กรกฏ เพชรบุรีกุล
“ปัจจุบันมิลค์ดูแลในส่วนของการดูแลภาพลักษณ์ขององค์กรค่ะ เพราะเรามีสื่อที่หลากหลายซึ่งก็ต้องดูแลให้สะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีๆ เหล่านั้นขององค์กร อีกอย่าง ภาพขององค์กรนั้นจะเป็นไปในแบบ B2B (Business-to-Business) ดังนั้นช่องทางที่จะสื่อถึงคนทั่วๆ ไปนอกเหนือจากนั้นก็เลยค่อนข้างน้อย เราก็เลยจำเป็นที่จะต้องหาช่องทางที่จะสามารถสื่อภาพลักษณ์ขององค์กรเราออกไปให้ได้มากและดีที่สุด นอกจากนี้ก็ดูในส่วนของ CSR ค่ะ”
หลังจากที่เราได้พูดคุยกับเธอ ก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคือผู้หญิงที่สดใส เปี่ยมเสน่ห์และมองโลกในแง่ดีมากๆ อาจเป็นเพราะการอบรมปลูกฝังจากครอบครัวที่ทำให้เธอใส่ใจนำธรรมะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่มีวันว่างๆ เธอมักจะไปนั่งวิปัสนาที่วัดเป็นประจำ เธอจึงมีมุมมองการใช้ชีวิตอย่างเป็นระบบ
คุณมิลค์เป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัว เธอเล่าให้เราฟังว่าเธอเป็นคนที่รักการอ่านมาก ในวัยเด็กเธอเรียนอยู่ที่โรงเรียนราชินีจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 พอเรียนจบปริญญาตรีก็ไปต่อปริญญาโทเลย หลังจากนั้นจึงได้กลับมาทำงาน แล้วจึงเรียนต่อปริญญาเอกไปด้วย
“จริงๆ แล้วคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นเด็กเรียนเลยนะคะ อาจจะแค่เรียนดีแต่ไม่ได้อยู่ในระดับดีมาก เราก็พยายามอ่าน พยายามตั้งใจซึ่งก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ท้าทายความพยายามของตัวเองด้วย เลยลองดูว่าตัวเองจะเรียนต่อเอกไหวหรือไม่มากกว่า การที่คิดจะเรียนให้จบสูงสุดจนถึงดีกรีด็อกเตอร์นั้นนอกจากจะเป็นการท้าทายความสามารถของตัวเองแล้ว มิลค์ก็ยังมองถึงโอกาสและอนาคตที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ตอนที่เรียนเรายังไม่มีเป้าหมายว่าจบแล้วจะต้องเป็นอะไร สิ่งที่คิดตอนนั้นมันเป็นความท้าทาย แต่พอใกล้จะจบมันก็จะเริ่มมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นว่าเราอยากใช้ความรู้ที่เรามีในการช่วยส่งเสริม หรือพัฒนาคนอื่นๆ ได้ต่อไป ก็เลยเริ่มคิดว่าอยากที่จะเป็นอาจารย์หรือเป็นอาจารย์พิเศษ ซึ่งตอนนี้ก็มีไปเป็น Guest Speaker บ้าง แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูเรื่องเวลาด้วย เพราะเราก็มีงานประจำ
“จริงๆ ก็อยากจะมีธุรกิจส่วนตัวของตัวเองเหมือนกันนะคะ ที่มองๆ ไว้ก็จะเป็นธุรกิจแนว Restaurant Chain คือเป็นธุรกิจแบบที่เราไม่ได้เป็นเจ้าของร้านอาหารเพียงร้านเดียว แต่ร้านอื่นๆ ของเราก็สามารถเปิดได้ทุกที่ โดยมีแพทเทิร์นเดียวกัน คล้ายธุรกิจแบบร้านสุกี้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องรอให้มีความพร้อมทั้งในด้านของความรู้ และประสบการณ์ในเรื่องของการทำธุรกิจด้วย เพราะเมื่อใดก็ตามที่มันเป็นของเราแล้ว ก็หมายความว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะบริหารดูแลมันได้ทั้งหมด”
ด้วยความเป็นคนใฝ่ที่จะเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา แม่พิมพ์ที่ดีใกล้ตัวของเธอจึงเป็นใครอื่นไปไม่ได้
“คุณแม่เป็นตัวอย่างที่ดีค่ะ ท่านเป็นผู้หญิงเก่งแล้วก็เป็นคนที่ค่อนข้างเด็ดเดี่ยว ท่านตั้งใจจริงในสิ่งที่ทำและท่านก็พยายามทำให้สิ่งเหล่านั้นสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้ ซึ่งเราประทับใจ ก็พยายามจะเก่งให้ได้ครึ่งหนึ่งของคุณแม่ สไตล์การทำงานเลยจะคล้ายๆ กันคือพยายามสนุกกับงาน มันจะเป็นสิ่งที่ท้าทาย เราจะมีแรงผลักดันที่จะทำมัน ตั้งใจ แล้วมันก็จะสำเร็จได้”
ทุกๆ 5 ปี ในแต่ละช่วงของชีวิตของทุกคนนั้น ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง จากห้าปีที่แล้วเธอมองตัวเองว่ายังเป็นเด็กและยังไม่รู้จักโลกดีพอ แต่ด้วยการเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคที่ผ่านมา กลับทำให้ 5 ปีต่อมาของเธอแข็งแกร่งขึ้นอย่างทุกวันนี้
“เมื่อเราได้ทำงาน มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเรายิ่งโตขึ้น ความรับผิดชอบก็มากขึ้น อย่างที่ผ่านมาก็จะมีในเรื่องที่เราทำงานและจัดการได้ไม่ดีพอกับที่มันควรจะเป็น นั่นอาจเป็นเพราะว่ายังมองไม่ครบองค์ของมันที่มันควรจะเป็น ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเราจะต้องมองให้รอบด้านมากขึ้น วิสัยทัศน์ต้องพัฒนาขึ้น ปัญหามันมีอยู่แล้ว แต่ก็ผ่านมาได้เพียงแค่เราไม่ท้อเท่านั้นค่ะ
“เคยซีเรียสอยู่พักหนึ่งในเรื่องของการเปลี่ยนที่ทำงาน เพราะเราต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กรของที่ใหม่ เราต้องมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เราต้องเรียนรู้ที่จะ มีความรับผิดชอบต่อการกระทำ ต่อคำพูดของเรา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราโตขึ้นแต่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งนะ จริงๆ ยังขาดอีกเยอะมาก เรายังขาดประสบการณ์ยังขาดมุมมองที่กว้างพอ ซึ่งการย้ายหรือเปลี่ยนงานนั้นมันอาจเป็นเพราะว่าเราอยู่กับองค์กรนั้นๆ แล้วรู้สึกลงตัวหรือยัง อย่างที่ผ่านมาอยู่ที่สิงห์เป็นที่แรกก็จริง แต่ถ้าเราไม่เปลี่ยนงานเลย วันหนึ่งเราก็คงมีประสบการณ์แค่ด้านเดียวมากกว่า มิลค์เชื่ออย่างนั้นนะคะ”
ไม่เพียงจะเป็นแค่การใช้ชีวิตไปในแต่ละวันเท่านั้น แต่เธอก็ใช้ทุกช่วงเวลาของชีวิตได้อย่างคุ้มค่า และเรียนรู้ไปกับทุกสิ่งอย่างแท้จริง แม้กระทั่งการช้อปปิ้ง ดูหนัง พบเจอกับกลุ่มเพื่อนๆ
“บางครั้งการที่เราไปช้อปปิ้ง มันจะสนุกอย่างหนึ่งตรงที่มีความท้าทาย เราจะเลือกซื้อของที่ถูกใจมากกว่า ไม่จำเป็นจะต้องเป็นของที่แพง แต่จะดูว่าเราเหมาะกับอะไร และให้ความคุ้มค่ากับเรามากแค่ไหน ความที่ผู้หญิงคิดเยอะ ละเอียดอ่อนรอบคอบ มิลค์มองว่าก็มีส่วนที่ทำให้ผู้หญิงได้เข้าไปมีบทบาทในการบริหารหรือมีอำนาจในการจัดการ การตัดสินใจเพิ่มมากขึ้น การที่ผู้หญิงอย่างเราๆ มีความนอบน้อม สามารถที่จะเข้ากับคนได้ง่ายนั้นก็อาจถือเป็นข้อได้เปรียบของเราก็ได้ค่ะ”
มุมมองที่มีต่อความสำเร็จด้านการทำงานนั้น เธอบอกว่ายังไม่ประสบความสำเร็จแน่นอน เพราะมันยังมีช่องทางให้ได้เรียนรู้ไปอีกเรื่อยๆ ความสำเร็จของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการวางเป้าหมายของแต่ละคน โดยส่วนตัวของเธอแล้ว เธอเลือกที่จะไม่หยุดนิ่งหรือกำหนดขีดจำกัด เพราะมันเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุนั้นๆ
“การจบด็อกเตอร์มันไม่ได้แปลว่าใครเก่ง มันเป็นแค่เพียงจุดหนึ่งของการเรียน ประสบการณ์ การเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด คนจะยอมรับเราได้มันอยู่ที่ผลงานของเรา สำหรับมิลค์ทุกวันนี้มองว่าการที่ได้ร่วมงานกับผู้ใหญ่หลายๆ ท่านนั้นเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตได้อย่างดี เรามีโอกาสได้ก้าวเข้ามาทำงานหน้าที่นี้ตรงนี้ได้เร็วในขณะที่ยังอายุไม่เยอะ เราก็สามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากหลายๆ ท่านได้
“จุดมุ่งหมายต่อจากนี้ นอกจากจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการทำงานทุกวันนี้ให้ได้มากที่สุดแล้ว ก็จะพยายามหาโอกาสเป็นอาจารย์พิเศษ เพราะอยากเอาสิ่งที่เรามีที่เราได้รับมาแบ่งปันให้เด็กได้เรียนรู้จากเราบ้าง อย่างน้อยๆ พวกเขาจะได้มีประสบการณ์นอกเหนือจากตำราเรียนค่ะ”
นี่ล่ะครับ ผู้หญิงเก่งอีกหนึ่งคนที่มีความสามารถในการขับเคลื่อนสังคมในปัจจุบัน เฉกเช่นเดียวกับ Role Model ของเธอ
Know Her!
• เธอจบปริญญาตรีที่ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่ Eastern Michigan University แล้วจึงกลับมาเรียนจนสำเร็จปริญญาเอกด้านปรัชญาธุรกิจ ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
• ก่อนที่ปัจจุบันเธอจะทำงานอยู่ที่ไทยออยล์ เธอได้เข้าทำงานที่แรกที่ บริษัทบุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ในตำแหน่ง Marketing Executive ดูแลตั้งแบรนด์ไปจนถึงอีเว้นท์ระดับประเทศอย่างการประกวดมิสยูนิเวอร์ส
• เห็นตัวเล็กๆ อย่างนี้ แต่กีฬามหาโหดหรือกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมทั้งหลายเธอลองมาหมดแล้ว ยกเว้น บันจี้จัมพ์ เพียงเพราะว่าคุณแม่ขอไว้นั่นเองครับ