ดร.กฤติกา คงสมพงษ์

ดร.กฤติกา คงสมพงษ์

ทุกวันนี้ ดร.กฤติกา หรืออาจารย์อ้อยังคงเป็นอาจารย์และนักธุรกิจไปพร้อมๆ กัน หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่าผู้หญิงบุคลิกคล่องแคล่วคนนี้จะดุเหมือนในรายการหรือไม่ คำตอบคือหากใครได้สนทนากับเธอจะรู้เลยว่าเธอเป็นคุณแม่ที่น่ารัก อาจารย์ที่ใจดี และผู้หญิงที่มีบุคลิกสง่างาม เฉียบคมและเก่งในแบบฉบับ Woman on top เลยก็ว่าได้ครับ

 

“ปกติดิฉันก็ไม่ใช่คนดุนะคะ ด้วยภาพลักษณ์อาจทำให้คนจำไปนานเลย แต่บางครั้งบางหน้าที่เราก็จำเป็นต้องดุบ้างค่ะ ด้วยความที่นอกจากจะเป็นอาจารย์แล้ว ดิฉันก็มีธุรกิจกิจการที่ต้องดูแลอยู่บ้างเหมือนกัน มีร้านอาหาร มีบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งเราก็สามารถนำเคสหรือปัญหาต่างๆ ที่เจอไปสอนในคลาสได้

 

“แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นอาจารย์เลยทีเดียวนะคะ แต่หลังจากเรียนจบแล้วมันมีข้อมูลที่อยากเรียนรู้ ค้นคว้า ทำวิจัยเพิ่มเติม และหนทางเดียวที่จะทำให้ได้เผยแพร่ความรู้เหล่านั้นก็คือการเป็นอาจารย์ ซึ่งเป็นอาชีพที่เราจะได้มีโอกาสเปิดตัวเอง ได้ใช้ความรู้ที่เรามี สอนนักศึกษาและได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมด้วย”

 

ภาพกำจัดจุดอ่อน

“ตั้งแต่เป็นพิธีกรรายการ กำจัดจุดอ่อน ภาพลักษณ์นั้นยังคงติดมาจนถึงวันนี้ 8 ปีมาแล้ว ลูกๆ ยังโดนถามอยู่เลยว่าคุณแม่ดุไหมคนที่มาเจอกันแรกๆ ก็ยังเกรงๆ ดิฉันอยู่ ซึ่งก็โยงไปถึงทฤษฏีการสร้างความประทับใจ ตามหลักของจิตวิทยา หรือที่เรียกว่าFirst Impression Management นั่นเอง เพราะการสร้างความประทับใจให้แก่ตัวเองในภาพลักษณ์นั้นๆ มันก็จะสามารถที่จะอยู่ยงคงกระพันกับเราไปนานเลยค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึง ดร.กฤติกา คนก็จะนึกถึงพิธีกรรายการกำจัดจุดอ่อนเสมอๆ ไม่ว่าดิฉันจะไปที่ไหน ออกรายการอะไรกับลูกๆ หรือทำกิจกรรมเฮฮาแค่ไหน แต่ตราบใดที่ดิฉันยังเป็นอาจารย์อ้ออยู่ ก็ยังมีภาพลักษณ์นี่ติดไปอีกนานเลยค่ะ

 

“อันที่จริงก็ชอบนะคะภาพลักษณ์แบบนี้ มันไม่ได้เสียหายอะไรเลย เพราะมีความรู้สึกว่าอันดับแรกคนที่ไม่รู้จักเข้ามาพูดคุยกับเราแรกๆ เขาอาจเกร็งๆ กับเรา แต่พอคุยกันไปสักพัก แล้วเขาได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเราว่าไม่ได้ดุอย่างนั้น เขาก็จะผ่อนคลายมากขึ้น คือเราค่อนข้างที่จะเอนจอยในการดูพัฒนาการของคนที่เข้ามาคุยกับเรา ซึ่งคิดว่านั่นคือสิ่งที่ดี ทำให้เราได้เห็นว่าทัศนคติของคนก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้แต่เพียงต้องใช้ระยะเวลา และดิฉันเองก็ค่อนข้างจะรักษาระดับความเข้มข้นของตัวเองไว้อยู่ คือไม่ไปทำรายการอะไรต่างๆ มากมาย วางตัวอยู่ในแวดวงสังคมที่ดี ทำหน้าที่อาจารย์ให้ดีค่ะ”

 

เธอคือ Working woman ตัวจริง

“นอกจากทำหน้าที่แม่บ้านก็รับหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำที่ศศินทร์ ทั้งปริญญาโทและปริญญาเอก รวมทั้งงานเขียนหนังสือ ตอนนี้ก็กำลังจะออกตำรามาอีกเล่มหนึ่งสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชื่อ คู่มือการทำการตลาดในพหุวัฒนธรรม หรือ Multi Cultural Marketing นอกจากนี้ยังการทำธุรกิจเกี่ยวบริษัทที่ปรึกษาที่หุ้นกันกับอาจารย์หลายๆ ท่านหลายสถาบันเพื่อที่จะรับงานวิจัยหรืองานที่ปรึกษามาจากบริษัทต่างๆ แล้วเรานำมาทำวิจัยต่อไป รวมทั้งมีธุรกิจร้านอาหารที่หุ้นกับเพื่อนๆ ที่สยามพารากอน ชื่อ Kitchen Paradiso เป็นร้านอาหารแนวอิตาเลี่ยนเฟรนช์ ตอนนี้ก็กำลังเร่งเปิดอยู่ค่ะ คือเป็นคนที่ถ้าทำอะไรต้องมีแรงบันดาลใจในการทำ ซึ่งส่วนตัวเป็นคนชอบทางอาหารอยู่แล้ว ก็จะหาเวลาออกไปนัดทานอาหารกับเพื่อนๆ อาทิตย์ละครั้ง ก็ไปกันที่ร้านนี้ซึ่งจะเป็นที่เอราวัณพลาซ่า แล้วพอดีรู้จักกับเจ้าของร้านก็เลยได้คอนเนคชั่นทราบว่าเขากำลังจะเปิดที่พารากอน ดิฉันก็เลยขอร่วมลงทุนด้วยเลย อีกอย่างที่พารากอนก็เป็นห้างที่ไปบ่อยอยู่แล้ว ก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่นเลยแล้วกัน (หัวเราะ)อย่างน้อยๆ ก็ยังใช้เป็นสถานที่นัดพบเจอเพื่อนฝูงได้”

 

“ดิฉันเป็นคนทำงานอย่างชาญฉลาดมากกว่า เลยไม่เรียกว่าทำงานหนัก รวมทั้งดิฉันค่อนข้างเป็นคนที่ทำงานอย่างเป็นระบบ ก็เลยไม่เครียดกับงานมาก เราต้องใช้คนให้เป็น รู้แหล่งข้อมูล เราต้องสร้างคอนเน็คชั่นให้ได้มากที่สุดเช่นเมื่อเวลาที่ดิฉันจะทำอะไร เราต้องรู้ว่าเราจะต้องติดต่อใครที่จะสามารถประสานงานให้เราได้ เราจะได้ทำงานได้อย่างสะดวกมากขึ้น แล้วทุกคนก็จะชอบที่จะทำงานกับเรา เพราะเรามีความเป็นมืออาชีพ”

 

นอกเวลางานในวันพักผ่อน

“ส่วนใหญ่จะทำกิจกรรมกับครอบครัว ไปไหว้พระบ้าง ไปเที่ยวบ้าง ซึ่งบางทีลูกๆ ก็จะไปกับเพื่อนๆ ดิฉันด้วย หรือดิฉันก็ไปกับลูกๆ บ้าง คือถึงแม้ว่าจะมีความต่างของวัยแต่เราสามารถเชื่อมต่อกันได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะพยายามทำตัวให้เหมือนเพื่อนก็จริง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะคะ เพราะยังไงๆ เด็กๆ เขาก็รู้ว่าแม่ไม่ใช่เพื่อน และเพื่อนก็ไม่ใช่แม่ แม้ว่าผู้ปกครองหลายๆ คนจะบอกว่าใกล้ชิดกับลูกเพราะทำตัวเหมือนเพื่อน มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะที่ลูกจะมองเราเหมือนเพื่อน เด็กๆ เขาก็อยากมีเพื่อนในวัยของเขา ขณะเดียวกันในบางเรื่องบางครั้งเขาก็ต้องการเราในฐานะแม่ที่เข้าใจและให้คำปรึกษาได้เช่นกัน เราจึงต้องคอยเป็นคุณแม่ที่ดี เราอาจเป็นเพื่อนที่เฮฮากับเขาไม่ได้ แต่เราก็จะเป็นเพื่อนที่ใจดีของเขาให้ได้มากที่สุด

 

“ดิฉันชอบอ่านหนังสือนะคะ อ่านทุกอย่าง แต่ไม่อ่านนิยาย คือจะเน้นอ่านในสิ่งที่จะสามารถเพิ่มความรู้ให้เรามากขึ้นได้ ตอนนี้กำลังอ่านหนังสือเรื่อง ลับ ลวง พราง อยู่ และกำลังอ่านหนังสือ ประวัติศาสตร์โลก คืออยากเข้าใจในสิ่งต่างๆ บนโลกให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะความรู้ไม่มีวันหมดหรือจบสิ้น อย่างเช่นคนที่มีความรู้ เขาจะมองว่าตัวเองมีความรู้อยู่น้อยมากตลอดเวลา เขาจะกระหายที่จะหาความรู้อยู่เสมอ”

 

ปรัชญาในการทำงานและการดำเนินชีวิต

“ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วผลจะออกมาดีเอง ปรัชญาในการใช้ชีวิตของดิฉัน ดิฉันจะถือเรื่องการง้อเสียบ้างเพื่อความสุขของครอบครัว คือดิฉันเป็นคนที่ค่อนข้างจะแคร์ลูกและสามี แต่ด้วยความที่เป็นคนอารมณ์เสียง่ายเพราะฉะนั้นบางทีที่เราวีนใส่เขาไปแล้ว เราต้องอย่าอายที่จะง้อจะขอโทษเขา บางครั้งการที่เราเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ได้หมายความว่าเราจะขอโทษลูกไม่ได้ เราไม่อายที่จะบอกรักสามีต่อหน้าลูก และไม่อายที่จะบอกรักลูกต่อหน้าคนอื่น เพราะดิฉันคิดว่าความรู้สึกที่มีต่อครอบครัวเป็นสิ่งที่ควรนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ ของชีวิต คือถ้าเกิดว่าพื้นของชีวิตครอบครัวไม่ดี ก็จะมีส่วนทำให้สมาชิกของครอบต้องห่างกันออกไป”

 

ดูแลครอบครัวแต่ไม่ลืมดูแลตัวเอง

“ดิฉันคิดว่าแต่ละคนควรจะทำตัวให้สมวัยจะเหมาะกว่า เช่น การแต่งกายก็จะไม่พยายามแต่งตัวให้เป็นสาว เรายอมรับเรื่องริ้วรอยได้ เพราะเป็นเรื่องธรรมชาติที่ควรจะเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่จะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองอ้วนเป็นอันขาด เพราะนี่คือสิ่งที่เราจะควบคุมมันได้มากที่สุด อย่างการทานอาหารให้พอเหมาะพอควร แล้วก็ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แทนที่เราจะ Old แต่เราควร Age gracefully จะดีกว่า

 

“สำหรับการทำงาน ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรหรืออยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานแบบไหน เรารู้สึกดี ภาคภูมิใจกับตำแหน่งที่เราอยู่หรือจุดที่เรายืนก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องไขว่คว้าก้าวไปให้ไกลแล้วถึงจะหมายความว่าคุณประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพราะเหนือฟ้ายังมีฟ้า หากคิดจะแข่งขันเพื่อผลักดันตัวเองให้สูงขึ้นแล้วล่ะก็ ดิฉันว่าแข่งกับตัวเองดีที่สุดค่ะ”

เธอคืออาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด