หัวใจไหลวน

หัวใจไหลวน

หลังผ่านผาตัวเองไปในตลาดสด ทางหลวงหมายเลข 105 ทอดตัวลิบไกลไปตามความเปลี่ยวเงียบอย่างที่มันเคยเป็นมา ฟ้าต้นฤดูหนาวใสสด แดดสายเริ่มร้อนเร่า และเสียงเครื่องยนต์ก็ครางกระหึ่ม บดล้อยางไปบนถนนสาย “ชายแดน” อันมากมายไปด้วยภาพชีวิตสองข้างทาง

 

เราผ่านแม่ระมาดในยามสาย น้ำเมยวิบวับเปลวเดดเต้นไหวอยู่ด้านข้าง ทุ่งข้าวหลังเก็บเกี่ยวเหลือเพียงฟ่อนฟางก่ายกอง เมื่อเข้าสู่เขตอำเภอท่าสองยาง ความรู้สึกประเภท “ห่างไกล” ทำหน้าที่ของมันผ่านเส้นทางและความเป็นอยู่อันอิงอยู่กับภูเขาของผู้คน

 

ว่ากันตามตรง ถนนสายนี้เคยเป็นเส้นทางสาย “สุ่มเสี่ยง” สำหรับคนเดินทางไกลเลาะเลียบชายแดน ความไม่มั่นคงทางการเมืองและสงครามระหว่างเชื้อชาติของประเทศที่อิงอยู่กับแม่น้ำเมยที่ฝั่งตรงข้าม ส่งผลให้ชีวิตตามชายแดนมากไปด้วยคราบเลือดและหยาดน้ำตา แค้มป์อพยพของพี่น้องปาเกอะญอก่อนถึงแม่ระมาดอันครอบคลุมผืนภูเขาร่วมหมื่นหลังคาเรือนคือสิ่งยืนยัน

 

มันสวยงามราวโปสการ์ดสักใบอันมากไปด้วยองค์ประกอบของภูเขา กระท่อมใบตองก๊อ และพี่น้องกะเหรี่ยงในชุดสีสวย ทว่าซ่อนเร้นภาพแห่งความหวังและการรอคอยไว้ในความทุกข์ยากในความ “ไร้ถิ่นฐาน” และมีชีวิตอยู่ด้วยการรอความช่วยเหลือ

 

ถนนลากผ่านความจริงสองข้างทาง ก่อนถึงอำเภอท่าสองยางราว 5 กิโลเมตร เราแยกขวาที่บ้านพะนอคี ผละจากถนนดำ พารถคันเล็กเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภูเขา

 

อากาศเย็น เทือกดอย และทางยาก คล้ายไม่รับรู้การมาถึงของเรา บางสิ่งอย่างมีไว้เพียงคนที่เหมาะสมกับมัน

 

ถนนเล็กๆ ที่รถสวนกันแทบไม่ค่อยได้ ลากจากเนินเขาที่หมู่บ้านพะนอคี ผ่านไปตามห้วยสายเล็กและไร่ข้าวโพดสีน้ำตาลทอง จากที่เป็นคอนกรีตในช่วงแรกๆ เมื่อตีโอบสันเขา ลากพาเข้าในหมู่บ้านกะเหรี่ยงเล็กๆ จากนั้นก็เปิดวิวแห่งความสันโดษดิบเถื่อน เป็นตัวของตัวเองอย่างถึงที่สุด

 

ทางดินแดงช่วงแรกยังมากไปด้วยร่องสูงชัน เพิ่งผ่านพ้นฤดูฝนมาไม่นาน งบเกรดทางยังมาไม่ถึง ส่งผลให้การโขยกเขยกรถคันเล็กในช่วงแรกเป็นไปด้วยความยากลำบาก กระนั้นก็ตาม หากเป็นช่วงที่มันยังเป็นหล่มโคลน ก็ใช่ว่าจะร้างไร้ผู้คน หากไม่นับชาวบ้านแถบบนดอยที่ต้องลงมาซื้อหาข้าวของ ใช้เวลาร่วมวันกับระยะทางไม่กี่กิโลเมตร ทางเล็กๆ เส้นนี้คือสิ่งเย้ายวนใจของกลุ่มออฟโรดจากเมืองไกล ที่ต่างมาค้นหา “จุดมุ่งหมาย” และหนทางด้วยการขับรถอันยากลำบาก

 

นับเป็นห้วงเวลาอันรื่นรมย์ เมื่อทางแห้งสนิทและพาเราขึ้นสู่สันเขา มันไต่เวียนไปราวงูยักษ์ที่แนบตัวลงซอนซบเทือกดอย เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง เปิดภาพกระจ่างตาของทะเลภูเขาในแนวเขตท่าสองยางและแม่ระมาดให้เห็นลิบตา บางช่วงแดดบ่ายสะท้อนแม่น้ำเมยยิบยับ

 

สลับโฟร์ไฮและโฟร์โลว์ไปตลอดเส้นทาง ฝุ่นดินคละคลุ้ง เกือบ 15 กิโลเมตรที่มีเพียงเราคันเดียวกับเวลาร่วม 3 ชั่วโมง ทางดินบางช่วงได้รับการเกรดให้กว้าง นานๆ ทีมีรถกระบะคร่ำคร่าของพี่น้องกะเหรี่ยงสวนมาบ้าง มอเตอร์ไซค์ก็เช่นกัน พวกเขาขี่มันอย่างคนเข้าใจและคุ้นเคยกับภูเขา คล้ายเป็นเส้นทางกลับบ้านอย่างทุกฤดูกาล

 

เรามาถึงที่หน่วยจัดการต้นน้ำดอยเปเปอร์ในแดดบ่ายราแรง สาดแสงอุ่นให้พื้นที่เล็กๆ อันเป็นต้นน้ำของทั้งฝั่งตากและเชียงใหม่ดูงดงามราวเมืองไกลในนิทานปรัมปรา

 

“น้ำแม่ตื่นและอีกหลายสายก็เริ่มจากดอยเปเปอร์นี่ละครับ” พรเทพ พรปิยรัตน์ หรือพี่สอน บอกเบาๆ ในสายลมแรงจัดยามย่างเย็น เขาบอกให้เราตั้งแคมป์ให้เสร็จก่อนมืด ลานหญ้าตรงริมจุดชมวิวนั้นเนียนนุ่ม ทอดสายตาออกไปเป็นหุบดอยไล่เรียงสูงต่ำ มันราวกับสวรรค์ของคนรักชีวิตกลางแจ้ง

 

หน่วยฯ เล็กๆ แห่งนี้ก่อตั้งมาสิบกว่าปี เพื่อสื่อสารและดูแลพื้นที่ป่าต้นน้ำของเชียงใหม่และรายรอบ หลังจากที่ตรงนี้เคยมากมายไปด้วยฝิ่นและการทำไร่เลื่อนลอย “การทำไร่แบบเมื่อก่อนไม่ค่อยมีแล้วครับ มันไม่ยั่งยืน” สอนเองก็มีเชื้อสายปาเกอะญอและย้ายตัวเองมาจากแม่ลาน้อย จะว่าไปในหน่วยฯ ก็มีเพียง ราชันย์ คำพร หัวหน้าหน่วยฯ ที่เป็นคนไทยจากข้างล่าง

 

การทำไร่เลื่อนลอยอย่างที่หลายคนเรียกขานนั้น จริงๆ แล้ว ในอดีตพวกเขาเรียกมันว่าการทำไร่หมุนเวียนมากกว่า แม้จะต้องตัดไม้บนภูเขาออกบ้าง แต่ก็มีวิธีฟื้นป่าอันน่าใส่ใจ “พวกคนรุ่นก่อนเขาตัดต้นไม้เพื่อทำไร่แท้ๆ ครับ เหลือลำต้นพอให้มันแตกใหม่ ถ้าไม่ตัดเลยมันจะบังแดด ข้างไม่งอกงาม แต่ไม่ตัดหมดโคน เดี๋ยวป่าหมด” สอนเล่าเพลินๆ ระหว่างที่แคมป์เพิ่งกางเสร็จ กาน้ำจากเตาก๊าซแบบพกพาถูกจุด และกาแฟร้อนๆ ก็ถูกแจกจ่ายคลายลมหนาว

 

ชาวกะเหรี่ยงจะเริ่มต้นเลือกหาพื้นที่สำหรับถางไร่ ซึ่งหมายความว่าการผลิตและวงจรชีวิตเริ่มต้นในรอบปีใหม่มาถึงอีกครั้งหนึ่ง หลังจากได้พื้นที่แล้ว ก็จะทำเครื่องหมายเอาไว ้โดยจะทำเครื่องหมายกากบาทไว้ที่ต้นไม้ เพื่อแสดงให้รู้เห็นกันว่าพื้นที่ตรงนี้มีเจ้าของจับจองแล้ว

 

ไร่หมุนเวียนของพวกเขาเกี่ยวโยงกับความคิดความเชื่อต่อป่าที่เรียกว่าบ้าน ต้องไม่เป็นพื้นที่ป่าต้องห้ามตามประเพณี และที่สำคัญ ต้องไม่มีลางบอกเหตุ

 

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้การทำไร่หมุนเวียนถูกทดแทนด้วยการทำนาตามพื้นที่ทำกินอันถาวร การปลูกพืชเสริมอย่างผักผลไม้ที่ชอบอากาศเย็น กาแฟเองก็เริ่มหยั่งรากลงตามหุบเขา ซึ่งทั้งหมดมันสอดคล้องกับการมาถึงและจุดมุ่งหมายของหน่วยฯ “เขาทำกินได้ ป่าต้นน้ำบนนี้ก็ยิ่งสมบูรณ์ แต่ก่อนตอนมาตั้งหน่วยใหม่ๆ หัวหน้าบอกว่าลำห้วยไม่มากมายน้ำอย่างทุกวันนี้” สอนนั่งมองไปยังเบื้องล่างตรงจุดชมวิว ทั้งป่า ภูเขา และหมอก ย้อมอยู่ในแสงเหลืองๆ ยามเย็น

 

พูดกันถึงยอดดอยชื่อแปลกหูที่เราฝ่าทางภูเขาขึ้นมาเยือน ก่อนการมีชื่อของมัน เทือกเขาที่ทอดยาวเป็นแนวป่าเขา กั้นเขตตาก-เชียงใหม่ ผืนนี้ นอกจากเป็นแหล่งน้ำและอาหารอันอุดมของผู้คนและส่ำสัตว์ มันคือถิ่นที่อยู่ของพี่น้องปาเกอะญอมาเนิ่นนาน

 

“หากกางแผนที่ดูนะครับ มีหมู่บ้านกะเหรี่ยงเกิน 40 หมู่บ้านกระจายตัวอยู่ตามหุบเขา มากเสียจนผมเองยังไปมาไม่หมด” สอนว่าป่าเขากับเผ่าพันธุ์ของพวกเขาไม่เคยแยกจากกัน

 

“ชื่อดอยนั้นมาจากยุคก่อนราว 50 ปีครับ ที่มิชชันนารีจากตะวันตกเดินเท้าเข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนา บ้างว่ากันว่าพวกเขาลงหมายไว้ในกระดาษแผ่นหนึ่ง แต่บางคนก็ว่าเส้นทางที่พับวนไปมาในหุบเขาทอดยาวนั้นเหมือนกับม้วนกระดาษ” เขาตอบคำถามเช่นนี้บ่อยครั้งที่สุด ตั้งแต่มาประจำอยู่ที่หน่วยฯ

 

อย่างไรก็ตาม ยามเย็นบนดอยเปเปอร์เผยความงามจริงแท้อย่างไม่ต้องการการขนานชื่อนาม เราไต่สันดอยไปเที่ยวพระมหาธาตุโลกะวิทู (โฆ๊ะผะโด๊ะ) ที่ราบเล็กๆ เหนือสันเขาสูงปรากฏเจดีย์สีทองอร่ามพร้อมวิหารไม้หลังน้อยสมถะ ส่วนของกุฏิไล่ไปตามเชิงเขา เรียบง่าย สะอาดสะอ้าน คำว่าศรัทธาเข้มขลังไม่ว่ามันจะวางตัวอยู่ที่ใดก็ตาม พระสงฆ์รูปเดียวของวัดงดงามด้วยวัตรปฏิบัติอย่างไร้ปรุงแต่ง ทุกอย่างซ่อนแง่มุมของตัวเองไว้ในหุบดอยเดียวกันอย่างเงียบเชียบ

 

ตะวันดวงเดิมค่อยๆ ลับหาย ฟ้ากลายเป็นสีส้มแดงอยู่เพียงครู่ ควันไฟของหมู่บ้านโคะผะโด้ที่อยู่ใกล้ๆ ก่อตัวพร้อมๆ ฝูงวัวเดินกลับส่งเสียงฟืดฟาดและกระดึงกรุ๋งกริ๋ง หมอกบางๆ ห่มคลุมเทือกดอย

 

 ก่อนค่ำ จากมุมสูงขององค์พระธาตุ ต่างคนต่างยืนมองถนนเส้นเดียวขอบดอยที่ทอดโค้งลับหายไปในความสลัวราง และยังคงเก็บงำปลายทางไว้นั้นอย่างเงียบงัน

 

อาหารง่ายๆ แต่มากไปด้วยบรรยากาศของแดนดอยถูกปรุงขึ้นในครัวของหน่วยฯ สาวน้อยเจ้าหน้าที่ชาวกะเหรี่ยงหุงข้าวไว้รอการกลับมา “เอาะ เม” เธอบอกให้เราร่วมกินข้าวเย็นร่วมกัน นาทีมื้อคำคือเรื่องของการทำความรู้จัก เรียนรู้ และมิตรภาพได้ถักทอ

 

หลังมื้อค่ำ เราย้ายมาตรงระเบียงริมผา จุดที่มองเห็นเบื้องล่างเต็มตา ลมแรงหนาวเย็นพัดตึงจนต้องกระชับแจ๊กเก็ต กาแฟของเราผลัดเปลี่ยนกับชาของพี่น้องปาเกอะญอ “เอาะ ที” พวกเขาเชื้อเชิญ ไออุ่นในชาร้อนๆ ทำให้คืนหนาวไม่ว่างเปล่า

 

มากไปกว่านั้น เรื่องเล่าถึงชีวิตที่ผันผ่าน ทั้งการปรับเปลี่ยนเรียนรู้จากคนรุ่นต่อรุ่น บางนาทีก้าวลึกเข้าไปถึงความคิดความเชื่อโบราณที่เดินขนานกับโลกยุคใหม่เบื้องล่าง หลายคนบนนี้ทำให้ผมเข้าใจว่า โลกไม่มีวันหยุดนิ่งแม้แต่บนภูเขา และความไม่เท่าเทียมยังมีอยู่จริง แม้ข้างล่างจะพยายามป่าวประกาศสวนทางสักเท่าใด

 

แวมไฟข้างล่างแถบแม่ต้าน ที่ฝั่งท่าสองยาง ระยิบเมื่อมองผ่านความมืดมิด ดาวในคืนดึกประกายชัดทั่วผืนฟ้า

ข้างล่างราวดูไม่ไกลนัก ด้วยความมืดหลอมเลือนคลื่นภูเขาไปเป็นหนึ่งเดียว

แต่ดูเหมือนการเชื่อมโยงข้างบนและข้างล่างเข้าด้วยกัน “หนทาง” ดูจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

“คี เลอะ นา เน่อ เก๊อะ บะ ต่า โช่ เง”

ขอให้โชคดี

.......................................................

 

ม่านหมอกสีขาวในหุบดอยชัดเจนเมื่อผ่านพ้นค่ำคืนเหน็บหนาวยาวไกล กลั่นตัว แผ่ผืน ฟุ้งกระจายไปตามแรงลมและความสว่างของดวงแดด เราตื่นเช้ามามองภาพที่คนข้างบนดอยเปเปอร์เห็นมันแทบทุกเมื่อเชื่อวันของฤดูหนาว

 

รวบสัมภาระใส่ท้ายรถ ถ้อยคำอวยพรของพี่สอนจากเมื่อคืนยังจำขึ้นใจ เราจากหน่วยฯ ดอยเปเปอร์ไปตามถนนดินอวลฝุ่นสีแดงเส้นเดิม องค์พระธาตุที่ดูยิ่งใหญ่กลายเป็นจุดเล็กๆ สีทองประดับยอดดอยเมื่อเราผ่านพ้นไปในเขาอีกสองสามลูก

 

วันนี้ฟ้าเปิดใสสด ภูเขาเบื้องหน้ากว้างไกลยิ่งกว่าภาพพานอรามา เราเข้าสู่เขตอำเภออมก๋อยของเชียงใหม่แต่รอบด้านดูเหมือนไม่เปลี่ยนแปลง

 

ทางยาก คดโค้ง และขุนเขา เหล่านี้คือสิ่งวนเวียนทุกรอยล้อ

 

ผ่านทางแยกหลักบนสันดอย ที่หาเลี้ยวขวาจะมุ่งลงไปทางแม่เมย บางแยกเล็กๆ ไปไกลได้ถึงแม่อุสุ นอกเหนือไปจากความงดงามของแดนดอย ไม่มีสิ่งใดดีกว่าพาตัวเองไปรู้จักชีวิตที่ไหลวนอยู่ตามซอกมุมของภูเขา เราแวะไปเที่ยวบ้านขุนตื่นใหม่ 

 

บ้านไม้คงทนถาวรหลายหลังกระจัดกระจายไปตามไหล่เขา จะว่าไป หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงที่มีคำลงท้ายว่าใหม่ คือกลุ่มที่ย้ายออกมาตั้งรกรากเนื่องจากไหล่ดอยที่เป็นหมู่บ้านเดิมนั้นมีพื้นที่เหลือไม่เพียงพอ

 

แม้จะหลงเหลือบ้านแบบดั้งเดิมไม่มาก ตามความเป็นอยู่ที่ดี่ขึ้นของพี่น้องกะเหรี่ยงสะกอบนเทือกดอย แต่เมื่อเข้าไปทำความรู้จักพวกเขาที่ “ข้างใน” นาทีคล้ายหมุนกลับ

 

พะตี หรือลุงคนหนึ่งเคี้ยวหมากฟันดำ รอยยิ้มนั้นราวคนเอ็นดูลูกหลาน รอยสักแทบทั่วตัวอันเป็นเอกลักษณ์ของพรานโบราณชัดเจน จะว่าไปผมเห็นลายแบบนี้บนร่างกายชายที่มีอายุแทบทุกคน มันดำทะมึนอยู่ตามหน้าท้อง ที่โคนขาเป็นรูปเหลี่ยมปะติดปะต่อกันคล้ายภาพกราฟิกสมัยใหม่ ตามท้องแขนเหมือนรูปลดทอดของสัตว์เลื้อยคลาย พะตีว่ามันเป็นลายที่หมายถึงให้ผีคุ้มครอง ปลอดภัยต่อสิ่งเลวร้ายในป่า ป่าที่เป็นเหมือนทุกอย่างในชีวิตคนดั้งเดิม

 

ตามชานบ้านหน้าเส้าฟืนไฟ ฝ่ายหญิงนั่งทอผ้าโดยใช้เอวแทนกี่ หรือที่เรียกกันว่าทอผ้าแบบ “ห้างหลัง” ลูกเดือยสีขาวก่ายกองรอวันปักลงไปประดับเมื่อผ้าทอผืนสวยเสร็จสิ้น ต้นเดือยสองกอคือชนิดพันธุ์ที่คนกะเหรี่ยงว่าลูกของมันได้ขนาดและคงทน ป้าว่าพวกผู้ชายต้องเก็บมาตั้งแต่เม็ดยังเขียว เอาไปตากแดดแล้วจะขาวเอง หากปล่อยให้ขาวคนต้น เม็ดเดือยที่ได้จะไม่ค่อยทน

 

ชีวิตผูกพันกับป่าและภูเขาชัดเจน แม้รูปแบบหรือปัจจัยภายนอกจะเดินทางขึ้นมาถึงผ่านถนนเส้นเดียวกัน หากเลาะลงไปในผืนนาที่ยามนี้ผ่านพ้นการเก็บเกี่ยว ล้วนแทรกแซมด้วยมะเขือเทศ แตงกวา ฟักทอง ผักอีหลืน ถั่ว มัน ผักกาด และนานาสิ่งยังชีพหลากหลายพันธุ์

 

ข้าวของพวกเขาพอกินไปตลอดปี แม้ข้าวไร่จะลดจำนวนลงตามการเลิกทำไร่หมุนเวียน แต่ยามสายลมสะอ้านพัดแนวข้าวไหวเอน หลายคนที่นี่บอกว่าข้าวไร่ยังคงอร่อยนัก หากเทียบกับข้าวพันธุ์อื่นๆ ที่พวกเขาลองปลูก

 

เราออกจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้น ผ่านพารถคันเล็กไปตามเส้นทางที่ไกลขึ้นเรื่อยๆ บางช่วงมันพาเวียนวกลดความชันลงสู่หุบอันเย็นชื้น สวนกล้วยขึ้นรายเรียง ขณะบางคราวก็หลงเหลือร่องรอยของฤดูฝนไว้ตามร่องดินมากรูปทรง ให้ต้องใช้ทักษะกับเส้นทางประเภทภูเขาอันจริงแท้

 

เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ที่บ้านขุนตื่นน้อยช่วยผ่อนคลายหลายสิบกิโลเมตรกับเวลาสามสี่ชั่วโมงลงไปได้มาก ธารสายหลักดังแว่วมาจากป่าเบื้องลึก มันคือต้นน้ำแม่ตื่นที่ไหลลงสู่อมก๋อย ก่อนไปหลอมรวมกับอีกหลายสายมุ่งลงสู่เชียงใหม่

 

ทางดินตามเนินดอยเปี่ยมสีสันมากที่สุดด้วยเสื้อผ้าของเด็กๆ ทั้งชุดประจำเผ่าและเสื้อกันหนาวสีสด โรงเรียนเล็กๆ ของที่นี่มีครูสาวชาวกะเหรี่ยงจากบ้านแม่ตื่นที่ตีนดอยเปเปอร์สอนอยู่สองคน พวกเธอยังเด็กนัก หากเทียบกับวัยเดียวกันที่ในเมือง หากแต่พื้นที่ของหัวใจนั้น ผมว่ามันยิ่งใหญ่เยี่ยงเดียวกับขุนเขา

 

“โรงเรียนที่นี่ไม่ได้มีไว้ให้เด็กอย่างเดียวนะคะ ผู้ใหญ่ที่อยากรู้หนังสือ อยากสื่อสาร ก็มาเรียน เราไม่อยากเห็นพี่น้องเราลงไปข้างล่างแล้วไม่รู้เรื่องเหมือนสมัยปู่ย่า โดนหลอก หรือเสียเปรียบเขา” เธอว่าการสื่อสารในโลกใบเดียวกันนั้นจำเป็นไม่ว่าจะเป็นซอกมุมใด

 

ภายในห้องเรียนอันเรียบง่ายนั้นไม่เพียงอักษรกะเหรี่ยง ที่ว่ากันว่าคิดค้นโดยมิชชันนารีที่ดัดแปลงมาจากตัวอักษรพม่าราวร้อยกว่าปีก่อน ถ้อยคำต่างๆ ถูกแปลอยู่บนกระดาน ไม่นับภาษาไทยแล้ว มันคือเรื่องของคณิตศาสตร์เบื้องต้น ภาระหน้าที่ คติธรรม รวมไปถึงเรื่องราวของการใช้ชีวิต

 

นอกห้องเรียนดูยิ่งน่าใส่ใจไม่แตกต่าง เด็กๆ กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังโบสถ์บนเนินสูง ที่ซึ่งมองเห็นไร่ข้าวและบ้านเรือนวาวตัวหลังดงไม้ โอบล้อมอยู่ด้วยภูเขาแทบทุกทิศทาง ถนนเล็กๆ ภายในหมู่บ้านนำพาไปเห็นโรงสีชุมชน แปลงเพาะเลี้ยงพืชและสัตว์จากโครงการหลวง ที่สำคัญ มันไม่ร้างไร้ผู้คนอย่างบางหมู่บ้านข้างล่าง พวกเขาเห็นทุกประโยชน์ที่มันก่อเกิด และร่วมน้อมนำมาให้อยู่ในชีวิตจริงกลางป่าเขา เคียงคู่กับความเชื่อและวิถีดั้งเดิมอย่างน่ารื่นรมย์

 

เราใช้เวลาอยู่ที่นี่เนิ่นนาน คุยกับคุณครู เด็กๆ แวะไปดูผ้าทอของหญิงชรา หรือกระทั่งฟังเตหน่า-พิณของคนปาเกอะญอ จากเด็กหนุ่มที่อยู่ในเครื่องแต่งกายของวัยรุ่น

 

ก่อนจากกันและไปสู่ถนนที่นำพาเราขึ้นมา ราวกับป่าเขาและทุกรอยยิ้มในหมู่บ้านคล้ายโลกในอุดมคติ โลกที่มิตรภาพมีอยู่อย่างจริงแท้ บริสุทธิ์ราวหมอกในยามเช้า และอบอุ่นเหมือนแดดอุ่นฉายลงเหนือยอดเขาเมื่อค่ำเย็น

 

“ซะ คือ เลอะ เน่ สิ ยา บะ นา”

ยินดีที่รู้จัก

 

หากถนนเป็นดั่งตัวแทนของการทำความรู้จัก เคลื่อนไหว และถ่ายเทผสมผสานให้สิ่งที่เรียกว่าชีวิตต่างรู้จักคำว่าการพึ่งพา

 

นาทีบนนั้น ไม่มีคำใดจะเหมาะสมเมื่อก้าวร่วมไปกับเส้นทางสายนั้น ถ้อยคำที่เปิดโอกาสให้เราและเขาต่างพร้อมทำความรู้จักและยอมรับในความเป็นตัวตนของกันและกัน

 

“โอ๊ะมื่อโชเปอ”---สวัสดี 

 

HOW TO GO?

จากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ใช้ทางหลวงหมายเลข 105 (แม่สอด-แม่สะเรียง) ผ่านอำเภอแม่ระมาด เข้าเขตอำเภอท่าสองยาง ก่อนถึงตัวอำเภอท่าสองยางราว 5 กิโลเมตร แยกขวาที่กิโลเมตรที่ 81 บ้านพะนอคี ผ่านเส้นทางคอนกรีตในช่วงแรก จากนั้นผ่านเส้นทางดินลูกรังไต่ไปตามความสูงชันของขุนเขาอีกราว 15 กิโลเมตร ถึงที่ทำการหน่วยจัดการต้นน้ำดอยเปเปอร์ ใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง (ในฤดูหนาวที่เส้นทางแห้งสนิท)

 

จากหน่วยฯ ดอยเปเปอร์ แวะไปเที่ยวพระธาตุโลกะวิทู 4 กิโลเมตร จากนั้นต่อเนื่องไปตามเทือกดอยจนไปทะลุออกที่ตำบลแม่ตื่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ อีกราว 47 กิโลเมตร ระหว่างทางมีหมู่บ้านพี่น้องชาวปาเกอะญอให้แวะเที่ยวมากมาย จากบ้านแม่ตื่นเข้าสู่อำเภอมก๋อยด้วยทางลาดยางสบายๆ อีกราว 70 กิโลเมตร

 

เส้นทางทั้งหมดบนดอยเปเปอร์ล้วนมากไปด้วยความสูงชันและร่องดิน หากเป็นฤดูฝน จะยากต่อการเดินทาง ทว่าทางแห้งในฤดูหนาว รถขับเคลื่อนสี่ล้อประเภทไม่ตกแต่ง สามารถเดินทางได้สบาย และเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของเทือกดอยชายแดนตาก-เชียงใหม่แห่งนี้

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หน่วยจัดการต้นน้ำดอยเปเปอร์ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก โทรศัพท์ (053)221-095 (สำนักงานที่เชียงใหม่) หรือ 08-1951-2812 (คุณราชันย์)

ยามสายของอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก