ดร.พิมพ์อุไร ลิมปพัทธ์
เธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะศิลปศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วรรณคดีและการละครจบปริญญาโท ด้านภาษาอังกฤษ จาก Arizona State University สหรัฐอเมริกา ก่อนจะเรียนจบปริญญาเอก การติดต่อสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมระดับชาติ เธอยังเป็นคนไทยคนแรกที่คว้าปริญญาเอกในสาขาวิชานี้ และเป็น 1 ใน 5 คนแรกของโลกที่จบปริญญาเอกทางด้านนี้
เธอทำงานมาแล้ว 5 วงการคือ ทำงานด้านวิทยุ เป็นวิทยากรประจำในรายการต่างๆ เป็นคอลัมนิสต์ ทำงานด้านโทรทัศน์และสอนหนังสือ แต่ตอนนี้ที่หยุดไปคืองานวิทยุกับคอลัมนิสต์ แต่ก็ยังมีเขียนหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กอยู่บ้าง
“ดิฉันอยากเรียนมาตั้งแต่ 7 ขวบ อยากรู้ว่าดอกเตอร์เป็นยังไง ก็วางแผนมาเรื่อยๆ ดิฉันไม่ได้มองว่าตัวเองเรียนเก่ง ไม่ใช่ 4.00ตลอด แต่เป็นคนที่บ้ากิจกรรม เคยทำงานการจัดแข่งอเมริกันฟุตบอล เขาเรียกว่าผู้ดูแล ได้ทำจนกระทั่งได้คุมนักข่าว จากตรงนี้เขาก็จะเลือกเราไปทำงานบาสเก็ตบอล แล้วก็เลื่อนไปทำคอนเสิร์ต บางทีอยู่ยันเช้าก็มี
“ตอนเรียนดิฉันตั้งใจเรียน แล้วตอนสอบเราจะรู้ว่าตัวเองได้เกรดเท่าไหร่ พอมาเรียนปริญญาเอกทำงานให้มหาวิทยาลัย ก็มีไปเที่ยว ไปปีนเขา ล่องแก่ง เชื่อมั้ย ดิฉันปีนแกรนด์แคนย่อนภายใน 1 วัน เกือบตาย ขานี่กางไป 2 วัน เดินไม่ได้เลย (หัวเราะ)แต่ก็มีความสุขในแบบที่เราเป็น”
หลังจากเรียนจบ เธอทำงานกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ในตำแหน่งผู้พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และจัดสรรตำราเรียนสำหรับภาควิชาอยู่ถึง 12 ปี ก่อนที่จะเตรียมตัวนำประสบการณ์ที่ตนเองมีกลับมาถ่ายทอดความรู้ให้กับสถาบันต่างๆ ในประเทศไทย แต่ก็ต้องติดปัญหาที่ว่า การเรียนด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมในประเทศไทยที่จะเปิดเป็นหลักสูตรในสาขาวิชายังขาดความพร้อมทางด้านบุคลากร ทำให้ต้องเปิดเป็นวิชาเรียนแทน
“เคยมีคนตราหน้าดิฉันว่า ต่อให้คุณเป็นนามสกุลไหนมาหรือจบจากต่างประเทศ คุณจะมาทำอย่างนี้ไม่ได้ ดิฉันก็ไม่เถียงไม่ดื้อนะเข้าใจ คือหลายคนก็น่ารักมาก อย่างให้ไปเป็น ผอ.ประจำแต่ต้องอยู่ที่นั่น 3 ปี ดิฉันก็กราบขอบคุณมาก ถ้าจะเป็น ผอ.ที่ไหนก็ตาม ดิฉันเข้าให้ได้ 3 วัน แต่ดิฉันทำงานได้ 7 วัน และทำได้จริงๆ นะ ก็จะจัดเวลาไว้ให้เรียบร้อย ซึ่งพวกเขาก็คงไม่เสี่ยง ดิฉันก็เลยรับสอนเป็นวิชามากกว่าจะไปเป็น ผอ. เพราะรู้ว่าเดี๋ยวระบบเขาจะรวนเปล่าๆ น่ะ (หัวเราะ)
“เวลาทำงานดิฉันจะไม่ยัดเยียดตัวเองเลย จะเป็นคนที่ตลกมากคือ ใครจะมาเชิญให้มาทำงานอย่ามาบอกว่าจ้าง ดิฉันจะไม่ชอบคำนี้ เพราะเวลาที่ทำงานให้กับต่างประเทศจะพูดว่า I work with them I don’t work for them ถ้าฉันจะทำงาน ฉันจะทำงานกับเธอ แล้วจะมั่นใจว่าทำได้ดี แต่ไม่ได้หยิ่งยโสอะไร คือถ้าอยู่ในกรอบที่ตัวเองทำได้ดี และจะทำ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้จะไม่ทำ
“จริงๆ คนรู้จักดิฉัน เริ่มมาจากคำว่า EQ ด้วยซ้ำ เพราะสมัยก่อนการพูดถึงเรื่องความฉลาดทางด้านอารมณ์คนจะไม่เข้าใจ ก็จะอธิบายให้คนฟังง่ายๆ มันก็เริ่มมาจากตรงนั้น
“เป็นคนที่ทำอะไรแล้วถนัดหมด ถ้าเรารู้จริง เราก็มีความสุขกับมัน รู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติ เราไม่ต้องฝืน ถ้าเขาเชิญตรงนี้ก็ใช่เรา ถ้าเราทำอบรม ดิฉันไม่ต้องใช้สื่อสอนจะพูดได้เลย แต่มาจากหนังสือทั้งหมด แม้แต่ตอนอยู่อเมริกาดิฉันก็สอน 4มหาวิทยาลัยในเวลาเดียวกัน คิดว่าจุดดีของดิฉันคือการพูดทฤษฎีแล้วฟังเข้าใจง่าย อย่าง กกต.(สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง) เชิญดิฉันไปพูดให้ชาวบ้านฟัง เขาก็เฮฮาสนุกสนาน ดิฉันพูดให้ฟังได้ทุกระดับ
“อะไรที่ดิฉันมาสอน ดิฉันทำหมดแล้วจึงกล้าพูด อย่างมีนักศึกษาบางคนที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า เขาอาจจะไม่ค่อยเชื่อเรา แต่ว่าดิฉันเป็นอย่างนี้จริงๆ ถ้าดิฉันทำไม่ได้จะไม่สอน”
จากความรู้และประสบการณ์ที่มีมาตลอดหลายปีทำให้ ดร.พิมพ์อุไรเปิดบริษัทที่ชื่อว่า บริษัท ด็อกเตอร์พิมพ์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด เพื่อเปิดอบรมและสอนทางด้านวิชาการให้กับองค์กรและบุคคลเป็นหลัก
“ตอนนี้เปิดเป็นตัวบริษัทมา 4 ปี แต่ทำงานตรงนี้มา 10 ปี ก็รับอบรมตามหัวข้อที่มี เรื่องการเจรจาต่อรองนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้มีชื่อเสียง ส่วนใหญ่เราจะอบรมพวกที่ออกสนามจริงๆ โดยเราจะอยู่เบื้องหลัง”
“งานทุกงานจะใช้เรื่องการเจรจาต่อรองเป็นหลัก ทำยังไงให้เราคุยกันแล้วได้ข้อตกลงที่ได้รับความพึงพอใจ รวมถึงผลประโยชน์ร่วมกันโดยที่ไม่ต้องเกลียดกัน ไม่ใช่ว่าดีลเสร็จแล้วก็เลิกคบกันไป เราจะให้เขาประทับใจยังไง สบายๆ ง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยากมากมาย พอคนได้ฟังก็จะบอกว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด”
นอกจากนี้เธอยังมีธุรกิจส่วนตัวอีกอย่างหนึ่งอย่างคือการเปิดร้าน เดอะบีดคลับ ที่แปลว่าคลับของคนรักลูกปัด ซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 2ตึก A ของตลาดบองมาเช่ จำหน่ายหินสีและลูกปัดหลากชนิด เจ้าตัวบอกว่าชอบหินแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่อเมริกา
“ตอนอยู่เมืองนอกก็แต่งตัวแปลกๆ มาตลอดนะ แต่เวลาทำงาน ถ้าเป็นแนวนักธุรกิจ ก็จะแต่งตัวแบบนักธุรกิจเลย นอกนั้นก็เป็นตัวของตัวเอง อะไรที่ชอบเราก็ใส่ เผอิญว่าตอนนั้นได้ไปอยู่รัฐที่มีหินธรรมชาติ สวยงามมาก ก็เลยชอบมาตลอด ส่วนของที่เข้ามาที่ร้านจะสั่งมาจากจีน ยุโรป อเมริกา บราซิล ทิเบต เกือบทั่วโลกค่ะ ดิฉันเชื่อในพลังของธรรมชาติอยู่แล้วเพียงแต่เราจะใช้ในแบบไหนเท่านั้นเอง
“ความสุขของดิฉันตอนนี้ก็คือ สุขที่ใจ ไม่ต้องไปฝืนอะไรมาก ไม่ต้องไปกังวลกับชีวิต ว่าชีวิตจะเป็นยังไงจะดีมั้ย ให้เป็นไปตามที่เป็น เป็นไปตามธรรมชาติของตัวคุณ คือคุณต้องอยู่ในจุดที่มีความสุขและทำประโยชน์ให้สังคมด้วย