หทัยชนก สุวรรณทรรภ
ในแวดวงสังคม เธอคือลูกสาวคนเดียวของ พล.ต.ต.ทวีเกียรติ สุวรรณทรรภ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และ คุณจงกลณี (กฤษณะภักดี) สุวรรณทรรภ นักประพันธ์ชื่อดัง เพียงแค่เดินตามรอยที่ครอบครัวขีดไว้ให้ เธอก็จะเดินไปถึงปลายทางที่สมบูรณ์ได้ไม่ยาก แต่การจับปากกาขึ้นมาเพื่อลากเส้นทางของตัวเองขึ้นมาใหม่ กลับเป็นสิ่งที่เธอเลือกที่จะทำ
“สิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวตนของดิฉันได้ดีตั้งแต่เด็กๆ เลยก็คือ ชอบวาดภาพ ของขวัญที่ถูกใจ คือ กระดาษและกล่องสี ในขณะเดียวกันสิ่งที่เราเองมอบให้แก่คนรอบข้าง ก็ไม่ใช่ของขวัญมีมูลค่าอะไร ล้วนแล้วแต่เป็นข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าแบบต่างๆ ที่ดีไซน์ขึ้นมาเองให้เหมาะกับแต่ละคน จนทุกคนจะรู้ว่านึกถึงดิฉันต้องนึกถึงอะไร หลายๆ ครั้งผู้ใหญ่มักจะถามว่าโตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ดิฉันก็จะตอบอย่างมั่นใจว่า ‘ดีซายเน่อร์’ ทันทีค่ะ”
แม้จะมั่นใจตั้งแต่แรกว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็นมีแบรนด์เป็นของตนเองให้ได้ แต่เมื่อจบชั้นมัธยมปลาย แทนที่เธอจะเข้าศึกษาต่อ ณ สถาบันการออกแบบที่มีชื่อเสียงตามความตั้งใจเดิม เธอกลับมุ่งหน้าเข้าสู่รั้วธรรมศาสตร์ เพื่อฝากตัวเป็นรุ่นน้องของคุณพ่อในคณะรัฐศาสตร์ เมื่อเธอใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย สิ่งที่ได้แม้จะไม่ใช่เส้นทางฝัน แต่กลับมากคุณค่าด้วยความทรงจำและประสบการณ์ดีๆ เมื่อศึกษาจบ เธอจึงเปิดกล่องความฝันแล้วหยิบแผนที่ชีวิตที่เธอวาดเองออกมากาง แล้วเดินตามมันอีกสักที
“พอเรียนจบ ดิฉันก็ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีและปริญญาโทที่ สหรัฐอเมริกา ทางด้าน Fashion Merchandising, Academy of Arts College ตามความตั้งใจเดิมอีกครั้ง ที่นี่นอกจากให้ความรู้ที่เราตามหาแล้ว ยังให้ประสบการณ์ดีๆ อีกมากมาย
“พอเรียนจบ ก็เข้าทำงานด้านการขายให้กับแบรนด์ Forever21 และบริษัท Polo Ralph Laurent Club Monaco ซึ่งที่นั่น ทำให้ดิฉันได้รู้จักวิธีการทำงานที่เป็นระบบ ได้ทำหน้าที่ออเดอร์ของ ควบคุมเซลล์ ดูยอดขาย ตกแต่งร้าน
“เมื่อกลับมาเมืองไทยก็คิดว่าเราพร้อมแล้วที่จะมีแบรนด์ของตัวเอง ด้วยความตั้งใจจริง อยากทำต้องทำเลย จึงได้มาเปิดร้านของตัวเองแห่งแรกที่สยามสแควร์ เป็นแบรนด์เสื้อผ้าทั่วไป
แต่เมื่อปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองรุมเร้า รวมไปถึงการค้นพบความต้องการที่ชัดเจนแล้ว Shirley Gems แบรนด์จิวเวอรี่ที่แสดงออกถึงสไตล์ของคุณหทัยชนกจึงเกิดขึ้น เครื่องประดับทุกชิ้นในร้านแต่ละชิ้นจะมีเรื่องราวของการออกแบบและความฝันของเจ้าของแบรนด์เอง ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากการจินตนาการล้วนๆ หรือเวลาได้เดินทางไปพบสิ่งของแปลกๆ ใหม่ๆ แสงไฟสวยๆ ก็นำมาเป็นไอเดียในการออกแบบได้ทั้งนั้น
และแม้จะเป็นสายงานที่แตกต่างจากคนในครอบครัว แต่ทุกคนก็ให้กำลังใจและให้การสนับสนุนมาโดยตลอด
“ช่วงเหตุการณ์ร้านที่เซ็นทรัลเวิลด์ถูกเผา เสียใจมากนะคะ แต่นาทีถัดมาหลังจากดูข่าวในทีวีก็ลงมือวาดคอลเล็กชั่นใหม่เลย เตรียมแผนว่ากลับไปจะต้องทำอะไรบ้าง จะไปเปิดร้านใหม่ที่ไหนดี สิ่งที่ผ่านมาทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ว่าชีวิตไม่มีเวลาให้กับความเศร้ามากนัก เพราะวันพรุ่งนี้ไม่ใช่ของเราคนเดียว แต่เป็นของอีกหลายๆ คนในทีมงานเราด้วย เพราะฉะนั้นมันจะชะงักไม่ได้”
มองเผินๆ ใครก็คงคิดว่าคุณหนูที่มาจากพื้นฐานครอบครัวที่ดีคงจะมีจุดเริ่มต้นที่ไม่ยากเย็นอะไรนัก แต่การที่เธอยังคงลากเส้นต่อจุดบนเส้นทางของเธอเอง โดยอดทนเก็บกลั้นความเจ็บจากการสะดุดล้ม นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย เธอยังเชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริง จะทำให้เธอเดินทางต่อไปได้
“คนเป็นเจ้าของธุรกิจมักจะมีสไตล์การบริหารงานที่ต่างกัน ส่วนตัวดิฉันจะบริหารงานด้วยใจ คิดว่าอย่างน้อยๆ สิ่งที่เราให้มันคือใจของเรา รักเขาก่อน มันอาจมองไม่เห็นได้จริงๆ แต่มันสัมผัสกันได้ เราจึงได้ใจเขากลับมา
“การที่เรามีทีมที่ดี เราจะก้าวไปได้อย่างมั่นคง ดิฉันเชื่ออย่างนั้น ด้วยความที่ดิฉันเป็นคนที่มุ่งมั่น มันทำให้เวลาทำอะไรที่อยากทำ ก็จะลุยไปเลย เอาให้สุดๆ วันพรุ่งนี้เป็นอย่างไรก็ค่อยว่ากันค่ะ”
Know Her
>> แรงบันดาลใจของเธอเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แม้กระทั่งตอนนอน เธอบอกว่า “หลับตาแล้วภาพมันผุดขึ้นมาเอง ทำให้นอนไม่ได้ นอนไม่หลับ ต้องลุกขึ้นมาสเก็ตช์จนเสร็จ จนกว่าจะได้ภาพเหมือนที่เราเห็นในจินตนาการ”
>> ครั้งหนึ่งพระราชินีของประเทศมาเลเซียเสด็จเยี่ยมชมร้านของเธอ และได้ทรงเลือกซื้อสินค้าของเธอถึง 30 ชิ้น เมื่อพระองค์กลับไปประเทศ ยังได้ทรงเขียนจดหมายกล่าวถึงความประทับใจส่งกลับมา ถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของเธอ