ณภาพรณ์ โพธิรัตนังกูล

ณภาพรณ์ โพธิรัตนังกูล

หากมองจากภายนอกอาจจะให้คิดได้ว่าเธอคือไฮโซสาวสังคมทั่วๆ ไป แต่ทุกวันนี้เธอสลัดภาพจากอดีตคุณหนูที่รักความสบายหลงใหลในปาร์ตี้ ปรับกลยุทธ์ชีวิตลงมาคุมเกมธุรกิจตามรอย Working Woman คนสำคัญของตระกูลอย่าง ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริ ผู้ก่อตั้งโรงแรมเก่าแก่บนถนนวิทยุอย่างโรงแรมปาร์ค นายเลิศ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลายคนคงนึกในใจว่าชีวิตเธอช่างคล้ายกับไฮโซก้องโลกอย่าง ปารีส ฮิลตัน แต่เธอได้ฉีกภาพนั้นออกด้วยความเป็นผู้หญิงทำงานที่มีแนวคิดสมัยใหม่

 

“ยอมรับนะคะว่าตอนเด็กๆ จะติดรักความสบาย รักอิสระ อาจเพราะส่วนหนึ่งเล็กไปอังกฤษตั้งแต่ยังเด็ก เรียนที่นั่นมาตลอดจนโตพอจบก็หาเรื่องไม่อยากกลับ อยากสนุกต่อ คือตอนนั้นคิดว่ากลับมามันคงไม่อิสระ ไม่สนุกเหมือนเดิม เล็กมีความเป็นตัวของตัวเองสูง อีกอย่างที่ไม่อยากกลับเพราะกลัวอึดอัด ไม่แน่ใจตัวเองว่าจะทนได้รึเปล่า

 

“พอเรียนจบปริญญาตรีด้าน Hotel Management จาก University of Surrey ประเทศอังกฤษ ก็เริ่มหาเรื่องไม่อยากกลับบ้าน ก็เลยไปเรียนต่อที่นิวยอร์กด้านแฟชั่นดีไซน์ แล้วมีอยู่วันหนึ่งคุณแม่ก็โทรมาคุยส่งข่าวคราวของโรงแรม บอกว่าใกล้จะหมดสัญญากับทางฮิลตันแล้วนะ จะกลับมาช่วยหรือเปล่า เล็กก็กลับไปนั่งคิดนอนคิดคืนหนึ่งเต็มๆ แล้วก็โทรกลับมาหาคุณแม่ว่าตกลงจะกลับมาช่วย เล็กคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดี และทุกคนไม่ได้มีโอกาสตรงนี้ ไหนๆ เล็กก็เรียนมาทางด้านนี้อยู่แล้ว เป็นคนเดียวในตระกูล เราน่าจะทำได้ดีเพราะคลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก”

 

ทุกวันนี้ เธอสลัดภาพความเป็นคุณหนู แล้วกลายมาเป็นหนึ่งในทายาทผู้บริหารที่มีความกระตือรือร้น อย่างมืออาชีพพร้อมปรับภาพลักษณ์ให้โรงแรมดูหรูยิ่งขึ้นพร้อมเสริมด้วยความโดดเด่นที่ไม่ซ้ำใคร “จากที่เคยตื่นสายๆ เล็กก็เปลี่ยนมาตื่นเช้าเข้าทำงานด้วยความสุข เหมือนที่เขาบอกว่าได้ทำงานที่เรารัก ก็จะมีความสุขไปด้วย

 

“ตามตำแหน่งเล็กจะมีหน้าที่ดูภาพรวมของการการการจัดการของทีมจากต่างประเทศมากกว่า ซึ่งเล็กก็จะดูการวางกลยุทธ์ว่าจะเดินไปทิศทางไหนดีโดยมีการประชุมกันทั้งกับทางทีมผู้บริหารและประชุมกันเองกับครอบครัวด้วยว่าตอนนี้ทิศทางการบริหารโรงแรมเราอยู่ตรงไหน ควรจะปรับเปลี่ยนอะไรตรงไหน

 

“เล็กคงต้องยกให้คุณยายเป็น Role Model ทั้งในการทำงาน และการใช้ชีวิต ตรงนี้บอกได้เลยว่าท่านเป็นผู้หญิงเก่งที่อยู่ใกล้ตัวเราเห็นการทำงาน การวางตัว การใช้ชีวิตของท่านมาตั้งแต่แรก แม้ท่านจะสูงวัยแล้วแต่ก็ยังพร้อมรับสิ่งใหม่อยู่เสมอ ท่านไม่เคยล้าสมัยกับอะไรเลย ท่านเปิดกว้างมาก ทำงานหนัก คล่องแคล่ว สมกับเป็น Working Woman ตัวจริงเลยก็ว่าได้ค่ะ และสิ่งท้าทายมากที่สุดคือ Generation Gap ระหว่าง 87 กับ 25 ซึ่งระหว่างคุณยาย (ท่านผู้หญิงเลอศักดิ์) กับเล็กนี่ก็ห่างกันมากอยู่ (หัวเราะ)

 

“ดีที่ผู้ใหญ่ให้ความไว้วางใจเรามากขึ้น แรกๆ เขาก็ดูๆ อยู่อย่างใกล้ชิดเหมือนกันว่าเล็กจะทำได้รึเปล่า ผู้ใหญ่เขาก็คอยดูๆ แต่พอผ่านไป 3 เดือน 4 เดือน เขาก็คิดว่าเล็กเอาจริง คือเราไม่ได้กลับมาทำเล่นๆ แต่สามารถแสดงให้ผู้ใหญ่ได้เห็นว่าเล็กทำงานได้ เราโตแล้วพอที่จะคิดได้เองและรู้ว่าเรานั้นเป็นแนว Work Hard & Play Hard ตัวจริงค่ะ (หัวเราะ)”

 

ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจนทำให้หลายคนคงอยากทราบถึงลักษณะการทำงานแบบคนรุ่นใหม่ ในแบบฉบับของเธอ

 

“เล็กเป็นคนดื้อนะ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และรับวัฒนธรรมเมืองนอกมาเยอะ ช่วงแรกๆ ที่เข้ามาทำงานใหม่ ก็เลยมีที่พูดตรงๆ ไปบ้าง แม้ในที่ประชุม อะไรใช่หรือไม่ใช่ก็พูดไปเลยชัดเจน ไม่พอใจก็แสดงออก ซึ่งอันนั้นก็เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราได้เห็นว่ามันมีผลกระทบนะ ก็กลับมานั่งคิดว่าเราต้องมีการปรับตัว เพราะเราต้องบริหารคน ต้องทำงานร่วมกับคนที่นี่ เราก็ต้องเข้าใจธรรมชาติ แล้วเริ่มปรับที่ตัวเรา ก็เลยเบาลงเยอะแล้วค่ะ”

 

24 ชั่วโมงในแต่ละวันของทุกคนย่อมถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าที่สุด นั่นคือสิ่งที่คุณณภาพรณ์เรียนรู้หลังจากใช้ชีวิตทำงานระยะหนึ่งช่วงแรกๆ เธอบอกว่าอยากให้เวลาทำงานหมดไปเร็วๆ แต่ ณ เวลานี้ เวลาทำงานคือสิ่งที่เธอหวงแหนมากที่สุด

 

“แรกๆ บอกได้เลยว่ามาทำงานเกือบๆ เที่ยง เพราะเป็นคนตื่นสายมาก แต่พอเราได้ทำงาน มีความรับผิดชอบมากขึ้น ก็เลยไม่จำเป็นต้องให้ใครมานั่งบอกเราอีกต่อไป แล้วถ้าเรารู้สึกรักหรือมีความสุขกับงานที่เราทำ มันก็จะทำให้เราแอคทีฟ อยากอยู่ด้วยเดี๋ยวนี้ก็จะอยู่ที่โรงแรมเกือบทั้งวัน ถึงไม่มีอะไรก็จะอยู่ กลางวันก็ทานอาหารที่นี่ อยากออกกำลังกายก็เข้ายิมที่นี่ มันกลายเป็นอินไปกับทุกสิ่งที่เป็นปาร์ค นายเลิศค่ะ ส่วนวันว่างๆ ก็จะเป็นอะไรที่สบายๆ มาก ไม่ได้มีอะไรหวือหวา คนอาจจมองว่าต้องนั่นโน่นนี่ แต่เล็กก็แค่หาเวลาอยู่กับตัวเองที่บ้าน กับครอบครัว หรือไม่ก็ไปฟิตเนส เล่นเทนนิสนี่จะชอบมาก เล็กเป็นคนไม่กลัวแดดนะ ออกจะลุยๆ”

 

การวางตัวของเธอในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ถูกจับตามองมากที่สุดในสังคมระดับสูง คนส่วนใหญ่อาจมองว่าเธอแรง เธอมั่นแต่เธอก็มีสิ่งหนึ่งที่ยึดถือเป็นหลักเลยคือครอบครัว คุณแม่ และคุณยาย

 

“ท่านเป็นถึงท่านผู้หญิง สิ่งดีๆ ที่ท่านสอนมาก็นำมาใช้ได้เสมอ อะไรที่ท่านทำแล้วมีคนชื่นชม นั่นคือสิ่งที่เล็กต้องเรียนรู้ และทำให้มันเกิดขึ้นกับเล็กให้ได้ อย่างตอนแรกๆ ที่เล็กออกงาน ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้โรงแรมเป็นที่รู้จักได้มากขึ้นได้ขนาดนี้ เพราะไม่ได้เรียนด้านนี้มาโดยตรง แต่ถึงแม้เล็กจะไม่ได้เรียนมาโดยตรง แต่เล็กก็รักที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ การออกงานเพื่อโปรโมทโรงแรมก็ไม่ได้มีใครบอกหรือแนะนำ แต่เรารู้ได้ด้วยตัวเอง ก็เลยกลายเป็นว่าเล็กเป็นตัวแทนของปาร์ค นายเลิศโฉมใหม่
ที่ทันสมัย

 

“ส่วนในอนาคตทางด้านการงานกำลังจะมีอะไรปรับหรือขยายอีกนั้นเป็นเรื่องที่เราคิดกันมาโดยตลอด คือถ้าวันหนึ่งเราคิดที่จะขยายไปต่างประเทศก็คงเป็นใกล้เคียงมากกว่า คือเราอยากที่จะโตไปพร้อมๆ กับสถานที่ หรือเมืองนั้นๆ มากกว่าที่จะไปแข่งขันกันในเมืองใหญ่ๆ ที่เขามีของเขาอยู่แล้ว อย่างประเทศภูฏานก็เป็นอีกที่ที่เราคิดกันว่าถ้าจะต้องขยายจริงๆ ที่นี่น่าจะเหมาะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยด้วยค่ะ ต้องมีการวางแผนที่ดีก่อน

 

“กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ เล็กต้องคิดทบทวนอยู่ตลอดเวลาทั้งในเรื่องงาน เรื่องบทบาทหน้าที่ของตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ ลงมือทำผิดถูกไม่มีใครว่าหรอกค่ะ ขอแค่ลงมือทำเท่านั้นเอง แม้ว่างานโรงแรมจะเป็นอะไรที่ดูเป็น Luxury ด้านการบริการ ดูสวยหรู แต่ถ้าคุณไม่มีใจรัก แม้แต่จะปูเตียงคุณก็ไม่กล้าหรือไม่อยากที่จะทำ อย่างนั้นคงไมไหว เล็กเองยอมที่จะเริ่มทำในระดับล่างๆ มาก่อน ค่อยๆ เรียนรู้งาน ไม่ได้ถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นใคร ควรทำอะไรได้มากแค่ไหน แต่เราต้องคิดอยู่เสมอว่าเรายืนอยู่ตรงไหน และเรารักที่จะทำอะไรแล้วสู้กับมัน จากนั้นก็ทำให้เต็มที่ นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ”

 

Know Her!
• ด้วยบุคลิกและสถานะทางสังคม หลายคนเลยเปรียบว่าเธอคือ ปารีส ฮิลตัน ของเมืองไทย
• เธอคือผู้พลิกโฉมโรงแรมคลาสสิคอายุกว่า 27 ปีให้มีลุคที่โมเดิร์นขึ้น ด้วยฝีมืออินทีเรียดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกที่ติดต่อได้ยากมากๆ อย่าง คาลวิน เซา (Calvin Tsao)   
• ครั้งหนึ่งเธอยอมที่จะเปลี่ยนลุคมาใส่กระโปรงยาว แต่ก็ทำได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะเธอตระหนักดีว่าไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการยอมรับความเป็นตัวตนของตัวเอง
• ด้วยความเถรตรงของเธอ เธอเคยโต้เถียงอย่างดุเดือดในที่ประชุมกับผู้บริหารอาวุโสมาแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นบทเรียนที่ทำให้เธอได้รู้จักปรับตัวให้นอบน้อมลงจนเป็นที่นับถืออย่างทุกวันนี้

ทุกครั้งที่เปิดนิตยสารหน้างานสังคมหรูหรา