วิรัช ชาญพานิชย์
ในวันนั้นมีบุคคลที่ว่ากันว่าเป็นม้ามืดที่เรารู้จักกันดีอย่าง บิ๊กก๊อง วิรัช ชาญพานิชย์ เป็นหนึ่งในผู้สมัครที่หลายคนคาดว่ามีคะแนนเสียงดี พอมีลุ้นตำแหน่งเก้าอี้นายกสมาคมฯ
ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้คืออะไร เรามาฟังคำบอกเล่าของบิ๊กก๊องกัน
1. “มันเริ่มมาจากความล้มเหลวของสมาคมฯ สมาชิกที่มีสิทธิ์ออกเสียงบางกลุ่มเกิดความไม่พอใจเยอะ เลยอยากมีการเปลี่ยนแปลง ก็ไปหาคุณวิจิตร เกตุแก้ว เพื่อที่จะให้มีการลงเลือกตั้งชิงตำแหน่ง ซึ่งตอนนั้นผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยว จนกระทั่งถึงจุดๆ หนึ่ง คุณวิจิตร เกตุแก้ว เขาเกิดเปลี่ยนใจไม่ลงสมัคร ด้วยเหตุผลอะไรไม่รู้ พี่น้องที่เขาร่วมขบวนการจึงผิดหวัง เขาก็เลยมาหาผม เพราะผมอยู่ในวงการฟุตบอลมานาน เลยน่าจะมีการแข่งขันเลือกตั้งกัน ผมก็รับปากเขา แต่ผมก็บอกว่า
จะไม่เปิดเผย เพราะถ้าเปิดไปจะมีแรงกระทำในเรื่องต่างๆ
“จริงๆ สมาคมฟุตบอลตามกฏอายุหมดไปตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม แต่ก็ไม่มีการเลือกตั้งสักที ก็มีการอะลุ่มอล่วยกันมาจนมีการจัดเลือกตั้ง 6 พฤษภาคม ก่อนหน้านั้นผมก็ไปขอเสียงจากสโมสรใหญ่ๆ ซึ่งเขาก็มีความเห็นตรงกันว่าดี น่าจะเปลี่ยนแปลง จนเช้าวันที่ 6 ทางกลุ่มที่จะเลือกตั้งเขารู้ว่าเป็นผมที่จะมาสมัคร ก็มีผู้ใหญ่โทรมาจะให้ผมเป็นอุปนายกไปดูทีมชาติใหม่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเดิมที่มีการคุยกันแล้ว ผมก็บอกว่ามันมาไกลแล้ว ก็ไม่เป็นไร เลือกตั้งแข่งกันก็หมดเรื่อง
“การประชุมสามัญประจำปีมีวาระการเลือกตั้งรวมอยู่ในนั้นหนึ่งวาระ ซึ่งต้องมีการรายงานกิจกรรมงบดุล จนมาถึงวาระสุดท้ายคือการเลือกตั้งนายกสมาคม แล้วก็เกิดปัญหาซึ่งเคลียร์ไม่ได้เพราะเรื่องของสโมสรที่มีการซ้ำซ้อนเรื่องเอกสาร มีคนได้รับมอบอำนาจมาสองคน จากที่มาประชุมร้อยห้าสิบกว่าสโมสร มาลงทะเบียนที่ร้อยสี่สิบสี่ถึงร้อยสี่สิบห้า ก็สามารถละไว้ก่อนได้ ถ้าสองสโมสรที่มีปัญหาก็ต้องมาพิสูจน์กันซึ่งเป็นเรื่องของกฎหมาย แต่ไม่นานก็มีการประกาศเลื่อนประชุม แล้วสโมสรที่มาจากเชียงใหม่ หาดใหญ่ โคราช ที่เขามาไกลล่ะ มีการเลื่อนโดยไม่ขออนุญาตที่ประชุมใหญ่ คือต้องมีการโหวตเสียงสองในสามถึงจะทำได้ การกีฬาแห่งประเทศไทยก็โวยว่าทำไม่ได้นะ แต่มีการลุกออกไปก่อน พอประตูเปิด สื่อก็กรูเข้ามา ประชุมต่อกันไม่ได้ ต่อจากนี้ก็คงต้องให้การกีฬาแห่งประเทศไทยเข้ามาดูแล
“ถามว่าผมได้เสียงเท่าไหร่ ผมไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมขอแล้วเขาให้เรามันคงจะเกินครึ่ง มันเป็นเพียงความรู้สึกร่วมกัน แต่วันเลือกตั้งจริงๆ เขาจะกาให้เรารึเปล่า ไม่รู้ เพราะผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่ผิดหวัง ถ้าหากผมไม่ได้เป็นนายกสมาคม ผมรู้สึกว่าผมทำหน้าที่ของผมไปแล้ว ตามการแข่งขันที่ควรจะเป็น ส่วนจะได้เหรอไม่ได้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าได้ผมก็ต้องทำงานหนัก ถ้าไม่ได้ผมก็แสดงแล้วว่าเรามีความรู้สึกที่อยากเปลี่ยนแปลง ผมคิดว่าสัญญาณที่ผมส่งไปจะทำให้คนที่สมาคมฟุตบอลทำงานให้ดีขึ้น
“แต่สิ่งที่ผมอยากจะทำก็คือเราต้องพยายามกลับมาเป็นเจ้าอาเซียนให้ได้ภายในสองปี เราจะบริหารจัดการทีมชาติให้มันแข็งแรงเป็นที่ชื่นใจของคนไทยให้ได้ เราต้องเป็นเจ้าอาเซียนก่อนเป็นพื้นฐาน เราต้องเป็นจิ๊กโก๋เอเชียก่อน พอเป็นได้โอกาสไปฟุตบอลโลกก็เห็นแล้ว”
2. เรารู้จักบิ๊กก๊องในฐานะผู้จัดการทีมฟุตบอลที่มากประสบการณ์คนหนึ่งของประเทศไทย แต่ชีวิตของชายหนุ่มผู้นี้ฝ่าฝันอุปสรรคมาไม่น้อยจนก้าวมาไกลถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าชีวิตของเขามีความน่าสนใจไม่แพ้เรื่องของฟุตบอล คล้ายกับว่ากีฬาก็เหมือนหนทางชีวิต มีแพ้ มีชนะ ล้มลุกคลุกคลานกันมามากมาย
“ครอบครัวผมเป็นคนกึ่งจีนกึ่งไทย ผมเติบโตมาโดยมีพี่คนโตที่ดูแลน้องเหมือนพ่อ ฐานะก็ไม่ใช่ว่าจะดี ไม่ถึงลำบาก แต่ก็ไม่ได้สุขสบาย ตอนเด็กผมก็มีหน้าที่ผ่าฝืนเพื่อเตรียมหุงข้าว เตรียมถ่านไว้ตอนเช้า เสาร์อาทิตย์ก็เตรียมซักผ้า ตอนเย็นก็ไปซื้อกับข้าว
“ตอนนั้นเป็นเด็กก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร สมัยก่อนบ้านอยู่บางแค รถเมล์ผ่านที่เทพศิรินทร์ ก็อยากเรียนที่นั่น แต่บังเอิญข้อสอบกวดวิชามันไม่มีที่เทพศิรินทร์ มันมีแต่ของสวนกุหลาบ ก็เลยซื้อใบสมัครอีกใบ เพราะข้อมูลการสอบมีแค่นี้ เลยตัดสินใจมาสอบที่สวนกุหลาบ ผมวิ่งเข้าสวนกุหลาบ หมายถึงผมเป็นที่หนึ่ง ในการสอบวิ่งเข้าโรงเรียน เหมือนเป็นโครงการช้างเผือกอะไรสักอย่างหนึ่ง สมัยนั้นทุกคนวิ่งหมด เวลาสมัครสอบแล้วก็ไปวิ่งแข่งกันหลายเที่ยว ผมได้ที่หนึ่งตลอดก็เลยได้เรียน
“ผมมาเล่นกีฬาจริงๆ จังๆ ตอนสมัยเรียนอยู่โรงเรียนสวนกุหลาบ พอเราเข้าที่โรงเรียนสวนกุหลาบ เราก็ภูมิใจที่ครูพาไปดูว่ารุ่นพี่ของเราเป็นแบบนี้ พวกเธอต้องเป็นคนดี ชีวิตเราต้องเป็นกุหลาบดีๆ ที่ไม่เน่า โรงเรียนจะได้ไม่เสียหาย ถามว่าคนดีเป็นแบบไหน ผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ไม่สร้างความเดือดร้อน เราก็เดินตามทางนี้มาตลอด จนกระทั่งขึ้นมศ.4 ก็มีรุ่นพี่เข้ามา ก็ได้พบกับรุ่นพี่หลายคน แล้วก็ได้พบกับพี่หอย ธวัชชัย สัจจกุล ก็พูดคุยกัน แล้วเกิดประทับใจในความคิดของเขา ก็มาตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งเขาก็ดูแลน้องดี แล้วสมัยนั้นก็เล่นฟุตบอลด้วยกัน เวลาเตะฟุตบอลเสร็จก็จะผ่านวังบูรพา มีร้านบะหมี่เป็ดย่างที่อยากกิน ตัวผมไม่มีเงินหรอก แต่พี่หอยเขาชวน บอกว่าไปกินข้าวกันหลังวัง เราก็โอ้โห ไปกินหลังวังเลยเหรอ ก็เกิดเป็นความผูกพันจนได้คุยกับเขามาเรื่อยๆ สารพัดเรื่อง จนเป็นการสะสมระบบความคิดที่ดีขึ้นมา
“ตอนผมอยู่ มศ.1 ผมมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าทีมโรงเรียนเราชนะการแข่งขันฟุตบอลแน่นอน ได้มาเจอกับโรงเรียนอำนวยศิลป์ ก็โดนอัดไป 3-0 ซึ่งเป็นความผิดหวัง พอขึ้น มศ.2 ก็รวมกลุ่มกันเล่นฟุตบอลก็เอานักฟุตบอลสาย ม.ต้น มารวมกับ ม.ปลาย จนกระทั่งครูเห็นว่าใช้ได้ ก็ฝึกเรื่อยมา จนกระทั่งพวกเราได้แชมป์มัธยมต้น”
การเล่นกีฬาอย่างที่รู้กันดีว่ามีประโยชน์ แต่ในอีกมุมมองหนึ่งการเล่นกีฬาอย่างเดียวก็ทำให้เวลาส่วนหนึ่งของชีวิตหายไป เพราะบางครั้งเราก็ไม่สามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดปัญหาเรื่องของการแบ่งเวลาไม่ลงตัวนี่เองเป็นเหตุให้ผลการเรียนของเขาเริ่มตกต่ำลง
“ตอนเรียน มศ.4 ตอนเช้าไปซ้อมบาสเก็ตบอล ตกเย็นซ้อมฟุตบอล ทำให้ต่อมาสอบตก มศ.4 ผมผิดหวัง แม้มันจะไม่ได้ผิดปกติของเด็กสวนกุหลาบ อย่างรุ่นของ คุณธีรยุทธ บุญมี ก็มีสอบตกประมาณร้อยกว่าคน รุ่นผมก็ตกประมาณ 80-90 คน เราไม่ใช่ผู้แปลก แต่พี่เขามาต่อว่า ตัวเราเสียใจอยู่แล้ว เรารู้ว่าเราทำอะไรผิด ปีต่อมาก็ตั้งใจ ซึ่งก็พอไปได้ มันจึงเป็นบทเรียนที่ว่าถ้าคุณไม่ตั้งใจทำอะไร คุณจะผิดหวัง ผมว่าคนเรามันไม่ได้ผิดทั้งชาติ ถ้าตั้งใจทำอะไรก็กลับมาได้ แต่ต้องหนักแน่น”
3. ในช่วงเวลาที่เรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย มหาวิทยาลัยต่างๆ ทราบว่าเขามีความสามารถในด้านกีฬา จึงได้ยื่นข้อเสนอให้เขาเข้าศึกษาในสถาบัน อาทิ คณะคุรุศาสตร์ จุฬา, โรงเรียนนายร้อยสามพราน, มหาวิทยาลัยกรุงเทพ แต่แล้วก็เหมือนเรื่องบังเอิญ ในขณะที่กำลังหาที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัย เขาก็ได้พบกับบิ๊กหอย ธวัชชัย สัจจกุล ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เรียนโรงเรียนสวนกุหลาบอีกครั้ง คุณธวัชชัยแนะนำให้ไปเรียนต่อที่ประเทศฟิลิปปินส์ ที่สถาบัน Mapύa Institute of
Technology Manila Phi Electrical ซึ่งในขณะนั้นมีข่าวว่ากำลังเปิดรับสมัคร โดยเฉพาะโควต้านักกีฬาฟุตบอลให้เรียนฟรี
“พอเห็นแบบนั้นก็เลยขอที่บ้านไปฟิลิปปินส์ ผมใช้เงินประมาณ 75 เหรียญต่อเดือน ตกประมาณ 1,500 บาทต่อเดือน ซึ่งถือว่าแพงสำหรับครอบครัวผมมาก พอไปถึงก็ไปติดต่อมหาวิทยาลัยที่นั่น แต่มีปัญหา เพราะผมจะมาเรียนฟรี เขาก็งง บอกว่าไม่มีเรียนฟรี ผมก็เลยบอกเขาว่าให้พาไปแผนกกีฬาหน่อย ก็ไปเจอไดเร็คเตอร์ของเขา ผมก็บอกว่าจะมาขอทุนเรียนเป็นนักฟุตบอล ผมก็เอาเอกสารให้เขาดู ผมติดทีมนักเรียนไทย ก็มีใบรับรองว่าติดธง เขาดูแล้วเขาก็บอกว่าฟุตบอลเราไม่ได้ให้โควต้ามาหลายปีแล้ว ความรู้สึกของผมขณะนั้นก็เลยเหี่ยวมาก
“แต่ก็เหมือนจะมีโชค เพราะเขาเปิดไปเจอประวัติเราว่าเป็นนักบาสเก็ตบอล เขาถามว่าเล่นเก่งไหม เราก็บอกว่าสู้คนฟิลิปปินส์ไม่ได้หรอก แต่นี่มันเลยกลายเป็นเสน่ห์ของคนไทย เหมือนเป็นคนจริงใจแล้วก็ถ่อมตน เขาจึงชอบ แล้วเขาก็เปิดเอกสารพบอีกว่าผมเป็นนักวิ่ง 100 เมตรเหรียญทองด้วย เขาก็เลยเรียกโค้ชกีฬามา โชคดีที่โค้ชเขารู้จักพี่หอย แล้วเขาก็มาจับขาเราแล้วก็ถามว่าคุณวิ่ง 100 เมตรสถิติเท่าไหร่ ผมก็บอกว่า 11 วินาที เท่านั้นแหละเขาก็เซ็นชื่อให้เลย จนกระทั่งได้เรียนฟรี ถึงบอกว่าการสอบตก มศ.4 เป็นความเสียใจ แต่การเล่นกีฬาของเรามันก็ส่งเสริมให้เราไปในจุดหนึ่งได้เหมือนกัน”
4. หลังจากเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ บิ๊กก๊องก็เดินทางกลับมายังประเทศไทย เขาทำงานที่แรกกับบริษัทชื่อดังในสมัยนั้นคือ บริษัท NS Electronics แต่เขากลับไม่ชอบอยู่กับที่ จึงเริ่มมองหางานที่ทำด้วยความสามารถของตนเอง ประจวบเหมาะกับที่คุณธวัชชัย สัจจกุล กำลังเปิดบริษัทใหม่ เขาก็เลยขออาสาเข้ามาทำงานในบริษัทเพื่อศึกษาเรียนรู้ประสบการณ์ทุกแง่มุม จนเมื่อการทำงานผ่านไป 6-7 ปีก็เริ่มมีสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง ในที่สุดบิ๊กก๊องก็ลาออก แล้วมาเปิดบริษัทของตัวเอง เป็นบริษัทที่ทำงานเกี่ยวกับการรับเหมาติดตั้งระบบวงจรต่างๆ ในโรงงานหรือโรงแรม
พ.ศ.2534 บิ๊กก๊องได้พบกับคุณธวัชชัยอีกครั้งที่สนามฟุตบอล แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เพราะมีการชักชวนให้เขาเข้ามาทำทีมชาติไทย ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่เขาไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าจะได้มาทำ โดยงานแรกก็คือรับผิดชอบทีมฟุตบอลรุ่นอายุ 16 ปี พอทำมาได้สักระยะหนึ่งก็ขยับมาเป็นรุ่น 19 ปี ครั้งนี้เองที่พบอุปสรรคเรื่องของเงินสนับสนุน และการเก็บตัวจึงมีแนวคิดในการตั้งแคมป์เก็บตัวระยะยาวขึ้นมา และนั่นจึงเกิดทีมฟุตบอลที่มีชื่อคุ้นหูกันว่า “ชุดดรีมทีม”
บิ๊กก๊องดูแลทีมชาติไทยในยุคดรีมทีม โดยมีคุณหอย ธวัชชัย สัจจกุล คอยร่วมการสนับสนุน ดรีมทีมในยุคนั้นเกิดจากการนำเอานักเตะอายุน้อยที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมาฝึกซ้อมอย่างหนัก แล้วดันขึ้นชุดใหญ่ ชื่อที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดีคือ ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง, นที ทองสุขแก้ว, ตะวัน ศรีปาน, ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล, วัชรพงศ์ สมจิตร ฯลฯ ทีมนี้ได้แชมป์มากมาย อาทิ แชมป์คิงส์คัพ พ.ศ.2537 ที่เอาชนะเยอรมัน, ที่ 4 ในการแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ภายใต้การทำทีมของ ปีเตอร์ วิธ โดยเอาชนะเกาหลีใต้ไป 2 -1 จากการยิงไกลของ ธวัชชัย ดำรงอ่องตระกูล แม้ในยุคนั้นจะไม่ใช่ยุคที่รุ่งเรืองที่สุด แต่ก็เคยผ่านเข้าไปคัดเลือกฟุตบอลโลก 10 ทีมสุดท้ายมาแล้ว ซึ่งอันดับฟีฟ่าทีมชาติไทยในขณะนั้นอยู่ที่ลำดับ 40 กว่าๆ ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่อันดับประมาณ 120
“นักฟุตบอลต้องมีอาวุธเยอะๆ เราจับฟุตบอลได้ต้องพลิกไปมา คือต้องมีทักษะดี ซึ่งต่อมาก็เป็นดรีมทีม ดรีมทีมนี่ไม่ใช่ว่าเก่งนะ สื่อเขาประชด สมัยก่อนจะมีทีมบาสของอเมริกาซึ่งเก่งมาก คนมักบอกว่าดรีมทีมเลยเหรอ ทีมในฝัน เราก็ไม่ได้ว่าอะไร
“คนเราต้องประกอบด้วยสองลักษณะคือพรสวรรค์ต้องโอเค และพรแสวงก็มีส่วนเยอะ พรสวรรค์น้อยต้องฝึกให้มันเยอะ ส่วนพวกที่มีพรสวรรค์เยอะก็มีการฝึกพละกำลัง ฝึกทักษะให้มันมากขึ้น ทีมเวิร์คมากขึ้น คือตอนเช้าซ้อมเสร็จ เอารถส่งนักฟุตบอลไปเรียนหนังสือ พอเรียนเสร็จเราก็เอารถไปรับกลับมา ก่อเกิดเป็นดรีมทีม ซึ่งตอนหลังเป็นกองกำลังหลักให้ทีมชาติ เป็นที่มาของความสำเร็จในระดับหนึ่ง
“เมื่อก่อนเก็บตัวทีมชาติแต่ละทีกลัวอดตาย ก็ให้เอาข้าวไปคนละถุง ถุงละ 5 กิโล ขอให้มีข้าวเป็นหลัก กับข้าวค่อยไปทำกินเอา มีเนื้อ มีเครื่องแกง คือต้องช่วยเหลือตัวเองหมด เพื่อให้เด็กกินได้และมีกำลัง ผมพาทีมไปต่างประเทศต้องไปถึงกว่าจะเช็คอิน หาที่พัก เราต้องทำเพราะเป็นผู้จัดการทีม พอตื่นเราก็เรียกซ้อม ซ้อมเสร็จก็มากินข้าวเราก็บอก ตะวัน ศรีปาน ข้าวหุงไม่พอรึเปล่า ไปแบ่งข้าวมาอีกห้องหนึ่งไป ถ้าข้าวไม่พอ เดี๋ยวต้มข้าวต้มก็ได้ หมูหยอง หมูแผ่น มันต่างกับญี่ปุ่นราวฟ้ากับดิน เพราะที่ญี่ปุ่นไม่ใช่แบบนี้ อย่างถ้าเขาจะมาแข่งเมืองไทย เขาจะส่งทีมสำรวจมาก่อน 5 คน เมื่อถึงโรงแรมที่พักเขาจะไปติดต่อครัวให้เป็นครัวญี่ปุ่น ขนาดน้ำเขายังดูเลยว่าผ่านมาตรฐานหรือเปล่า แล้วจะมีอุปกรณ์การซ้อมเสื้อผ้า ชุดซ้อมพร้อมเพรียง เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง”
“ตอนนี้ผมมีโอกาสสัมผัสวงการฟุตบอลอีกครั้ง แต่ไม่รู้จะเป็นยังไง ผมจำได้ว่าตอนที่เราเข้ารอบ 10 ทีมเอเชียรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก แฟนฟุตบอลเฮเข้ามาบอก บิ๊กก๊องขอบคุณมาก คือความดีใจที่สื่อมาถึงกัน เป็นความสุขของช่วงเวลานั้น ผมว่าคนมีเงินก็ซื้อไม่ได้หรอกความสุขแบบนั้น ในหลายครั้งอย่างเอเชี่ยนเกมส์ที่บ้านเราที่มีคลื่นมนุษย์มากมาย ทุกวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏอีกเลย บรรยากาศแบบนั้นจะกลับมาได้ไหมล่ะ ผมเองอยากเห็นมาก”
ในส่วนของการลงสมัครเพื่อชิงชัยเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลนั้น มีเรื่องราวๆ มากมายที่เป็นปัญหาทำให้แฟนฟุตบอลที่ติดตามรู้สึกสับสนวุ่นวายที่ดูท่าจะยังไม่จบสิ้น แม้จะมีการประกาศวันประชุมใหญ่ของสมาคมฟุตบอลออกมาแล้วก็ตาม ฟุตบอลไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือจะย่ำอยู่กับที่หรือไม่ และใครจะเป็นนายกสมาคม เราคงต้องติดตามผลกันต่อไป
Lifestyle
ชีวิตของบิ๊กก๊อง ปัจจุบันถือว่าแทบจะลงตัวในทุกด้าน เวลาว่างก็ทำกิจกรรมผักผ่อนสบายๆ เหมือนคนปกติทั่วไปอย่างการดูหนัง แต่งานอดิเรกที่ถือว่าไม่ธรรมดาก็คือเรื่องของการตีกอล์ฟ เพราะออกรอบแต่ละครั้งได้คะแนนเป็นเลขตัวเดียวมาโดยตลอด ถือว่าเป็นนักกอล์ฟมือดีคนหนึ่ง แม้จะไม่ค่อยได้เล่นบ่อยเหมือนในอดีตก็ตาม ส่วนเรื่องของครอบครัวนั้นต้องบอกว่าเป็นครอบครัวที่มีความสุขไม่แพ้ใคร
“ช่วงแรกๆ ผมกับภรรยาถือว่ากระเสือกกระสนพอสมควร ปากกัดตีนถีบ เรื่องของความเป็นอยู่มันยังไม่ได้ปลอดภัยขนาด พอมาถึงตอนนี้เราไม่คิดว่าเรามาไกลขนาดนี้ ลูกคนโตตอนนี้ผมอายุ 31 ปี จบวิศวะฯ ส่วนลูกสาวก็จบนิเทศฯ ตอนนี้ก็ทำบริษัทโฆษณา เขาอยากเป็นอะไรก็ให้เขาทำไป ส่วนภรรยาก็เป็นกำลังที่ดีมาตลอด เป็นคนเข้าใจผมดีว่าผมทำอะไร
“ในเรื่องของธุรกิจของบริษัทค่อยๆ วางมือ พอดีมีลูกน้อง มีพาร์ทเนอร์ มีครอบครัวที่ดี ผมบอกลูกน้องก่อนที่ผมจะถอยออกมาว่า ที่นี่คือครัว ต่อจากนี้พวกคุณมีหน้าที่หุงหากับข้าวมาทำกิน แล้วผมก็เดินออกมา ผมจึงไม่ห่วงมากเท่าไหร่ แต่ไม่ถึงถึงกับวางไปเลย เพราะผมทำมาร์เก็ตติ้ง แล้วก็เรื่องการเงิน ผมก็ยังไปนั่งฟัง ถ้าผมไม่รู้รายละเอียดอะไร ผมจะคุยกับเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมก็จะช่วยเหลือพวกเขาในบางเวลาที่มีปัญหา”