พรสถิตย์ อิงอมรรัตน์
ครั้งแรกที่เราพบชายหนุ่มคนนี้ถ้าไม่บอกเขาคือศิลปิน ก็คงคิดว่าเขาเป็นนักธุรกิจ หรือไม่ก็เป็นนายแบบในวงการเสียมากกว่าน้อยครั้งนักที่เราจะพบเจอศิลปินในมาดแบบนี้ แต่เอาเถอะ นั่นเป็นเพียงรูปลักษณะภายนอกเท่านั้น เพราะความจริงแล้วผลงานของเขาต่างหากที่นำเขามาร่วมวงสนทนาในครั้งนี้
พรสถิตย์ อิงอมรรัตน์ คือศิลปินหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นในการทำงานศิลปะเป็นอย่างมาก แทบจะบอกได้ว่าทั้ง 24 ชั่วโมงของทุกวันเขาแทบไม่ได้หลีกหนีจากงานศิลปะเลย ที่ผ่านมาเขามีผลงานแสดงเดี่ยวไปแล้ว คือ Inner Journey และ Utopia ซึ่งออกมาในแนวนามธรรม โดยชุดที่จะตามมานี้มีทั้งเรียลลิสติก แอ็บสแตรค และกึ่งนามธรรม เขาบอกว่างานทุกชิ้นต้องออกมาจากแรงบันดาลใจ โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบเก่าๆ
“งานของผมที่เกี่ยวกับศาสนานั้น ผมเริ่มสนใจตั้งแต่เด็กๆ แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆ เหมือนเราต้องไปปฏิบัติธรรมด้วย ตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร ใจเราชอบอะไรก็มุ่งไปหาสิ่งนั้น พอโตมาก็เริ่มคิดหาคำตอบให้ชีวิต เราเริ่มสนใจพุทธศาสนา เราไม่ได้เอาศาสนามารวมอย่างเดียว เพียงแต่เอาสิ่งที่เป็นคอนเส็ปต์มา โดยการปอกเปลือกให้เหลือแต่แก่นของมัน
“ผมคิดว่างานศิลปะก็เหมือนคนนั่นแหละ ชีวิตของศิลปินเป็นยังไง งานศิลปะของศิลปินก็จะเป็นอย่างนั้น เหมือนมันสะท้อนตัวเราออกมา โดยเราอาจไม่ได้เจาะจงหรือตั้งใจ แต่มันเข้ามาเองแล้วก็ออกไป เพราะมันคือส่วนหนึ่งของเรา”
งานที่เขาอยากจะนำเสนอให้เป็นมาสเตอร์พีซนั้น ย่อมเกี่ยวกับตัวตนของเขาในช่วงเวลานั้นด้วย เป็นผลงานที่มีชื่อว่า “จิตประภัสสร” ซึ่งอยู่ในงานแสดงเดี่ยวครั้งแรก จุดเริ่มต้นของงานนี้มาจากการที่เขาได้ตามพระเข้าไปทำวัดในต่างจังหวัด พอได้สัมผัสกับความสงบทางจิตใจของศาสนาพุทธก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำภาพนี้ขึ้นมา
“ตอนนั้นผมไปช่วยงานที่วัด ซึมซับการปฏิบัติธรรมบ้าง แต่ก็ไม่ได้นั่งสมาธิเป็นกิจลักษณะ เวลานั้นผมเหมือนกับพวกเซนที่บอกว่าการทำงานก็เหมือนกับการสร้างสมาธิ เพราะมันเป็นการรวมกันระหว่างร่างกายกับจิตที่สามารถเปลี่ยนเป็นสมาธิได้ ไม่จำเป็นต้องไปนั่งหลับตา แต่พอมาถึงตอนนี้ผมก็นั่งสมาธิแล้วนะ”
“พระพุทธเจ้าเคยสอนว่า ตัวของจิตจริงๆ มันผ่องใสอยู่แล้ว แต่กิเลสมันจะเข้ามาเรื่อยๆ ผมมานั่งคิดว่าเราจะสื่อยังไง ก็มาดูว่าจะใช้สีอะไรดี เราก็ใช้สีที่มันดูสงบ สื่อเป็นวงกลม สื่อถึงจิตประภัสสร ความจริงมันก็คือจิตนั่นเอง ส่วนทางด้านเทคนิคการทำภาพนี้ขึ้นมานั้น ภาพที่เห็นก็ไม่ได้มาจากการใช้พู่กันวาด แต่มาจากการลงสี ใช้เกรียงเกลี่ยหมุน แล้วดีดสีให้กระจาย ซึ่งใช้เวลาไม่กี่นาที อาจจะไม่นานเหมือนการวาดภาพ แต่ได้อารมณ์และความรู้สึกแห่งจิตที่ผ่องใสอย่างแท้จริง
“มันเหมือนกับเราฝึกมาถึงขั้นนึง เราไม่เลือกอาวุธแล้ว มีอะไรก็ทำได้หมด ช่วงทำงานก็ปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ เลือกตามที่เห็นควรว่าเราจะใช้อันนั้นอันนี้ เช่นสีที่สลัดนี้ถ้าใช้พู่กันมานั่งเก็บสีมันจะไม่ได้อารมณ์ เราจะสลัดไปเลย เหมือนกับว่าเทคนิคมันอิสระมากกว่า
“ผมว่าชีวิตคนเรามันสั้น ก็เลยอยากจะทำในสิ่งที่อยากทำจริงๆ ผมเองสามารถไปทำอย่างอื่นก็ได้ แต่ในเมื่อเวลามันจำกัดทำไมเราไม่ไปทำในสิ่งที่เราต้องการดีกว่า”