10 ข้อห้ามสำคัญของการล้างพิษตับ
เริ่มที่ข้อ 5 คือ ภาวะริดสีดวงทวาร และภาวะท้องผูกริดสีดวงทวารนั้น จะมีการบวมคั่งของเส้นเลือดขอดในลำไส้ใหญ่ ซึ่งมักจะมีสาเหตุมาจากภาวะท้องผูกเรื้อรัง หากมีอาการท้องผูกและยังคงพยายามทำการล้างพิษตับอยู่ ส่วนผสมของน้ำมันจะถูกกักและค้างอยู่ที่กระเพาะอาหารเป็นเวลานานขึ้น ในที่สุดลิ้นหูรูดที่หลอดอาหารจะเปิด และทำให้รู้สึกคลื่นไส้คล้ายจะเป็นลม และอาเจียนในที่สุด
ถ้ายังคงมีการขับนิ่ว สารองค์ประกอบของนิ่ว หรือสารพิษจากตับ สิ่งเหล่านี้จะเป็นสาเหตุทำให้ริดสีดวงทวารที่ปรากฏอยู่ภายนอกแตกและมีเลือดออก แม้การที่มีเลือดออกบ้างจะดูน่ากลัวแต่ในความเป็นจริงมันช่วยขับสารพิษที่เหล่าเส้นเลือดขอดในลำไส้ (ริดสีดวงทวาร) เหล่านี้เก็บกักไว้และสิ่งนี้จะช่วยปรับปรุงสุขภาพของลำไส้ได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม จะเป็นการดีที่สุดที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะท้องผูกเพื่อไม่ให้ริดสีดวงทวารเกิดขึ้น ดังนั้นควรสวนล้างลำไส้อย่างถูกต้องเหมาะสมก่อนการล้างพิษตับ และด้วยวิธีนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงภาวะคลื่นไส้ที่ไม่พึงประสงค์และช่วยลดโอกาสในการอาเจียนหลังจากดื่มส่วนผสมที่มีน้ำมันลงได้ แถมยังจะช่วยให้ภาวะท้องผูกดีขึ้นอีกด้วย
นอกจากนั้นแล้ว การเข้านอนแต่หัวค่ำ ดื่มน้ำอย่างพอเพียง และกินอาหารที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบในปริมาณมากและออกไปเดิน หรือฟังเพลงหลังรับประทานอาหาร ก็เป็นส่วนช่วยทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงการออกไปรับแสงแดดช่วงเช้า ก็จะได้รับวิตามินดีซึ่งมีส่วนสำคัญในการรักษาหน้าที่ของระบบย่อยอาหารให้เหมาะสม
ข้อห้ามที่ 6 คือ ภาวะตั้งครรภ์ และให้นมบุตร หากอยู่ในภาวะนี้ห้ามล้างพิษตับครับ
ข้อห้ามที่ 7 คือ ภาวะมีประจำเดือน การล้างพิษตับในขณะที่มีประจำเดือน ส่งผลให้การขับเลือดเสียตามธรรมชาติ (ประจำเดือน) นั้น ขับได้น้อยลง (ไม่เป็นผลดีแนะนำให้ทำก่อนหรือหลังการมีประจำเดือนจะดี และปลอดภัยกว่า
สำหรับข้อที่ 9 คือมีการใส่ท่อ stent เพื่อขยายท่อน้ำดี ปัญหาของการที่มีท่อเหล็กหรือท่อพลาสติกสอดไว้ในท่อน้ำดีนั้น มันทำให้เกิดภาวะที่ท่อน้ำดีจะไม่สามารถขยาย (dilate) ขนาดของท่อน้ำดีเหมือนกับลักษณะของท่อน้ำดีปกติที่สามารถขยายในการล้างพิษตับปกติได้ (ซึ่งเป็นปฏิกิริยาจากการดื่มดีเกลือ)
ดังนั้นเมื่อนิ่วถูกขับออก มันอาจจะไม่สามารถผ่านท่อ stent นี้ได้ ในกรณีการอุดตันของท่อน้ำดีจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิ่วนั้นมีขนาดใหญ่กว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อ stent ซึ่งในกรณีนี้คนส่วนใหญ่ก็ต้องผ่าตัดไปเปลี่ยนท่อ stent อีกครั้ง
ข้อสุดท้ายสำหรับข้อห้ามก็คือ อาการเบาหวาน หมอทราบดีว่าผู้ป่วยเบาหวานหลายๆ คนนั้นประสบความสำเร็จในการล้างพิษตับหลายต่อหลายครั้ง แต่ถ้าท่านมีปัญหาเบาหวานอยู่จริงๆ ท่านอาจจะจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการล้างพิษตับที่ได้แนะนำกันเป็นปกติ การรักษาสภาวะสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้ตลอดเวลาเป็นสิ่งที่ต้องห่วงใยอย่างแท้จริง การอดอาหารนั้นเป็นที่แน่นอนว่าทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดปั่นป่วนได้ ในขณะเดียวกัน การไม่กินอาหารใดๆในวันที่ต้องดื่มน้ำมันมะกอกเป็นสิ่งสำคัญในการหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายและช่วยเพิ่มโอกาสการขับนิ่วในขณะที่ทำการล้างพิษตับสูงสุด
สิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้ป่วยเบาหวานในกรณีที่ถึงแม้จะทำการล้างพิษตับไม่ได้นั้น หมอแนะนำว่าอย่างแรกที่คุณจะต้องทำให้สำเร็จก่อนก็คือ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและการรับประทานอาหารที่จำเป็นและในภายหลังจากที่ภาวะน้ำตาลในเลือดของคุณอยู่ในระดับปกติอย่างเป็นธรรมชาติด้วยตัวมันเองแล้วคุณจึงค่อยเริ่มทำการล้างพิษตับ Andreas Moritz แนะนำเพิ่มเติมไว้ในหนังสือ The Amazing Liver and Gallbladder Flush หน้า 285-286 ว่า
“ในกรณีที่ท่านรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอยู่ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ทางด้านธรรมชาติบำบัด เพื่อปรับอาหารและพฤติกรรมที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงของโรคก่อน และเพื่อให้ค่อยๆ ลดการใช้ยาลงก่อนในขณะที่การล้างพิษตับช่วยให้ร่างกายล้างพิษและรักษาตนเองได้ ยาไม่ว่าจะเป็น ยาต้านภาวะซึมเศร้า ยาต้านการอักเสบ ยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) ล้วนแล้วแต่ทำงานตรงข้าม มันจึงถือเป็นความเสี่ยงต่อร่างกายที่จะทำให้มีสภาวะสองอย่างที่ไม่เข้ากันและเป็นกระบวนการตรงกันข้ามกันอยู่ในร่างกายในขณะเดียวกัน ข้อเท็จจริงก็คือ การกินยาแผนปัจจุบันในขณะที่ทำการล้างพิษตับนั้นจะเปลี่ยนความเข้มข้นของยาให้อยู่ระดับที่ไม่น่าปรารถนา เพราะฉะนั้น สิ่งนี้ถือเป็นคำเตือนที่ต้องระวัง เมื่อใดก็ตามที่สามารถหยุดยาแผนปัจจุบันใดๆ ได้แล้ว คุณสามารถที่จะทำการล้างพิษตับได้อย่างปลอดภัย”
และทั้งหมดนี้คือข้อห้ามที่ถูกต้องเกี่ยวกับการล้างพิษตับ ฉบับหน้าหมอจะเล่าถึงความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการล้างพิษตับให้ได้อ่านกันครับ