เอิร์ธ สายสว่าง

เอิร์ธ สายสว่าง

ปัจจัยการทำงานให้ประสบผลสำเร็จดั่งใจปรารถนาไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับสังคมที่มีการแข่งขันกันสูงในยุคปัจจุบัน แต่ทว่าผู้หญิงเก่งคนนี้ที่สู้งานจนสามารถยืนอยู่แถวหน้าของบุคคลอาชีพเดียวกันได้นั้น นับเป็นบทเรียนที่มีคุณค่าสำหรับหลายคน เพื่อจะได้นำไปเรียนรู้ประยุกต์ใช้ 

 

เพียงชื่อก็เป็น “แบรนด์”ดัง

“ตอนเด็กๆ เมื่อจำความได้ เราก็เริ่มเรียนหนังสือเหมือนเด็กปกติทั่วไป เติบโตขึ้นมาที่อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชอบซุกซนโลดโผนปีนไต่ต้นไม้ อยู่ในก๊วนเด็กผู้ชาย พอโตขึ้นมาหน่อย ก็ฝันอยากมีอาชีพเป็นแอร์โฮสเตส แต่ก็ยังไม่ได้คิดว่าตัวเองชอบอะไร คิดแต่เพียงว่าต้องเป็นแอร์โฮสเตสให้ได้ เพราะได้บินฟรี ไปโน่นมานี่ ตัวเองก็ชอบต้อนรับ ชอบเอนเตอร์เทน ชอบการเซอร์วิส พอโตขึ้นมาอีกหน่อย จึงรู้ว่าอีกด้านหนึ่งของอาชีพนี้ต้องเป็นผู้หญิงสุภาพเรียบร้อยสวยงามบุคลิกดี ภาษาอังกฤษคล่อง เราก็ไม่ค่อยมีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน ไม่ใช่แค่ชอบพบปะผู้คนอย่างเดียว พูดกันง่ายๆ คือเราไม่สวยนั่นแหละ เราจะเป็นอะไรที่ไม่ใช่เหมือนเลดี้ปกติ เพราะมีพี่ชาย 2 คน น้องสาวอีก 2 คน ตัวเราเป็นคนกลาง ก็จะสนิทไปทางพี่ผู้ชายมากกว่า จะชอบคบแต่เพื่อนผู้ชาย มันสนุกดี ไม่จุกจิก จู้จี้ ไม่ร้องไห้ง่าย คิดแต่เรื่องใหญ่ๆไม่หยุมหยิม ไม่อ่อนไหวง่ายกับคำพูดเล็กๆน้อยๆ พูดแล้วจบตรงนั้น แต่จะไม่ค่อยสนุกปาก เพราะจะไม่ค่อยได้วิจารณ์และไม่ได้เม้าท์

 

“ส่วนชื่อ เอิร์ธ มีคนชอบถามกันว่าใครตั้งให้ เพราะในยุคเบบี้บูมเมอร์มีแต่ชื่อ ติ๋ม ต้อย ต๋อย ตุ๋ม แต๋ว จุ๋ม แดง เราชอบชื่อเอิร์ธชื่อนี้มีความหมายว่าโลกที่เราแบกไว้ทั้งใบ เราใช้ชื่อนี้มานานแล้วตั้งแต่เด็กๆ ตอนนั้นยังไม่ได้เรียนสายนี้การตลาดด้วย แต่เพราะคิดว่าความแปลกความใหม่มันเป็นตัวเรา แล้วไม่เคยคิดว่าจะมาทำงานแวดวงพีอาร์ เป็นนักการตลาด มาถึงทุกวันนี้ คิดว่าเราเป็นคนที่ครีเอทีฟ เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลา สมองไม่เคยหยุดนิ่ง มองอะไรในแง่ดีแล้วนำมาจดเป็นแง่คิด นำมาเสริมเติมแต่งสิ่งที่เราขาด สิ่งที่เราบกพร่อง

 

“เราอยากให้คนได้รู้จัก เพราะชื่อเล่นจำง่าย ก็เลยนำชื่อนี้มาใส่ไว้ในนามบัตร ส่วนนามสกุลก็เหมือนเดิมตลอดชีวิต แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ไม่เคยเปลี่ยนเบอร์ คนหลายคนที่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์บ่อยๆ เพราะรำคาญ คนโทรมาเยอะ หนวกหู เลยหนีเบอร์นั้น จะไปหนีทำไมเมื่ออยู่วงการนี้แล้ว ซึ่งถ้าคุณโทรศัพท์เข้ามาแล้วเราไม่ได้รับ เราก็จะโทรกลับไปตามปกติ เราก็จะคุยกับเขา ถึงแม้ว่าเราไม่รู้จัก เราก็จะโทรกลับไปตามทันที เราก็จะคุยกัน หากมีอะไรให้รับใช้ก็ให้บอกมา อะไรที่น่าสนใจก็รับไว้ เราไม่จำเป็นต้องมาปิดตรงนั้น เราเลือกที่จะปฏิบัติได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องหลบ ไม่ต้องเปลี่ยนเบอร์มือถือ ปกติจะเปิดโทรศัพท์ตลอดเวลา ให้การสื่อสารของเราเป็นระบบเรียลไทม์”

 

“จะไม่เคยเปลี่ยนชื่อเหมือนคนอื่น ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม เพราะเราใช้มาตั้งแต่เด็ก ส่วนเรื่องหมอดูเคยบอกว่าถ้าออกทุกเช้าให้ขับรถเลี้ยวขวาตลอดกาล แล้วชีวิตคุณจะรุ่งเรืองเจริญเติบโตโชติช่วงชัชวาลย์ในหน้าที่การงาน แต่ปรากฏว่าเมื่อก่อนที่บ้านเป็นทาวน์เฮาส์ ถ้าเลี้ยวขวาแล้วทางมันตัน เราก็ต้องเลี้ยวขวาไปทำงานทุกวัน แล้วค่อยเลี้ยวยูเทิร์นกลับรถ ชาวบ้านแถวนั้นสงสัย มาดักถามว่า ทำไมคุณไม่เลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่ไปเลยล่ะ ง่ายดี เลี้ยวขวามาสุดซอยทำไมให้หมามันเห่าตอนเช้าทุกวัน (หัวเราะ)เราก็บอกว่าหมอดูเขาบอกมาถ้าเลี้ยวขวาแล้วชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรือง ไม่มีตก นี่ยังบอกให้ไปเปลี่ยนชื่ออีก เพราะชื่อมันแข็งไปนะตั้งแต่เราก็มานั่งคิดดูว่าเราจะทำอย่างนี้ต่อไปอีกหรือไม่ เพราะชีวิตก็เหมือนเดิม ตั้งแต่นั้นมาก็เลยไม่เชื่อหมอดูอีก เลี้ยวซ้ายผ่านตลอด ชื่อก็ยังคงเดิม ชีวิตก็ยังดีขึ้นเรื่อยๆ”

 

เร่เข้ามาในโลกพีอาร์

“การดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน เราต้องดำเนินชีวิตที่เป็นตัวของตัวเองด้วยความขยัน ใส่ใจในความรู้สึกของคนอื่น แล้วเก็บข้อผิดพลาดทุกอย่างมาเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้ผิดซ้ำในเรื่องเดิมๆ อีก ประสบการณ์หมายถึงข้อผิดพลาด บวกกับกาลเวลา บวกกับการพิจารณา ไม่ผิดซ้ำในเรื่องเดิมๆ มีผลเท่ากับประสบการณ์ แต่บางคนผิดซ้ำผิดซากผิดเรื่องเดิมๆ ผิดมากกว่า 3 ครั้ง บอกอย่างนี้ก็ผิดอีก ไม่ได้ใส่ใจ พูดแล้วก็ผิดอีก สอนแล้วสอนอีก ก็จะอยู่ตรงนั้นอย่างกลัวๆ เหมือนกับดอกบัว ดั่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าบัวมี3 ระดับ บัวเหนือน้ำ บัวปริ่มน้ำและบัวใต้น้ำ พวกนี้เหมือนกับบัวที่ถูกหินทับไว้ในโคลนตม ไม่ได้ผุดไม่ได้โผล่ รับไม่ได้จริงๆ

 

“คนทำงานบางคนพูดเก่งมาก เป็นคนที่ฉลาด ทำงานมานานเป็นสิบๆ ปีใช่ว่าจะประสบผลสำเร็จทุกคนเสมอไป อาจเป็นเพราะเรื่องไม่รักษาสุขภาพ สูบบุหรี่จัดมีปัญหากับชีวิตส่วนตัวมากมาย อยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นแรมปีไม่มีเปลี่ยนแปลง เรียนจบมา เมื่อยี่สิบปีก็อยู่อย่างไงก็อยู่อย่างนั้นไม่เคยศึกษาเพิ่มเติมและพัฒนาความรู้ให้เข้ายุคเข้าสมัยในปัจจุบัน ว่าโลกเค้าไปถึงไหนกันแล้วเหมือนพนักงานบางคนที่เป็นวัชพืชที่มาแย่งปุ๋ย แย่งน้ำของต้นไม้ที่กำลังออกดอกออกผล เป็นวัชพืชขององค์กร เหมือนกับต้นไม้ที่ตายไปแล้ว แล้วบางคนยังคิดอีกว่าทำงานอยู่ไปวันๆ เดี๋ยวก็เกษียณแล้ว แบบนี้เขาไม่ได้คิดพัฒนาตัวเอง เรามักจะได้ยินเสมอว่า ทำมากไปทำไม เงินเดือนก็ได้แค่นี้ ไม่รู้โบนัสจะได้หรือเปล่า นั่งบ่นถึงชะตาชีวิต ชะตากรรมของตัวเอง แต่เราจะสอนลูกน้องเสมอเลยว่า เราจะต้องทำงานเยอะๆ ขยันหมั่นเพียรยิ่งทำมาก ยิ่งมีประสบการณ์ ห้ามหยุดในการพัฒนาตนเอง

 

“วิชั่นคนเรามันจะโตได้เมื่อกาลเวลาผ่านไป ต้องเริ่มจากการหัดสังเกต มันจะเพิ่มสติปัญญาอย่างมีวิสัยทัศน์ อย่างเช่น มีเจ้านายเป็นฝรั่งรุ่นพี่บอกว่า ลูกน้องบางคนทำตามคำสั่งทุกอย่าง เธอมีอะไรเธอต้องส่งให้เจ้านายดูให้หมดพนักงานบางคนก็ซื่อสัตย์สุจริตทำตามคำบอกเพราะเค้าเป็นนายเธอจึงส่งให้นายดูหมดทุกอย่าง รวมทั้งเอกสารที่เป็นภาษาไทย แทนที่จะแปลให้ก่อน ใครจะไปอ่านออก เพราะคนบางคนไม่มีแรงต้านทานที่จะมีความคิดได้เอง มีเหตุผลที่จะมาปะทะ เพราะเด็กไม่มีแรงต้านทานที่จะมีความคิด มีเหตุผลที่จะมาปะทะ ระบบการต่อรอง นายฝรั่งก็อ่านภาษาไทยไม่ออก เพราะฉะนั้นเราก็ต้องแปลให้เขาอ่าน ถึงแม้สติปัญญาเด็กอาจฉลาดก็จริง แต่วิสัยทัศน์ของเด็กก็ยังต้องมีด้วย

 

“หากจะมองวงการประชาสัมพันธ์โรงแรมในยุคอดีตนั้น คุณสมบัติแรกต้องสวย มีนามสกุลดังๆ เป็นลูกผู้หลักผู้ใหญ่ มีบุคลิกเป็นเลิศ มีมนุษยสัมพันธ์ดี เป็นนางงาม เป็นดารา เป็นระดับนางสาวไทย หุ่นต้องเหมือนนางงามหรือนางแบบถึงจะเป็นพีอาร์ได้ ตอนนั้นเราเลือกเรียนคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ วิชาโท วรรณกรรม มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะเมื่อก่อนไม่มีคณะนิเทศศาสตร์ ก็เรียนทางด้านภาษา วรรณกรรม มันไม่ใช่วิชาชีพเฉพาะ อย่างบัญชี พยาบาล หมอ ครู หรือทนายความ วิชาชีพมันยังไม่ชัดเจน ก็เลยไปเรียนต่อที่วิทยาลัย YWCA เพิ่มเติมด้านเลขานุการ ซึ่งเป็นอาชีพที่เคยคิดไว้ตั้งแต่แรกว่าอยากทำ จบแล้วจึงไปทำงานเลขาที่เอเจนซี่โฆษณา แล้วก็ไปทำงานที่ฟิลิปปินส์อยู่พักหนึ่ง เป็นงานบริษัททัวร์ พอกลับมาก็มาเป็นเลขานุการผู้จัดการใหญ่ที่โรงแรมวงศ์อมาตย์ ซึ่งตอนนี้เป็นของเครือเซ็นทรัล เป็นเลขาให้กับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรม

 

“ต่อมาก็เริ่มทำงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่โรงแรมในเครือเซ็นทรัลและมาอยู่ในเครือฮอลิเดย์อินน์ เวิลด์ไวด์ อยู่ 13 ปี คือโรงแรมฮอลิเดย์ อิน คราวน์พลาซ่าและต่อมาก็ย้ายมาที่ โรงแรมแรมแบรนดท์และมาทำที่แกรนด์สุขุมวิทโซฟิเทล อีกสามปี เพราะฉะนั้นการทำงานทุกครั้ง ต้องคิดเรื่องการตลาดควบคู่ไปด้วยมันถึงจะประสบผลสำเร็จ

 

“พีอาร์ถูกฝึกมามีหน้าที่เหมือนนักยุทธศาสตร์ในการทำงานให้องค์กรให้ไปถึงจุดหมาย ทำให้เกิด Brand Value จากTrademark ของผลิตภัณฑ์ให้กลายเป็น Lovemark ในใจของผู้บริโภคให้ได้ ต้องสร้างแบรนด์สร้างภาพลักษณ์ พีอาร์คนนั้นต้องทำตัวให้มีคุณค่า ต้องผันตัวเองมาทำมาร์เกตติ้งคอมมูนิเคชั่น ต้องมีพาร์ทเนอร์ชิพ รู้จักใช้คำว่ามิตรภาพและสายสัมพันธ์ไม่ใช่เราทำงานแบบโดดเดี่ยวคนเดียว เราต้องมีคอนเน็คชั่น มีสายสัมพันธ์ที่ดี สิ่งที่เป็นคุณสมบัติของพีอาร์คนนั้นๆ ต้องมีผู้ให้การสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา

 

“การมีมนุษยสัมพันธ์กับผู้ร่วมงานด้วยกันกับเจ้านาย กับลูกค้า กับสื่อมวลชน เราจะทำงานง่ายขึ้น แล้วบวกกับทักษะที่เรามีอยู่มันก็จะทำให้งานนั้นประสบผลสำเร็จ ตราบใดที่คุณมีคุณสมบัติของการทำพีอาร์นั่นคือบุคลิกภาพ ภาษาอังกฤษต้องใช้ที่จะทำงานสื่อสารได้ ไม่ใช่ว่าเวลาพูดต้องมีคนเดินตามมาแปล พิมพ์ดีดเองได้ ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เก่งเรื่องคอมพิวเตอร์ เขียนเป็นข่าวส่งฉบับไหน ฉบับภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ต้องการภาพขนาดไหนทำได้หมด รู้จักแยกแยะว่าหนังสือแบบไหนชอบข่าวแบบไหน สมัยนี้กับสมัยก่อนย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สมัยเมื่อ 20 ปีก่อน โรงแรมระดับ 5 ดาวมีน้อย คู่แข่งไม่ค่อยมี ร้านอาหารเดี่ยวๆ ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่ากับร้านอาหารในโรงแรมระดับ 5 ดาว

 

“สิ่งสำคัญของคนเป็นพีอาร์ คือ ต้องมีบุคลิกภาพที่ชอบออกสังคมพบปะผู้คน ต้องกล้าแสดงออกเรียนรู้พัฒนาตนเองตลอดเวลามีความเป็นนักการทูต มีอีคิวสูง ต้องติดตามข่าวสารทั้งในและต่างประเทศ มีทักษะเกี่ยวกับโลกเทคโนโลยีการสื่อสารที่ดี และที่สำคัญต้องรักงานที่ทำและ รักองค์กรรวมถึงพร้อมที่จะปกป้ององค์กรได้ทุกเมื่อและมีความคิดในด้านช่วยเหลือประเทศชาติเป็นส่วนรวมให้อยู่อย่างสันติสุขและปลอดภัย ในขณะเดียวกันสิ่งที่ถือว่าเป็นความท้าทายสำหรับงานประชาสัมพันธ์ในปัจจุบันคือการเลือกใช้เครื่องมือการสื่อสารทางการตลาดใหม่ๆ

 

“วิสัยทัศน์ของคนต้องมีตั้งแต่เกิด เป็นคุณสมบัติภายในตัว ต้องมีทักษะทุ่มเทเสียสละแล้วในที่สุดเราจะเรายังยืนหยัดทำงานได้อาจจะมากกว่า 60 ปีก็ได้ โดยเฉพาะความมีน้ำใจ มารยาท กาลเทศะ การแต่งเนื้อแต่งตัว การไปงานสถานที่ต่างๆ เสื้อ ผ้า หน้าผม บุคลิกต้องดี มีความรอบคอบ มีมารยาทในสังคม มีความรับผิดชอบในเรื่องการนัดหมายและ สัญญาต่างๆและมีจรรยาบรรณในการทำงาน

 

“สมัยก่อนไม่มีคู่แข่งมากมายขนาดนี้ การทำพีอาร์จึงยากขึ้น เพราะคู่แข่งเยอะ ยุคนี้ต้องตามเด็กรุ่นใหม่ให้ทัน ถ้าตามไม่ทันหากคุณไม่รู้จักปรับเปลี่ยน ต้องมีลูกล่อลูกชน มีความเป็นครีเอทีฟ มีไอเดียเพิ่มขึ้น มีการพัฒนาตัวเอง การทำพีอาร์ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ พีอาร์เป็นแก่นของ CRM ตัวพีอาร์ต้องทำงานประสาน CRM ให้ได้ เครื่องมือทางการตลาดใหม่ๆ พีอาร์ต้องใช้ให้เป็น ไม่ใช่แต่วิเคราะห์ข่าว เขียนข่าว ส่งข่าว แจกข่าว แต่มันมากไปกว่านั้น กลยุทธ์ที่ต้องทำคือกระบวนการของงานพีอาร์ต้องต่อยอดงานของด้านการตลาด งานมีเดียแพลน งานโฆษณาให้ได้”

 

ซื่อสัตย์รักองค์กร

“การเป็นพีอาร์ต้องมีกระบวนการคิด รู้จักการสร้างทีมเวิร์ก ทำงานเป็นทีม มีศิลปะในการเลือกคนมาทำงานกับเรา การสร้างความรักในองค์กรในตามคำนองครองธรรม ซึ่งจะทำให้เราทำงานอย่างเต็มที่เหมือนองค์กรเป็นของพ่อของแม่เรา จะต้องมีส่วนของการบริหาร ไม่ใช่ว่าอยู่อย่างโดดเดี่ยว อยู่คนละส่วน อย่างวันนี้มีวีไอพีคนไหนเข้ามาที่โรงแรม ใครเป็นใคร ใครสำคัญมาก สำคัญน้อยแค่ไหน งานนี้ควรอยู่ดึก พรุ่งนี้มาสายได้ หูต้องเป็นเรดาร์ รู้ว่าชาวบ้านเขาทำอะไรกัน สายตามีความรอบคอบ อย่างเช่น เขาปิดซอย วางท่อ ร้อยสายไฟ เดินท่อประปาหน้าโรงแรม แต่ดันมาจัดงานเทศกาล อาหาร โฆษณาประชาสัมพันธ์ไปเต็มที่ แต่ลูกค้าไม่สามารถที่จะเดินทางเข้ามาในถนนได้ เราต้องอ่านหนังสือพิมพ์ ดูข่าว หูต้องเป็นเรดาร์ ตาต้องเป็นเลนส์ จมูกต้องเป็นจมูกมด ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร คู่แข่งเป็นอย่างไร ต้องรู้หมด

 

“การสื่อสารก็มีความสำคัญ คำพูดก็ต้องกลั่นกรองจากวาจา พูดดีๆ แต่ถ้าพูดผิดหูนิดหนึ่ง ความหมายผิดเพี้ยนไปเลย ไม่ว่าจะเขียนคำว่า ‘และ’ ‘เป็น’ ‘โดย’ เราต้องไม่สะเพร่า เท้าต้องใส่สเก็ต ต้องรวดเร็ว ไม่อืดอาด ยุคนี้ต้องเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมงนัดกับใครต้องไปตามนัด ต้องรักษาคำพูด ต้องโฟกัสกับคนที่เรากำลังพูดด้วย เราคุยเรื่องอะไรให้ควรให้ความสำคัญในด้านการสื่อสาร พยายามหลีกเลี่ยงการคบหาสมาคมกับคนที่ไม่จริงใจที่ทำให้เราเสียชื่อเสียง

 

“เรามีศักดิ์ศรีได้ แต่ต้องใช้ให้เป็น ต้องมีสติและให้ได้สมดุลกัน ใจต้องมีใจเดียว รักองค์กรซื่อสัตย์กับองค์กร และมีความรับผิดชอบต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม หากเราคิดว่าองค์กรที่เราทำเป็นเสมือนของเราแล้ว ชีวิตเราจะมีความสุข มันจะย้อนกลับมาในที่สุด และก็จะประสบผลสำเร็จได้ ยังผลให้สุขภาพทั้งภายในและภายนอกดีอีกด้วย

 

“การประสบผลสำเร็จไม่ใช่ได้แค่แก้ว แหวน เงิน ทอง มากองอยู่ตรงหน้า นิ้วมือ 10 นิ้ว อย่างมากก็ใส่แหวนได้ 2 วง พองามคอมีคอเดียว ก็เพื่อใส่สายสร้อย จะเอาอะไรกันหนักกันหนา (หัวเราะ) อยู่ที่คุณต้องมีไลฟ์สไตล์ มีรสนิยมรู้จักคอมมูนิเคชั่น คนไม่สวย ถ้ารู้จักการแต่งเนื้อแต่งตัว การรักษาใบหน้าให้สะอาด รักษารูปร่างให้ดีก็พอแล้ว เดี๋ยวนี้วิวัฒนาการทางการแพทย์มันก้าวหน้าไปไกลมาก

 

“ในยุคนี้ เบบี้บูมเมอร์ คนมีอายุมากๆ ทำงานมานาน จะทำอย่างไรให้อยู่รอด และอยู่เคียงคู่กับเด็ก เจนเนอเรชั่นใหม่ อาจถึงลูกถึงหลาน คุณจะทำงานอย่างไรให้เคียงคู่กับเขา เด็กเองก็ต้องมาเรียนรู้ จากความละเอียดรอบครอบ จากประสบการณ์ของผู้ใหญ่โดยฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เราก็ต้องเรียนรู้ ส่วนคนยุคเก่า เทคโนโลยีใหม่ๆ จากเด็ก บางครั้งเราต้องให้เด็กสอนด้วย อย่าไปเบื่อ เข้าอินเทอร์เน็ตได้ ติดต่อสื่อสารได้ทางอีเมล อย่ามีอาการเบื่อหน่าย อย่ามีอาการหง่อมอยู่กับบ้าน คุณต้องตามเทคโนโลยี ให้ทัน หากตามเด็กไม่ทัน ฝ่ายที่จะมาจ้างเรา ก็ถามว่าจ้างไปทำไม จ้างมาเป็นปุ๋ยเหรอ (หัวเราะ) เขาจะรังเกียจเรื่องอายุมากๆ จะทำอย่างไรให้เราสุขภาพแข็งแรง ความคิดบรรเจิด พัฒนาสมอง ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ทุกวันนี้เราก็ยังเรียนอยู่มีที่ไหนเปิดสอนคอร์ดต่างๆ ก็เข้าเรียนหมด ในด้านการทำงานที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพประจำวันของเรา เรียนเพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราให้ทันสมัยทันเหตุการณ์”

 

ศรัทธา & เชื่อมั่น

“ทุกวันนี้ยังตรวจสุขภาพตามปรกติ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์และออกกำลังกายอยู่เสมอ มองโลกในแง่ดี มีเพื่อนดีๆ อยู่รอบตัว จะมีเพื่อนผู้หญิงเยอะ ผู้หญิงที่ไปเที่ยวด้วยจะเป็นโสดหมด ไปไหนมาไหนด้วยกัน สะดวก ไม่ต้องขออนุญาตสามี ไม่ต้องมาดูลูก

 

“ผู้ชายในสเปกจริงๆ ก็ไม่ต้องหล่อมาก แต่ต้องเท่ สไตล์อาร์ตติส ต้องให้อภัยเรา มีอารมณ์ขันนำ ต้องตลกแล้วก็น่ารัก คุยอะไรก็ได้ สนุกสนานหมด สไตล์เพื่อน ไม่ใช่สไตล์ผู้นำครอบครัว ชอบผู้ชายสไตล์เพื่อน คบกันแล้วสนุกแล้วคนพวกนี้มีรสนิยมดีไปหมด คุยสนุก เท่ ไปไหนไปกัน

 

“ทุกวันนี้มีความสุขกับเพื่อนๆ งานอดิเรกจะชอบการวาดรูป ไปปิกนิกก็จะนัดเพื่อนฝูงที่สนิทสนมไปทานข้าวนอกบ้าน เที่ยวต่างจังหวัด ทานข้าวกับพี่น้องบ้าง แล้วตอนนี้ก็เรียนวาดรูปอยู่กับอาจารย์ Russell Fadavi ชาวอิหร่านที่เรสซิเด้น อาร์ทสตูดิโอ แต่ก่อนจะเขียนแนวแลนด์สเค็ป เป็นสีน้ำ แต่ตอนนี้เป็นแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ ตอนนี้ก็ทำงานใกล้ๆ กับบ้านที่ The Oasis Spa Thailand ย่านสุขุมวิท 31 แค่นี้ชีวิตก็มีความสุขแล้ว

 

“เราโชคดีที่เจอ CEO ดี ฝ่ายบริหารดี เข้าใจงานพีอาร์ เราก็จะพากันไปโรจน์รุ่งโชติช่วง เขาให้ความไว้วางใจเรา เขามีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวเรา ตราบใดที่เขาให้เกียรติเราก็เหมือนทำงานกับครอบครัว ทำงานอะไรก็ตาม คุณเจอลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานและเจ้านายในยุคนี้ที่เข้ากันได้จะดีมาก เราไม่อยากใช้คำว่าลูกจ้างหรือลูกน้องเลย เราจะเป็นที่ปรึกษาที่ดี ถ้าความเชื่อของคนๆ นั้นที่ดีอยู่แล้ว ให้ความเลื่อมใสศรัทธาในตัวเขา เชื่อถือเขา เดินกันมาคนละครึ่งทาง เป็นพาร์ตเนอร์กัน มันจะทำงานได้สวยงาม คุณปล่อยเขาเลย คุณต้องให้เกียรติคนเก่ง

 

“เราต้องคิดเผื่อไว้หมด เราต้องบริหารการคิดบวก เอาใจเขามาใส่ใจเรา เราก็จะชิน พอชินแล้ว มันจะเข้าไปในสายเลือดเลยเหมือนกับการสื่อสารที่ดีคือศิลปะของการสนทนา นอกจากถ้อยคำ สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุลแล้ว เราต้องระมัดระวัง อวัจนภาษาที่ไม่มีถ้อยคำ ประกอบไปด้วย การควบคุมท่ายืน ท่านั่ง ความคุมกิริยาทุกอย่าง ให้ดูดีมีมารยาทและมีความสง่างาม

 

“ส่วนที่บอกว่าในแวดวงสังคมเขาตั้งให้เป็นไฮโซนั้นก็ไม่มีใครตั้งให้หรอก มีแต่เขาตั้งว่าเป็นเจ้าแม่พีอาร์เพราะเราทำอาชีพนี้มานาน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คงเป็นการเข้าใจผิดมากกว่า คำว่าไฮโซ สำหรับเราคงไม่ใช่ เพราะเราเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เขาเลยเหมาเอาหมดกระมัง ไม่รู้ว่าจะแยกแยะอย่างไร เอาเป็นว่าเราไม่ใช่ไฮโซ แต่มีคนรู้จักเยอะก็แล้วกัน เขาคงเคยเห็นเราตามหนังสือ ตามสื่อต่างๆ เพราะมันเป็นอาชีพเรา

 

“กับบทบาททุกวันนี้ ใครให้เราทำงานอะไรเกี่ยวกับงานสังคม เราก็จะพิจารณาแยกแยะเวลามากขึ้น เพราะเราแบ่งเวลาเป็น พร้อมกับหมั่นฟูมฟักมิตรภาพที่มีอยู่นั้นให้งอกงามเจริญเติบโตขึ้น และบำรุงรักษาน้ำใจกันให้มากขึ้น โดยรู้จักคำว่าให้มากกว่ารับ ด้วยความเต็มใจยินดี มองเพื่อนในแง่บวก พยายามให้อภัย คบกันอย่างมีเหตุผล เพื่อโลกนี้จะได้น่าอยู่ขึ้น ไม่ต้องเครียดมาก โลกทุกวันนี้วุ่นวายอยู่แล้วทุกยุคทุกสมัย เหตุผลมาจากคนขาดมิตรภาพที่ดีต่อกัน คอยจับผิดกัน คอยให้ร้ายต่อกัน คอยหาเรื่องกันไม่เอื้ออาทรต่อกัน ถ้าเราช่วยเหลือกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ประเทศชาติและคนทั้งโลกคงจะมีความสงบสุขอย่างที่ต้องการซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ทุกคน”

หากเอ่ยชื่อ “เอิร์ธ สายสว่าง”