสร้างเป็นละครทางช่อง 7 (สมัยคุณสมรักษ์ คำสิงห์ ได้เหรียญทองโอลิมปิก) หนังสือเรื่องที่สองคือ สามก๊ก ทั้งฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และ ฉบับวณิพก (ยาขอบ) เรื่องนี้อ่านเป็นหลายสิบรอบ ...
เรื่องสุดท้ายที่เป็นไฮไลท์และเป็นตำนานของเราในวันนี้ก็คือ “เพชรพระอุมา” สุดยอดนวนิยายแนวผจญภัยที่มีความยาวมากที่สุดในประเทศไทย และมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ ผมได้ทำความรู้จักกับนวนิยายเรื่อง “เพชรพระอุมา” นี้ก็เมื่อตัวแตกเป็นหนุ่มแล้ว เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งเป็นคนแนะนำและหยิบยื่นให้ ในความตอนแรกนั้นนึกว่าเป็นหนังสือเล่มเดียวจบ แต่ที่ไหนได้กลับเป็นหนังสือที่มีความยาวต่อเนื่องถึง 48 เล่ม แบ่งเป็นภาคแรก และภาคสมบูรณ์ ภาคละ 24 เล่มเลยทีเดียว
ตำนาน
เพชรพระอุมา นี้เป็นผลงานการประพันธ์ของ คุณ ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ หรือในนามปากกาที่เรารู้จักกันก็คือ “พนมเทียน” ซึ่งพนมเทียนนั้น ได้นำเอาเค้าโครงเรื่องมากจากเรื่อง King Solomon’s Mines หรือ สมบัติพระศุลี นวนิยายของเซอร์เฮนรี่ ไรเดอร์ แฮกการ์ด (H. Rider Haggard) ที่ผจญภัยในความลี้ลับของป่าดงดิบภายในทวีปแอฟริกา แต่ขอย้ำนะครับว่าท่านนำมาแต่เพียงแค่เค้าโครงเรื่องเท่านั้น เพราะสิ่งที่เป็นความสนุกไม่ได้อยู่ที่เค้าโครงเรื่องเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของตัวละครในแต่ละตัวที่มีความโดดเด่น การผจญภัยรวมถึงความรู้ในการเดินทางในป่าทั้งสมัยใหม่และตามความเชื่อของวิถีชาวป่าในสมัยเก่า สัตว์ประหลาด คาถาอาคม รวมไปถึงการสอดแทรกประสบการณ์ในชีวิตที่เจ้าตัวได้ประสบพบเห็น รวมไปถึงความรู้เรื่องของอาวุธต่างๆ และบทรักของคู่รักแต่ละคู่ในเนื้อเรื่องที่บรรยายพรรณนาได้ถึงพริกถึงขิง ทั้งหมดถูกนำมาเรียบเรียงร้อยเอาไว้ในเรื่องเพชรพระอุมาอย่างเสร็จสรรพครับ
แต่สิ่งที่ทำให้ “เพชรพระอุมา” คงความเป็นสุดยอดตำนาน นวนิยายของเมืองไทยนั้นไม่ใช่ในเรื่องของความสนุกของเนื้อเรื่องแต่เพียงอย่างเดียวครับ แต่สิ่งที่บอกถึงความเป็นสุดยอดนั่นก็คือตัวการันตีความสนุกของเรื่อง ซึ่งสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกเหนือจากเสียงตอบรับอย่างต่อเนื่องจากแฟนนักอ่าน และจำนวนครั้งของการตีพิมพ์ที่นำออกมาจำหน่ายนั่นเอง
ตำนาน
“พนมเทียน” ผู้เขียนนั้นใช้ระยะเวลาในการประพันธ์มายาวนานกว่า 25 ปี ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นนักเขียนที่มีความสุขที่สุดในโลกก็ว่าได้ เพราะตัว “พนมเทียน” ยึดถือผู้อ่านเป็นหลัก หากงานเขียนของตนยังคงได้รับความสนใจ ผู้เขียนก็จะมีความสุขใจในงานเขียนและก็จะสร้างสรรค์ผลงานเขียนของตัวเองออกมาเรื่อยๆ ซึ่งระยะเวลา 25 ปีที่ “พนมเทียน” เขียน “เพชรพระอุมา” ออกมานั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าเขาได้รับความรักจากผู้อ่านมากขนาดไหน โดยพนมเทียน เริ่มต้นเขียนเพชรพระอุมาในปี พ.ศ. 2507 โดยการทำสัญญากับสำนักพิมพ์ผ่านฟ้า (ปัจจุบันยุติกิจการไปแล้ว) ในการเขียน “เพชรพระอุมา” ให้มีความยาวเนื้อหาเพียงแค่ 8 เล่ม จบเท่านั้น แต่ด้วยความนิยมที่ล้นหลามทำให้ต้องเขียนเพิ่มเติมเป็น 10 เล่มจบ เป็นอันยุติตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ แต่ทางสำนักพิมพ์ผ่านฟ้า ได้ขอร้องให้พนมเทียนเขียนเพิ่มเติมต่ออีก 5 เล่ม พร้อมกับบอกกล่าวถึงความนิยมจากนักอ่านที่มีต่อเพชรพระอุมา ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนต้องมีการตีพิมพ์ซ้ำหลายๆ ครั้งด้วยกัน ซึ่งในที่สุดพนมเทียนทนเสียงเรียกร้องของบรรดานักอ่านไม่ได้ ก็ต้องเขียน “เพชรพระอุมา” ตอนใหม่ๆออกมาวางจำหน่ายเผยแพร่ในรูปแบบของพ็อคเก็ตบุ๊ค ในแบบราย 10 วันหรือตก 10 วันจะออกมาให้อ่าน 1 เล่ม ซึ่งเนื้อเรื่องดำเนินความยาวอย่างต่อเนื่องมาจนถึงเล่มที่ 99 ในปีที่ พ.ศ. 2513 เนื้อเรื่องก็ยังไม่สามารถจบลงได้ แต่ “เพชรพระอุมา” ก็ได้ย้ายมาตีพิมพ์ในนิตยสาร “จักรวาลรายสัปดาห์” เปลี่ยนจากราย 10 วันมาเป็นรายอาทิตย์ ซึ่งตีพิมพ์ต่อกันมาอีกเป็นระยะเวลา 5 ปี และได้ย้ายมาตีพิมพ์ใน“หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์” ในปี พ.ศ. 2518 เป็นเวลาอีก 6 ปี เนื้อเรื่องก็ยังไม่จบ
ตำนาน
ต่อมา “เพชรพระอุมา” ก็ได้รับการตีพิมพ์ต่อในนิตยสาร “จักรวาลปืน” ในปี พ.ศ. 2525 อีก 8 ปี และสุดท้ายเรื่องราวก็จบลงไปในปี พ.ศ. 2533 เป็นการปิดการเดินทางอันยาวนาน ทั้งของ “พนมทวน” และ ของ รพินทร์ ไพรวัลย์ ตัวเอกในเรื่องเพชรพระอุมา นับรวมเวลาตั้งแต่เริ่มเขียนจนปิดฉากเป็นเวลา 25 ปีพอดี ซึ่งยังหาใครมาล้มสถิตินี้ลงไม่ได้เลย ซึ่งปัจจุบันเพชรพระอุมาได้ถูกเรียบเรียงใหม่และตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม ลิขสิทธิ์โดยพนมเทียน และได้แบ่งการตีพิมพ์ออกเป็น 48 เล่ม ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น และได้ถูกนำจัดทำเป็นรูปแบบ eBook เป็นครั้งแรกโดยแพรวสำนักพิมพ์ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ด้วยระยะเวลาเดินทางของทั้งผู้เขียน ตัวละคร และผู้อ่าน คงเพียงพอสำหรับการเป็นตำนาน รวมทั้งการันตีความสนุกสนานของนวนิยายเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี หากคุณได้หยิบขึ้นมาอ่าน คุณจะได้รับทั้งความบันเทิง ความตื่นเต้นเร้าใจของการผจญภัยที่ออกมาจากจินตนาการผสมประสบการณ์ของพนมเทียน ความอีโรติคนิดๆ ของคู่รักแต่ละคู่ที่อ่านทีไรก็ขนลุก รวมไปถึงความรู้ในด้านต่างๆ เกี่ยวกับการเดินป่า การล่าสัตว์ ความเชื่อ รวมทั้งอาวุธปืนอีกด้วย ซึ่งผมเองก็กลายเป็นรักปืนไปในปริยายก็ด้วยอิทธิพลจาก “เพชรพระอุมา” นี่แหละครับ
และสิ่งสุดท้ายจากเสียงสนทนาในกลุ่มของนักอ่าน “เพชรพระอุมา” ด้วยกันนั้น ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันและล้วนมีความหวังให้นวนิยายเรื่องนี้ผันตัวมาเป็นภาพยนตร์จอเงินสักวันหนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นการยาก แต่บรรดาแฟนๆ ต่างก็รออย่างมีความหวัง หวังอยากจะเห็นตัวละครที่ตัวเองรักมาปรากฏเคลื่อนไหว และอยากจะได้เห็นจินตนาการที่มีอยู่ในหนังสือทั้งหมดออกมาโลดแล่นสร้างความตื่นเต้นในสักวันหนึ่ง นานแค่ไหนก็จะรอ ...