บุษรินทร์ วุฒิธรรมาภรณ์
ด้วยความที่เป็นคนมีจุดมุ่งหมายในการทำงานมาโดยตลอด ประกอบกับความที่อยากจะเติบโตจากการเรียนรู้ของตนเอง ต้องการให้โลกสอนตัวเรา ทำให้ทุกวันนี้ของเธอเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งการทำงานทุกวัน จากเด็กนิเทศศาสตร์ “คุณเก๋” ก็ได้มีโอกาสทำงานในบริษัทโฆษณาตามสายที่เรียนมา แต่หลังจากเริ่มรู้สึกต้องการอะไรที่แปลกใหม่และท้าทายความสามารถมากกว่าเดิมเมื่อสบโอกาส เธอจึงได้เริ่มเข้ามาทำงานที่บริษัทเนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เธอบอกว่าเธอใช้ Common Sense เป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มสีสันของแบรนด์ แต่ทั้งหมดไม่ได้เป็นปัจจัยชี้วัดว่าแบรนด์นั้นมีความน่าเชื่อถือ เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
จากสาวศิลป์สู่โลกธุรกิจ
“ดิฉันเริ่มสะสมประสบการณ์ในการทำงานจากการเป็นเซลล์มาก่อน ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่จบสายศิลป์ แต่ก็เลือกที่จะมาอยู่สายบริหาร แต่มันก็ทำให้เราได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ในแบบที่เด็กนิเทศฯ ไม่มีโอกาสได้พบเจอ ก็เลยรู้สึกสนุกกับการทำงานและได้เรียนรู้ว่าสำหรับโลกธุรกิจที่ต้องมีการแข่งขันสูง เราต้องเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ ทุกวันจะมีอะไรที่มาท้าทายความสามารถให้เราได้เรียนรู้และสนุกกับมัน
“เราอาจได้เปรียบตรงความสามารถทางการสร้างสรรค์ของสมองซีกซ้ายจากความเป็นเด็กนิเทศฯ จึงมีความเป็นครีเอทีฟอยู่ เราชอบที่จะขายของพร้อมๆ กับอยากที่จะใช้ไอเดียไปด้วย งานด้านมาร์เก็ตติ้งจึงน่าจะลงตัวมากที่สุด พร้อมๆ กับที่เนสท์เล่ก็ให้โอกาสเราได้เติบโตจากเซลล์ตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้ก้าวมาอยู่ ณ จุดนี้ได้ ซึ่งการใช้เวลาเกือบ 6 ปี กว่าจะมาเป็นแบรนด์เมเนเจอร์และอยู่ในตำแหน่งนี้มาแล้ว 4 ปี ก็ไม่ถือว่าเร็ว ด้วยความที่เราเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความพร้อม เรามีประสบการณ์การทำงานและพร้อมที่จะเรียนรู้งาน ด้วยศักยภาพที่เราพยายามแสดงออกว่าสามารถทำได้ให้เขาเห็น เราไม่ได้เด็กเกินไปหรือแก่เกินไป ที่นี่จึงเปิดโอกาสให้เราเติบโต ทั้งๆ ที่เป็นองค์กรใหญ่และมีคนที่หลากหลาย แต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่มีความสามารถกันทั้งนั้น ความแอคทีฟจึงเป็นเรื่องสำคัญ”
ทุกสองปีมีความหมาย
“ที่ดิฉันทำงานที่นี่ได้นาน ก็เพราะเราสนุกและแอคทีฟกับการโชว์ออฟ จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งทุกๆ สองปี คือจากเป็นเซลล์แล้วมาเป็น Sale Key Account, Trade Marketing และ Brand Manager ดิฉันเป็นคนที่ทำอะไรก็ได้ ไม่มีการตั้งเงื่อนไขในการทำงาน คิดว่าทุกวันของการทำงานคือการเรียนรู้ การลองย้ายงานก็เป็นสิ่งที่ดีที่เพาะบ่มให้เรามีความรู้เพิ่มมากขึ้นในงานที่แตกต่างกัน เมื่อเรามาอยู่จุดนี้ แล้วเวลาที่เราต้องทำงานกับฝ่ายต่างๆ เราก็จะเข้าใจมากขึ้น เพราะเราไม่ได้รู้แค่Consumer Insight แต่รู้ไปถึง Shopper Insight อีกด้วยว่าอะไรคือสิ่งที่เขาต้องการ”
ปรัชญาในการทำงาน
“สิ่งสำคัญในการเป็น Brand Manager อันดับแรกก็คือต้องรักในแบรนด์ รักในผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง ต้องรู้สึกรักเขาเหมือนคนในครอบครัว และต้องเข้าใจในแบรนด์ ถ้าจะจับเขาแต่งตัว ก็ต้องให้เหมาะกับคาแร็กเตอร์ของเขา ส่วนการจะบริหารคนนั้น เราต้องไม่มองในแง่ระดับเจ้านาย ลูกน้อง เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานของเราอยู่ดี เราทำงานด้วยกัน ทุกๆ คนจึงมีความสำคัญเท่ากัน คือต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทุกคนมีจุดแข็งของตัวเอง เราต้องใช้ประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมาเพื่อที่จะดึงเอาจุดแข็งของผู้ร่วมงานของเราแต่ละคนออกมา และเช่นกันทุกคนก็มีจุดอ่อน แต่เราต้องมองจุดอ่อนว่าไม่ใช่จุดเสีย เขาอาจไม่ถนัดในงานนั้นๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาทำงานนั้นๆ ไม่ได้ เขาอาจทำได้ไม่ดี แต่เราก็ต้องเชื่อในความสามารถของเขาและเลือกใช้คนให้เหมาะกับงานด้วย
“การทำงานทุกวันนี้ ดิฉันบอกกับตัวเองว่าต้องอย่าใจเร็วในทุกขั้นตอนการทำงาน เพราะบางสิ่งบางอย่างต้องใช้เวลาในการพิสูจน์เราต้องโชว์ออฟให้ทุกคนได้รู้ถึงความสามารถของเราอยู่เสมอ ต้องใจเย็นๆ และใช้เวลาในการสะสมประสบการณ์ แล้วเมื่อโอกาสมาถึงเราก็จะกลายเป็นคนหนึ่งที่ได้ใช้โอกาสนั้นได้อย่างมีค่ามากที่สุด สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งให้ตระหนักไว้เลยว่าคนทุกคนมีความเก่งอยู่ในตัว แต่คุณเก่งพอสำหรับการก้าวสู่บันไดขั้นใหม่แล้วหรือยังเท่านั้นเอง”
งาน & พักผ่อน
“ดิฉันเป็นคนไม่เครียด มีอารมณ์ศิลปินหน่อยๆ ค่ะเราจะไม่ไฟท์กับความกดดันเท่าไหร่ จะพยายามหาทางผ่อนคลายตามอารมณ์เราไปก่อน ถ้ายังไม่หายก็ทิ้งไว้ที่ทำงาน ไม่เก็บเอาไปบ้าน แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ที่สำคัญเราต้องทำความเข้าใจว่าปัญหาคือเรื่องปกติที่เราต้องเจอ และต้องไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาของเราคนเดียว นอกจากจะต้องมานั่งพิจารณาถึงสาเหตุของปัญหาแล้ว ในเมื่อเราไม่ได้ทำงานอยู่เพียงคนเดียว เรายังมีทีม ยังมีเพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้างาน ที่จะสามารถมาร่วมแชร์กับเราได้ และเมื่อเราผ่านปัญหาต่างๆ นั้นไป หมายความว่าเราเก่งขึ้นหนึ่งสเตป ให้มองว่ามันคือความท้าทาย ถ้าหากเราเก่งจริง เราต้องผ่านมันไปให้ได้ อย่ายอมแพ้กับมัน
“เสน่ห์ของงานตำแหน่งแบรนด์เมเนเจอร์ คือความที่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง และไม่มีแพทเทิร์นตายตัว ขึ้นอยู่กับการจัดการของเรา ซึ่งเราต้องควบคุมและทำมันให้ดีและชัดเจน ทุกวันของการทำงานมันคือความท้าทายที่จะมาเปิดโลกทัศน์เรา ในเมื่อเราเป็นพนักงานบริษัท เราจึงต้องดำเนินงานตามนโยบายที่เราถูกมอบหมายมาให้ดีที่สุด และแค่เดินไม่พอมันช้าไป คุณต้องวิ่งเท่านั้นถึงจะก้าวให้ทัน”