ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา บุรุษผู้ลุ่มลึก เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับตำนาน เป็นนักวิชาการระดับหัวกะทิของเมืองไทยที่ดังไปไกล ทั่วโลกให้การยอมรับในฐานะที่ได้พัฒนาวงการวิทยาศาสตร์นำความรู้จากแหล่งอารยธรรมยุโรป-อเมริกามาเผยแพร่ เป็นผู้เชี่ยวชาญหลายโครงทางวิทยาศาสตร์ มีความสนใจในพระพุทธศาสนาจนแตกฉาน เริ่มฝึกหัดการนั่งสมาธิด้วยตนเองจนได้ญาณพิเศษ มีผลงานการวิจัยเกี่ยวกับคลื่นไมโครเวฟ และเมื่อศึกษาระดับปริญญาเอกจบจึงเดินทางกลับมาเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยู่หลายปี จากนั้นก็ลาออกมาประกอบธุรกิจและลงเล่นการเมือง ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง ก่อนที่จะปลีกวิเวกไปตั้งโรงเรียนสัตยาไส ครั้งหนึ่งเขาเคยสอนนักศึกษาให้แผ่เมตตาให้กับต้นไม้ จนสื่อมวลชนในสมัยนั้นพาดหัวข่าวว่า “ดอกเตอร์สติเฟื่อง”

 

ข่าวที่สร้างความฮือฮาก็คือเมื่อเขาฉายแววอัจฉริยะภาพข้ามโลก ด้วยการเป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ชาติที่ประดิษฐ์คิดค้นสร้างต้นแบบระบบลงจอดของยานอวกาศไวกิ้งที่ควบคุมยานอวกาศให้ร่อนลงไปโดยอัตโนมัติสู่พื้นดินบนดาวอังคาร และสามารถส่งข้อมูลกลับมายังโลกของเราได้ประสบผลสำเร็จ เขาหันหลังให้กับเงินเดือน 7 หลักที่องค์การนาซาเสนอว่าจ้างให้เป็นนักวิจัยด้านการพัฒนายานอวกาศ ด้วยการปฏิเสธอย่างสุภาพว่า ต้องการไปสอนลูกศิษย์ที่บ้านเกิด

 

แต่ชีวิตหาได้สบายอย่างที่คิด เมื่อกลับมาเมืองไทยเขากลับถูกหน่วยสืบราชการลับอเมริกาตามประกบ ด้วยเกรงว่าจะเผยความลับระดับสุดยอดนวัตกรรมชั้นสูงขององค์การนาซา ต่อมามีหน่วยสืบราชการลับประเทศอื่นมาติดต่อข้อมูลด้วยการเสนอเงินก้อนโต แต่ก็รอดมาได้

 

ดูเหมือนเขาจะเป็นคนแปลกแยกแตกต่างจากบุคคลอื่นทั่วไปที่ออกมาระบุว่าภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้โลกจะถึงขั้นวิกฤติ พายุถล่ม หิมะตกหนัก ดินฟ้าอากาศทั่วโลกจะแปรปรวน ทะเลจะกลืนโลกแม้กระทั่งพี่ใหญ่อย่างอเมริกาก็ปริ่มๆ อยู่บนขอบแห่งหายนะ ตามที่นิตยสารไทม์เคยระบุไว้ว่าประเทศใหญ่ๆ ในแถบภูมิภาคเอเชียจะกลายเป็นเมืองบาดาล บางประเทศจะถูกลบชื่อออกจากแผนที่โลก ตราบใดที่มนุษย์ยังรบราฆ่าฟัน ผลาญพลังงานมหาศาล กอปรกับสภาวะโลกร้อนจะทวีคูณอุบัติขึ้น คลื่นยักษ์สึนามิจะถาโถม เปลือกโลกจะแยกตัว ขั้วโลกน้ำแข็งละลายกลืนกินผืนพสุธา จะถึงกาลอวสานของโลกอันเป็นวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิด ตามกฎแห่งกรรม จะกลับสู่ยุคพระศรีอาริย์ ยุคที่ทุกคนกลายเป็นนักบุญกันหมดในโลกนี้

 

ดอกเตอร์ที่บางคนว่าเพี้ยนท่านนี้เป็นใคร ทำไมถึงกล้าเยี่ยงนี้ เราจะเดินทางตามฝันไปด้วยกันเพื่อค้นหาตัวตน และความคิดหลากมิติของเขากัน

 

นิ่งสงบ...สยบความเคลื่อนไหว 

 ท่ามกลางขุนเขาเขียวขจี ท้องทุ่งธรรมชาติแวดล้อมรอบด้วยแม่น้ำป่าสัก เหนือเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ โครงการพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยังมีโรงเรียนประจำที่ห่างไกลความเจริญแฝงตัวตั้งอยู่ชายขอบ ณ ตำบลลำนารายณ์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี เขตติดต่อภาคอีสานตอนล่าง ในนามโรงเรียนสัตยาไส ที่ตั้งมาเกือบ 20 ปี ตามแนวท่านสัตยาไสบาบาอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในอินเดีย ผู้ที่หลายคนเชื่อว่ามีญาณทิพย์และสนิทสนมคุ้นเคยกับอาจารย์
อาจอง ท่านได้สอนธรรมะแล้วบอกกับเขาว่าชีวิตที่เหลือขอให้หันมาสนใจช่วยเหลือเด็กในด้านการศึกษา เขาจึงใช้ชีวิตความเป็นอยู่อย่างสงบตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง พึ่งตัวเองให้มาก ภายในโรงเรียนพื้นที่ทั้งหมด 300 ไร่ จึงมีการใช้แผงโซลาร์เซลล์ผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ใช้พลังงานลม พลังงานจากขยะ ผืนพื้นดินแบ่งเป็นแปลงๆ ให้เด็กดำนา ปลูกข้าวเองปลูกพืชผักสวนครัวทุกอย่างเพื่อนำมาเป็นอาหารมังสวิรัติ ประหยัดในทุกด้าน ปลูกปาล์ม ปลูกกระเจี๊ยบ นำเมล็ดกระเจี๊ยบมาใช้ทดแทนพลังเชื้อเพลิง และผลิตไบโอดีเซลด้วยการนำน้ำมันพืชที่ใช้แล้วมาทดแทนน้ำมันดีเซล ผลิตสบู่ดำ ยาสระผม น้ำยาล้างจานจากสมุนไพร ฯลฯ ออกนำจำหน่ายเพื่อลดค่าใช้จ่ายใช้และลดภาระโลกร้อนอีกด้วย

 

ดร.อาจอง ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนพร่ำสอนสานุศิษย์ให้เป็นคนดี สร้างภูมิคุ้มกันหลังเด็กจบออกไปเพื่อไม่ให้พวกเขาหลงทาง ตามทฤษฏีคุณธรรมนำความรู้ ที่นี่เป็นโรงเรียนประจำ สอนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นการศึกษาแบบให้เปล่า และยังพร้อมนำทฤษฏีเหล่านั้นไปให้คนอื่นได้รู้เพื่อนำเอาไปใช้ด้วยการอบรมครูโรงเรียนต่างๆ ช่วยกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ในอนาคตอันใกล้จะเปิดระดับมหาวิทยาลัยขึ้นที่นี่ เพื่อสอนครูระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก

 

เราเริ่มคำถามแรกว่าเป็นความบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจในการก้าวมาเป็นนักวิทยาศาสตร์จนประสบผลสำเร็จและได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติอย่างทุกวันนี้

 

“ผมไม่เคยตั้งใจที่จะมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ชีวิตเริ่มเปลี่ยนเมื่อตอนอายุ 15 ปี ผมคิดอยู่เสมอว่าหน้าที่ของผม มันไม่ใช่ที่จะมาร่ำรวยอะไรหรือต้องไปทำธุรกิจใหญ่โต ตลอดเวลาก็คิดว่าเราจะต้องช่วยเหลือคนอื่น ทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม เริ่มคิดเรื่องของการศึกษา แต่ตอนนั้นอายุเพิ่งจะ 14-15 ปี เรียนโรงเรียนประจำอยู่ที่ประเทศอังกฤษ คุณพ่อคุณแม่อยู่ที่ประเทศไทย ก็ยังไม่มั่นใจนัก จึงมานั่งพิจารณาตัวเองว่าในการช่วยเหลือคนอื่น เราจะคิดสตางค์ใครไม่ได้ เราต้องให้เปล่า เพราะฉะนั้นเราต้องมีอาชีพที่จะต้องมีรายได้ เพื่อเราจะได้ช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราจะได้ไม่ต้องไปขอสตางค์จากใคร ก็เลยคิดว่าเราจะทำงานทางด้านไหนดี

 

“แต่พออายุ 16 ปี เราสามารถเรียนได้ทุกสาขาวิชา จากการเรียนได้อันดับสุดท้าย เมื่ออายุ 14 กลับมาสอบได้ที่ 1 ในทุกวิชามันมีเหตุการณ์บางประการที่ทำให้ต้องเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง จากเด็กที่เกเรมาก ชอบชกต่อย ชอบอาละวาด เป็นคนอารมณ์รุนแรง แล้วมันก็เกิดเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะมหัศจรรย์กับตัวเอง ตอนนั้นผมนอนอยู่ในห้องนอนรวม 50 คน เป็นหอพัก อยู่ๆ วันหนึ่งก็ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก เมื่อมีแสงสว่างจ้าไปทั่วห้อง เพื่อนๆ หลับกันหมด ผมได้ยินเสียงคุยกับผมอยู่ เสียงนั้นแค่เรียกชื่อผม 3 ครั้งว่า ‘อาจอง...อาจอง...อาจอง...ทำไมถึงทำอย่างนี้’

 

“เสร็จแล้ววันรุ่งขึ้นเวลาเดียวกัน กลางดึกผมก็ตกใจตื่นขึ้นมาอีก เป็นเหตุการณ์เหมือนกัน มีแสงสว่างจ้า มาพูดกับผม เรียกชื่อผม3 ครั้งถามว่า ‘ทำไมถึงทำอย่างนี้’ ครั้งที่ 2 ผมก็คิดว่าเป็นผีอีก ก็ไม่สนใจนอนหลับอีก พอคืนที่ 3 ก็เกิดขึ้นอีก 3 คืนติดๆ กันคราวนี้นอนไม่หลับ มานั่งคิดว่ามันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร สาเหตุมาจากไหน คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเราเป็นคนเกเร ชอบชกต่อยอาละวาดหาเรื่อง อาจเป็นเพราะเหตุนี้ว่าทำไมจึงมีคำถามว่า ทำไมถึงทำอย่างนี้ ก็เลยคิดว่าเราต้องเปลี่ยนตัวเอง

 

“แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนตัวเองอย่างไร จึงไปหารือกับบาทหลวงนักบวชในศาสนาคริสต์ ท่านก็ดีใจที่ผมไปพบ ท่านบอกให้ไปศึกษาพระคัมภีร์ ผมก็ไปศึกษาพระคัมภีร์

 

“จนกระทั่งวันหนึ่งท่านสอนเกี่ยวกับการสวดมนต์ ท่านบอกว่าเมื่อสวดมนต์จะต้องมาเปล่งเสียงพร้อมกัน เข้ามาอยู่ในโบสถ์พร้อมกัน ผมก็บอกกับท่านว่ามันไม่จำเป็น เราสวดมนต์ในมุมเงียบๆ ในห้องของเราก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปสวดมนต์ในโบสถ์ เราอยู่ในห้องน้ำก็อธิฐานได้ คำพูดอันนี้โดนใจ ทำให้ท่านโกรธผมมาก ท่านไล่ผมออกจากห้อง ผมตกใจมาก ผมเดินออกจากห้อง น้ำตาไหลพราก ไม่คิดว่าท่านจะโกรธ เพราะประเทศอังกฤษนั้นมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกันมาก ผมจึงไปหาอาจารย์ใหญ่ท่านบอกให้เราใจเย็นๆ เดี๋ยวพอใจเย็นแล้วและบาทหลวงใจเย็นลง ก็มาพูดกันใหม่ ในช่วงนี้ให้เธอศึกษาโดยเข้าห้องสมุด ศึกษาด้วยตัวเอง

 

“ผมบอกกับตัวเองว่า เราเกิดเป็นชาวพุทธน่าจะมีอะไรดีๆ ทางพุทธศาสนาบ้าง ก็เลยไปค้นหนังสือ ไปเจอบทความเกี่ยวกับการฝึกนั่งสมาธิ รู้สึกว่าใช่เลย นี่แหละสิ่งที่เราต้องการ พออ่านแล้วมันประทับใจมาก ก็เลยเริ่มฝึกสมาธิตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พอฝึกไปวันละครึ่งชั่วโมง ฝึกไปได้หนึ่งเดือน ก็รู้สึกนิ่งสงบ สบาย จากนั้นชีวิตก็เปลี่ยนเป็นคนใจเย็น มีความรู้เกิดขึ้น”

 

ดอกเตอร์สติเฟื่อง

“ในขณะเดียวกัน ผมก็เริ่มคิดหนักว่าอนาคตเราจะต้องทำอะไร ผมต้องการที่จะสอนธรรมะ ผมต้องการช่วยเหลือคน ให้คนที่ผมสอนมีความสุข ตอนนั้นผมเริ่มคิดเอง อธิฐานแบบแปลกๆ ในเรื่องของกรรมดี ว่าถ้าสวรรค์มีจริง ผมไม่อยากไป จึงอธิฐานขอให้ผมตกนรกเถอะ เหตุผลก็เพราะสวรรค์นั้นมีแต่คนดี เราไปช่วยเขาไม่ได้ แต่ในนรกนั้นมีแต่คนที่เขาทรมาน เจ็บปวด มีความทุกข์เขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา ผมก็บอกตัวเองเสมอว่า ผมไม่ไปหรอกสวรรค์ แต่จะขอตกนรกเพื่อเราจะได้ช่วยเหลือคนอื่นให้มากๆ

 

“เพราะฉะนั้นเราต้องตัดสินใจเลยว่าเราจะทำอย่างไร เราจะช่วยเหลือคนอื่นในโลกนี้ เราก็ต้องมีอาชีพหลัก อย่างน้อยก็ต้องเลี้ยงตัวเองได้ แล้วจึงจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้ อาชีพที่จะช่วยให้เรามีรายได้ ก็น่าจะเป็นทางด้านสายวิทยาศาสตร์

 

“ผมเคยคิดที่จะบวชก็พยายามอยู่หลายครั้ง เมื่อมีโอกาสกลับมาประเทศไทย ผมก็ขอคุณพ่อ คุณแม่บวช แต่ท่านรู้ ถ้าผมบวชแล้ว ผมจะบวชโดยไม่สึก ท่านก็บอกว่าอย่าเพิ่งเลย ให้คิดดูให้ดีๆ ก่อน เสร็จแล้ววันหนึ่ง ตอนอยู่ประเทศอังกฤษ ผมฝันกลางดึกว่าไปอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่มาก ใต้ต้นไม้นั้นมีนักบุญคนหนึ่ง ตัวอ้วนศีรษะล้าน ลักษณะแบบพระ นั่งอยู่ แล้วผมก็เข้าไปกราบท่าน คุยกับท่าน ท่านก็บอกเลยว่าในชีวิตนี้ของเจ้าไม่ใช่ชีวิตของนักบวช ชีวิตของเธอจะต้องอยู่ในสังคม จะต้องช่วยเหลือสังคม ทั้งหมดนี้จึงทำให้ผมตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของอังกฤษคือมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์

 

“การที่เราจะสอนคนอื่นทางด้านธรรมะ ถ้าเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผู้คนจะเชื่อถือเรามาก จะมีน้ำหนักมากกว่า เราพูดอย่างมีเหตุมีผล มีหลักฐานมากขึ้น นั่นคือพื้นฐานของผม พอผมร่ำเรียนจบออกมาแล้ว เผอิญตอนทำปริญญาเอก ผมไปรับทุนซึ่งเป็นทุนของรัฐบาลอังกฤษที่จะมีข้อตกลงกับรัฐบาลไทยว่า เมื่อจบมา ผมจะต้องกลับมารับราชการ ก็เลยกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ ตามที่ตกลงไว้กับทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

“ผมมาอยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ตอนที่เป็นอาจารย์ ผมก็พยายามที่จะสอนธรรมะตลอด ผมสอนเรื่องสมาธิ ผมเข้าไปช่วยเหลือชมรมพุทธศาสน์ ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการสอน สอนให้นิสิตนั่งสมาธิเป็นหลายคน พวกเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

 

 “อย่างเมื่อปี พ.ศ.2512 ที่ผมบอกเด็กว่า เรามาแผ่เมตตาให้กับต้นไม้กันเถอะ เด็กรุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะที่เรียนสายวิทยาศาสตร์เขาก็จะซักถามผมว่ามันเป็นไปได้อย่างไร ผมก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นเรามาทดลองพิสูจน์กัน เพราะความเมตตาเป็นพลังที่ละเอียดอ่อน เราจึงได้มีการทดลองแผ่เมตตาให้ต้นไม้ โดยคณะนิสิตและอาจารย์จุฬาฯ จากนั้นก็เอาดินมาผสมกันอย่างดี แล้วจึงแยกออกเป็น 2 แปลง นิสิตได้เพาะต้นดาวกระจาย จากเมล็ดและคัดเลือกต้นที่สูง 2 นิ้วเท่าๆ กันให้น้ำให้ปุ๋ย ให้อากาศ อุณหภูมิ ทุกสิ่งทุกอย่างเท่ากัน คณะนิสิตประมาณ 15 คนได้แผ่เมตตาให้แปลงหนึ่ง ส่วนอีกแปลงหนึ่งเป็นแปลงควบคุม ไม่มีการแผ่เมตตาให้ ปรากฏว่าแปลงที่ได้รับการแผ่เมตตาโตเร็วกว่า เริ่มออกดอกทุกต้น เมื่อวัดผลปรากฏว่าต้นที่ได้รับความเมตตาสูงกว่า 49.2%เมื่อเทียบกับแปลงควบคุมและมีดอกทุกต้น แต่แปลงควบคุมยังไม่มีดอกบานออกมาเลยสักต้น

 

“จากการทดลองในครั้งนั้น จึงเห็นว่า การแผ่เมตตาสามารถช่วยสิ่งมีชีวิตเติบโตได้ดีกว่า แต่ในขณะเดียวกัน คนที่ไม่เห็นด้วย ก็ไปปล่อยข่าวว่าผมสติไม่ค่อยดี ไปบอกกับทางหนังสือพิมพ์ แล้วหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เขาพาดหัวข่าวหน้า 1 ว่า ‘ดอกเตอร์หนุ่มจุฬาฯ สติเฟื่อง แผ่เมตตาให้ต้นไม้’ (หัวเราะ)”

 

เจาะไข่แดงองค์การนาซา

อาจารย์เป็นคนไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เคยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย เข้าไปทำงานในองค์การนาซา สหรัฐอเมริกา เพื่อไปพัฒนายานอวกาศ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยากมาก

 

“ตอนนั้นผมสอนอยู่ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ แต่พอเราสอนวิชาทางด้านวิศวฯ แป๊บเดียวรู้สึกว่า มันล้าสมัยแล้ว เพราะเทคโนโลยีมันก้าวหน้าพัฒนาไปเร็วมาก พอผมสอนไปได้ 2 ปีก็รู้สึกว่ามันฝืดๆ ไม่ทันสมัย ผมก็เลยตัดสินใจว่า อีก 2 ปีผมจะไปต่างประเทศ ไปดูงานไปศึกษางาน วิธีการศึกษาที่ดีที่สุดก็คือไปทำงานสัก 6-7 เดือน พอมีความรู้ ก็จะกลับมาสอน เพราะผมแค่ลาราชการไป

 

“ครั้งแรกที่ไป ยังไม่ได้ทำงานด้านองค์การนาซา แต่ได้งานสะดวกสบาย ทุกคนต้อนรับ เพราะเราได้รับปริญญาเอกทางด้านวิศวฯ ที่มีชื่อเสียง ครั้งแรกที่ไปปี ค.ศ.1968 ไม่มีปัญหาอะไร ได้เป็นวิศวกรออกแบบชิ้นส่วนทางด้านไมโครเวฟอยู่เพียง 6-7เดือน ก็กลับมาสอนนิสิต นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสอน อยู่ต่อมาอีก 2 ปี รู้สึกว่ามันฝืดๆ อีกแล้ว ก็เลยได้ไปอีก แต่ไปครั้งที่ 2มันไม่เหมือนกับครั้งแรก เศรษฐกิจในประเทศอเมริกา มันตกต่ำลงไป ผมไปหางานทำ ก็หาไม่ได้ ผมก็เลยลดตัวเองลงมา ไม่บอกเขาว่าเรามีปริญญาเอก เขาจะปฏิเสธหมด เพราะเงินเดือนมันสูง ผมก็เลยบอกว่ามีแค่ปริญญาตรี เป็นช่างธรรมดาก็พอ เขาก็เลยรับไว้ เป็นช่างทำงานในโรงงาน

 

“ทำไปทำมา เขารู้ว่าเรามีความรู้มากกว่าที่เราบอกเขา โดยดูจากการทำงาน เราทำอะไร เราทำได้ดีมาก มีองค์ความรู้ สามารถทำอะไรยากๆ บางอย่างได้ เขาจึงสงสัยว่าเราคงไม่ใช่เป็นช่างธรรมดา แต่เขาก็เลื่อนตำแหน่งให้เราขึ้นเป็นวิศวกรของบริษัทไมโครเมก้า ในที่สุดเขาจึงเลื่อนให้ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายไมโครเวฟในบริษัทนั้น แล้วตอนนั้นเองที่องค์การนาซา ประกาศเกี่ยวกับโครงการยานอวกาศขององค์การนาซาจะไปสำรวจดาวอังคาร ผมในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายไมโครเวฟ ผมก็เสนอโครงการเข้าไปว่าผมจะไปช่วยเขาทำการสำรวจ แต่พอเขารู้ว่าเราเป็นหัวหน้า เราเป็นคนไทย เขาจึงปฏิเสธไม่รับเราเข้าทำงาน เพราะว่ามันเป็นความลับทางเทคโนโลยี ของประเทศสหรัฐฯ แล้วเขาก็ไม่ต้องการให้คนต่างชาติไปทำงาน

 

“เสร็จแล้วผมจึงศึกษาดูกฎหมายซึ่งเป็นช่องว่างที่เขาจะรับได้ในกรณีเดียวก็คือ กรณีที่ชาวอเมริกาทำอะไรไม่สำเร็จ ทำไม่ได้ทั้งนี้ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ทำ แต่ผมมีทีมงานและเป็นบริษัทด้วย โดยผมเป็นหัวหน้าทีม องค์การนาซาเขาจะไม่สร้างอะไรของเขาเอง เขาจะให้คนอื่นประมูล แล้วก็ไปทำ ถ้าเผื่อเป็นส่วนบุคคล เราจะประมูลไม่ได้ เราจะต้องมีบริษัท จึงจะประมูลเข้าไปได้ฉะนั้นที่ผมทำไปทั้งหมดในฐานะหัวหน้าทีมในนามบริษัทฯ ตอนนั้นผมจึงเสนอเข้าไปใหม่ อย่างไรผมก็ต้องเป็นหัวหน้าทีม ลูกน้องผมไม่มีใครมีความรู้ทางด้านไมโครเวฟ ผมเป็นคนเดียวที่มีทีมงานอื่นทางด้านไฟฟ้าสื่อสาร ก็อาศัยชื่อบริษัทที่ผมทำงานว่าเราจะช่วยทำในสิ่งที่ชาวอเมริกายังไม่สามารถทำได้ ก็คือนำพายานอวกาศไปจอดลงบนพื้นดินของดาวอังคาร ก่อนหน้านั้นยังไม่มีใครทำประสบความสำเร็จ ยังไม่เคยมียานอวกาศชาติใดลงไปบนดาวอังคารได้

 

“ในตอนนั้นผมจึงนำเสนออันนี้ไป เขาสนใจเขาก็เลยเรียกไปสัมภาษณ์ เขาก็รู้ว่าเราเป็นคนไทย เขาจะให้โอกาสชาวอเมริกาก่อนสัมภาษณ์พร้อมกัน 4 คน แล้วผมเป็นคนที่ 5 ปรากฏว่าพวกนี้เก่งทุกคน แต่ทำมาแล้วล้มเหลวหมด ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย ถึงแม้จะมีประสบการณ์มากมาย ในที่สุดเขาก็ตัดพวกนั้นออก เหลือเพียงผมคนเดียว

 

“เมื่อพูดคุยกันแล้ว เขาจึงรู้ว่าเรามีพื้นฐานดี มีโอกาสที่จะทำได้ ก็เลยยอมให้ผมได้โครงการนี้ไป ทั้งที่เป็นคนต่างชาติ แต่ในขณะเดียวกัน องค์การนาซาก็ได้สืบประวัติผมถี่ยิบ เขารู้ว่าผมเคยอยู่ฝรั่งเศส ก็ส่งคนไปสืบ เขากลัวว่าผมจะเป็นฝ่ายสังคมนิยมเพราะว่าตอนนั้นมันมีสงครามเย็น เขากลัวเรื่องนี้มาก กลัวว่าเราจะไปสืบความลับของเขา แล้วเขาก็ส่งคนมาที่จุฬาฯ มาสัมภาษณ์อาจารย์เพื่อหาข่าว พวกอาจารย์จุฬาฯ เขามาบอกผมว่ามี CIA เข้ามาสืบประวัติผม เขาสืบทั่วไปหมด จนกระทั่งเขามั่นใจว่าผมไม่ได้เอียงซ้าย เขาเลยตกลงอนุญาตให้ผมเข้าไปแสวงหาความลับอะไรก็ได้ภายในองค์การนาซา เพราะว่าเราจะสร้างอะไร เราก็ต้องไปขอข้อมูลเขาเยอะ ข้อมูลเกี่ยวกับพวกดวงดาว ข้อมูลเกี่ยวกับในอดีตว่าใครเคยสร้างอะไร ทำอะไร มีทฤษฏีอะไร แล้วทำไมมันถึงผิดพลาด ซึ่งเราต้องรู้และเข้าใจทุกอย่างเพื่อนำมาพัฒนาต่อ เขาก็ยอมรับตรงจุดนี้

 

“เพราะฉะนั้นพอเขาสืบประวัติเสร็จ เขายอมให้ผมมีสิทธิเข้าไปในชั้นความลับสุดยอดของนักวิทยาศาสตร์อเมริกา ก็เลยทำงานได้สะดวก จะทำอะไรก็ได้โดยที่เขาไม่ต้องมาระมัดระวัง แต่เขาก็ส่งคนคอยจ้องตลอดว่าผมทำอะไร ติดต่อกับใครบ้าง ถ้าภายในประเทศก็จะมี FBI คอยจ้องดูผม ออกต่างประเทศก็จะมี CIA ติดตามไปทั่ว แต่ผมไม่มีอะไรเสียหาย ต่อทางการสหรัฐฯ เขาก็เลยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

 

รหัสร้อน 2012

“ผมดูแล้ว ตอนนี้เรากำลังสร้างปัญหาให้กับโลกของเรา ซึ่งจะทำให้เราเอาตัวรอดได้ยากมาก เพราะว่าเราสร้างภาวะโลกร้อน ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ น้ำจะขาดแคลนในโลกของเรา เราจะมีแผ่นดินไหวมากขึ้น จะเกิดสึนามิมากขึ้น สึนามิจะเริ่มเกิดขึ้นในอ่าวไทย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ แน่นอน ภาคกลางน้ำท่วมหมด บางส่วนจะหายไปแต่ไม่ใช่ทั้งประเทศ

 

“แต่ปัญหามันจะเกิดอีกหลายอย่าง เพราะวิธีการกินอยู่ของพวกเรา มันทำให้เราไม่สามารถอยู่ในโลกนี้ได้ ถ้าเผื่อเราคำนวณว่าเรามีอาหารการกิน ที่เราจะปลูกได้ในโลกส่งไปขาย แล้ววิธีการกินอยู่โดยเฉพาะอเมริกามันกินมากมายเหลือเกิน บริโภคมากมายใช้ของมากมาย เขาไม่สามารถอยู่แบบพอเพียงแบบคนไทยเราได้ ถ้าเราอยู่กันอย่างนี้ พูดถึงอเมริกา ยุโรป ประเทศจีน ญี่ปุ่นออสเตรีย นิวซีแลนด์ ซึ่งอยู่ดีกินดี เขาต้องใช้มากกว่า 1 โลก

 

“ถ้าเผื่อเราคำนวณทุกอย่างแล้ว นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นตรงกันว่าเราต้องมีโลกที่ใหญ่กว่านี้อีกครึ่งเท่า ก็คือ 1.5 โลก เราถึงจะอยู่ได้ ตอนนี้มีแต่ทุกอย่างน้อยลง น้อยลง เสียหายไปหมด ไม่สามารถอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง แล้วถ้าเผื่อพวกเราทุกคนในโลกอยู่แบบอเมริกาอยู่ เราคงต้องใช้โลกทั้งหมด 5 โลกด้วยกัน เราถึงจะอยู่ได้ ดีที่ประเทศแถบแอฟริกากินนิดเดียว เพราะเขาอดอยาก เขาเดือดร้อน แต่อเมริกาเหลือเฟือทุกอย่าง

 

“มนุษย์เราตอนนี้อยู่เกินความสามารถที่โลกของเราจะช่วยให้เราอยู่ได้ มันก็จะเริ่มเกิดปัญหามากมาย ในยุคนี้เกือบจะถึงปลายยุคแล้ว ผมจะพูดอยู่เสมอว่ามันใกล้ตัว ไม่น่าจะเกิน 10 ปีต่อจากนี้ ตอนนี้โลกของเราเริ่มมีปฏิกิริยา เปลือกโลกเริ่มเคลื่อนไหวระดับน้ำทะเลสูงขึ้น น้ำหนักก็เลยมาถ่วงอีกข้างหนึ่งมากกว่าอีกข้างหนึ่ง เพราะว่ามหาสมุทรแปรซิกฟิกมันใหญ่มาก พอระดับน้ำทะเลสูงขึ้นตรงนี้ น้ำหนักจึงมาเพิ่มตรงจุดนี้ ในขณะที่แถวเอเชีย มันกลับลดลงตรงบริเวณนั้นเพราะน้ำแข็งบนหิมะหมด ภูเขาแอลป์ ภูเขาหิมาลัย มันละลายหายไป มันจึงทำให้โลกของเราขาดความสมดุล มันอาจจะต้องเกิดการเปลี่ยนแกนของโลกอย่างกะทันหัน นี่คือสิ่งหนึ่ง

 

“อันที่สองเปลือกโลกเริ่มเคลื่อนไหว แล้วจะเกิดแผ่นดินไหวมากขึ้น สึนามิมากขึ้น เปลือกโลกที่ประเทศไทยก็เริ่มแตกร้าวหลายจุด เราเริ่มเกิดแผ่นดินไหว ในประเทศไทยศูนย์กลางของแผ่นดินไหวที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งแต่ก่อนเราไม่เคยมีตอนหลังก็มีที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปลือกโลกในประเทศไทยเริ่มแยกตัว แต่ก็ไม่รุนแรงนัก แต่ที่แถวเชียงใหม่ มีการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกค่อนข้างเยอะ มีการแตกร้าวขึ้นมา ที่เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พะเยา ลงมาด้านตะวันตกจังหวัดตาก กาญจนบุรี ลงไปทางใต้จากประจวบคีรีขันธ์ ลงไปทางระนอง กระบี่ พวกนี้จะมีรอยร้าวของเปลือกโลก ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีเขามีข้อมูลอยู่

 

“ในอดีตเราเคยมีประสบการณ์อย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว เราเคยมียุคที่เราเจริญก้าวหน้ามากที่เรียกว่ายุคแอตแลนติส สมัยนั้นเราสามารถเหาะเหิน เดินอากาศ ทำอะไรได้เยอะแยะ เราก้าวหน้ามาก แต่จิตใจไม่ได้ก้าวข้ามไปพร้อมกัน มันมีกลุ่มหนึ่งที่จิตใจไม่ก้าวหน้าไป พวกนี้จึงทำสงครามแย่งชิงอำนาจกัน เสร็จแล้วในที่สุดแอตแลนติสก็จมหายไป คนในยุคนั้นก็ต้องตายไปเยอะแล้วเกิดขึ้นมาใหม่ แล้วเราก็สร้างปัญหาเดิมขึ้นมาใหม่

 

“ค.ศ.2012 มันเกิดปัญหาขึ้นมากับโลก ไม่ได้มาจากเหตุการณ์ที่เรากำลังเป็นอยู่ แต่อยู่ๆ ดวงอาทิตย์มันส่งพลังอะไรสักอย่างออกมาในปี 2012 ซึ่งทำให้สนามแม่เหล็กในโลกของเราต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่อันนั้นมันมาจากดวงอาทิตย์ เท่าที่ผมดูมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์เท่าไร ดวงอาทิตย์คงไม่ได้ส่งพลังอะไรออกมาที่จะทำให้โลกของเราเปลี่ยน แต่ที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน มันเป็นฝีมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ที่ทำให้โลกร้อนอุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งละลายไหลลงไปสู่ทะเล ทำให้โลกของเราขาดความสมดุลขึ้นมา ทำให้เปลือกโลกเคลื่อนไหว อาจจะมีการเปลี่ยนแกน ทั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์

 

“ถ้าเราตัดสินใจไม่เร็วพอ มันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ดูอย่างที่เขาคุยกันที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ก็ยังคุยกันอย่างนี้ ข้อตกลงที่มันจะมี มันไม่ได้ช่วยโลกมากเพียงพอ ดูเหมือนกับว่าเหตุการณ์นี้มันจะเลวร้ายลงไป น้ำแข็งละลายมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใน 10 ปี น้ำแข็งจะหมดไปจากขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ แล้วระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเมตร ภาคกลางท่วมหมด ของเราอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 45 เมตร แต่ระดับน้ำทะเลมีโอกาสสูงกว่า 45 เมตร

 

“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำอะไรได้บ้างใน 4-5 ปีข้างหน้า ตอนนี้เหตุการณ์มันจะเร็วกว่านั้นหรือเปล่าเพราะผมเคยพูดไว้ว่า 10 ปีจากนี้ไป แต่ที่ผมพูดมันมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ผมไม่ได้เป็นหมอดูที่จะไปเที่ยวเดาอะไร แต่ดูจากคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ในอากาศของเรา มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว แล้วมันเริ่มมีตัวแปรจะทำให้เกิดตัวเร่งขึ้นมา นั่นคือแก๊สมีเทน มันเริ่มผุดขึ้นมาบนขั้วโลกเหนือเยอะมาก อันนี้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อยแตะต้องเท่าไร แต่เริ่มยอมรับกันแล้ว แก๊สมีเทนมันมีพลังถึง 21 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ มันจะทำให้โลกร้อนขึ้นเร็วมาก เพราะฉะนั้นปี 2012 ก็จะมีแก๊สหลายรูปแบบ

 

“ยืนยันว่ามันจะเกิดขึ้นในเมืองไทย มีการนั่งทางในดูในปี พ.ศ.2555 ซึ่งก็ตรงกันกับปี ค.ศ.2012 พระไทยเราก็จะพูดถึงเรื่องนี้กันมาก จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ บางทีตัวเลขทำให้เร็วขึ้นกว่าที่เราคิด แล้วมันจะเริ่มเห็นเร็วขึ้นในปีพ.ศ.2553 เป็นต้นไปจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ก็หวังว่ามันจะเป็นตัวกระตุ้นประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐอเมริกา ประเทศจีน เขาจะลดโลกร้อนอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เขามีเทคโนโลยีอยู่แล้วที่จะใช้พลังงานใหม่ๆ เป็นพลังงานหมุนเวียน แต่เนื่องจากเขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของบริษัทน้ำมัน เป็นล็อบบี้ยิสต์ทั้งหลายซึ่งมาจากบริษัทน้ำมันใช้เงินทุ่มเข้าไป ซึ่งพวกนี้ต้องการได้กำไรสูงสุดก่อนที่น้ำมันจะหมดไปจากโลกของเรา ถ้าอเมริกาพร้อมจะเปลี่ยน ก็สามารถเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วเพราะเขามีเทคโนโลยี

 

“ยกตัวอย่างตอนนี้เปลือกโลกที่เราอาศัยอยู่มันกำลังเคลื่อนไหวไปทางทิศตะวันออก ที่ทำให้เกิดรอยร้าวขึ้นมาในแผ่นดินไทยของเรา จนเกิดแผ่นดินไหวมากขึ้นทั้งหมดเคลื่อนไหวไปทางทิศตะวันออก เปลือกโลกของมหาสมุทรแปซิฟิก มันเคลื่อนไหวมาทางทิศตะวันตก มันตรงข้ามกัน มันจึงมาชนกันเป็นรอยต่อจุดอันตรายที่สุดของสองเปลือกโลก ซึ่งประกอบด้วย ญี่ปุ่น ไต้หวันฟิลิปปินส์ มันอยู่ตรงรอยต่อของ 2 เปลือกโลกที่กำลังเข้ามาชนกัน แล้วพอชนกันมันจะเกยกันมันจะดันเปลือกโลกของเราให้จมลงไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือญี่ปุ่นจะจมลงไปทั้งเกาะ แล้วจะเกิดกะทันหัน โดยที่เราไม่รู้ตัวจมหายไปเลย รวมทั้งไต้หวันและฟิลิปปินส์

 

“ในขณะที่รอยต่ออีกด้านหนึ่ง ตรงทะเลอันดามัน มันจะเกิดสึนามิเพิ่มขึ้นอีกที่รุนแรงกว่าครั้งก่อน แต่ก่อนเราคิดว่าทุกพันปีมันจะเกิดสึนามิ แต่คราวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าแผ่นดินมันเริ่มเคลื่อนไหว ขยับมากขึ้น มากขึ้น แล้วเปลือกโลกตรงรอยต่ออีกข้างหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิกก็คือแคลิฟอร์เนีย ตรงนั้นก็มีรอยต่อของเปลือกโลก ปรากฏว่ามันเริ่มแยกกัน แคลิฟอร์เนียทั้งรัฐจะจมหายไป สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นสัญญาณว่าถึงวาระสุดท้ายของยุคนี้แล้ว

 

“ขอให้เริ่มใช้เศรษฐกิจพอเพียง ลดความต้องการของตัวเองออกไป อยู่อย่างเรียบง่ายเพื่อเราจะได้ไม่ทำลายโลกของเรา โดยใช้เศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อันเป็นสิ่งที่เหนือมนุษย์จริงๆ เป็นสิ่งที่จะช่วยโลกของเราทั้งโลกด้วยเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากที่พระองค์ท่านทรงพระราชทานแก่มนุษย์

ฤาจะถึงกาลอวสานวันสิ้นโลกตามคำทำนาย