เปรมิกา ธนโรจน์ประดิษฐ์
แค่ที่เกริ่นมาข้างต้นก็ทำให้ชีวิตเธอนั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยก่อนหน้าจะผันตัวเองมาเป็นนักธุรกิจเธอเคยเป็นวีเจ (พิธีกร) ทำงานเบื้องหน้าในวงการบันเทิงมาก่อน ก่อนที่จะเลือกมาสืบทอดธุรกิจเมื่ออายุ 21 ปี หลังเรียนจบปริญญาโท
“ตอนนี้ดูแลอยู่ 6 บริษัทค่ะ แต่บริษัทหลักจะเป็นบริษัท ที กรุ๊ปโฮลดิ้ง ซึ่งเป็นกิจการของที่บ้าน เหมือนกงสีนั่นแหละค่ะ ส่วนที่แนทดูทั้งหมดก็ทั้ง 6 บริษัททั้งที่มีหุ้นส่วนและทำเอง หลากหลายธุรกิจมาก ถ้าเป็นกิจการของคุณพ่อก็จะเป็นพวกสารเคมีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะดูแลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด และก็มีบริษัทนำเข้าของเล่นจำพวกงานอดิเรกของผู้ชาย อย่างพวกพลาสติกโมเดลต่างๆ ไม่ว่าจะรถถัง เครื่องบิน มี 12 แบรนด์ จัดจำหน่ายทั่วประเทศ
“นอกจากนี้ยังมีบริษัทอีเว้นท์ออแกไนซ์ ชื่อ บริษัท ปั้นหนึ่ง จำกัด มีบริษัทผลิตรายการทีวี พรีเซ็นเทชั่น ชื่อบริษัท สุขสนุก จำกัด มีบริษัทซื้อขายมีเดียทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ชื่อบริษัท ไจแกนติกซ์ จำกัด มีบริษัท เนเจอร์ซีเครท จำกัด ที่ทำผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และบริษัทนำเข้าผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เป็นขนตาแบรนด์ Wink Wink ชื่อบริษัท แนตตี้แอนด์เบนนี่ จำกัด ล่าสุดทำบริษัทอาร์สติสแมเนจเม้นท์ ชื่อว่าบริษัท บลอสซั่ม อินสไปรด์ จำกัด ซึ่งทำร่วมกับบริษัทโอสถสภาค่ะ ดูแลน้องๆ ที่ประกวดในโครงการ Utip freshy Idol
“อย่างที่บอกว่าบริษัททำในรูปแบบกงสี ดังนั้นแนทจะต้องดูแลเรื่องการเงินให้ทั้ง 6 บริษัทเลย ถ้าในส่วนของงานบริหาร อย่างในส่วนบริษัทของคุณพ่อที่เป็นเคมี ท่านก็ยังดูแลอยู่ แนทก็ช่วยบ้าง แต่อันอื่นแนทจะดูแลเป็นหลักทั้งหมดค่ะ ซึ่งก็มีผู้จัดการในแต่ละส่วนช่วยดูด้วย ตำแหน่งในนามบัตรแนทไม่ค่อยชอบใส่นะ ลงไว้แค่ Manager พอเพราะเวลาเจอลูกค้าแล้วเขาเห็นตำแหน่งเราใหญ่เขามักจะให้ตัดสินใจเองเลย เราเลยไม่ค่อยชอบใส่ บางทีก็ต้องปรึกษาครอบครัวด้วย เพราะเป็นกิจการของที่บ้าน บางเรื่องเราก็รับผิดชอบคนเดียวไม่ไหว (ยิ้ม)”
หลังเรียนจบปริญญาโทเธอก็เข้าสู่แวดวงธุรกิจอย่างเต็มตัว เริ่มต้นศึกษางานจากคุณพ่อ แต่ยังไม่ได้เข้าร่วมธุรกิจครอบครัวเต็มตัว หากแต่ต้องการประสบการณ์ด้วยตัวเองก่อน
“แนทไม่เคยทำงานบริษัทข้างนอกเลยนะ รู้ตัวว่าชอบทำธุรกิจตั้งแต่จบปริญญาตรี แล้วก็ไปฝึกงาน ทำให้เรารู้ว่าไม่ชอบเป็นลูกน้องคนอื่น มีความคิดว่าทำไมเจ้านายต้องถูกเสมอแต่ตอนนี้บางทีเราก็เป็นนะ (หัวเราะ) รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นว่าถ้าไปทำงานกับคนอื่นคงลำบาก และที่บ้านก็มีธุรกิจอยู่แล้ว ก็เลยทำเองดีกว่า แนทเรียนจบปริญญาตรีตอนอายุ 20 ปี และจบปริญญาโทตอนอายุ 21 เลยค่อนข้างจะเริ่มเร็วกว่าคนอื่น ตอนจบโทคุณพ่อก็ให้ที่ดินมาผืนนึง สอนวิธีการหมุนโอดีแบงค์ เริ่มทำธุรกิจจากตรงนั้นมีพนักงานแค่เราคนเดียว ตอนนั้นยังไม่ยุ่งกับบริษัทของคุณพ่อเลย แต่แนทหาเงินเองตั้งแต่อายุ 17 นะไปทำเป็นวีเจ พิธีกรรายการเพลง
“ความเครียดต่างกันเยอะมากตอนทำงานเบื้องหน้าเป็นวีเจ ความเครียดมันจบอยู่แค่ตรงนั้น ถ่ายทำเสร็จก็จบ ทำให้ดีที่สุดในตอนนั้นกลับบ้านก็ไม่มีอะไรให้คิดแล้ว แต่พอเป็นธุรกิจของตัวเองมันต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น ลูกน้องเรา บริษัทเรา ครอบครัวเรามันผูกติดกับเราไปตลอด เหมือนต้องทำงานตลอดเวลา การพักผ่อนก็ต้องจัดสรรแบ่งเวลาในการทำงาน จะว่าหนักก็หนักนะ เพราะเราดูเรื่องการเงินด้วย
“อย่างที่มาของบริษัทบลอสซั่มนั้น เริ่มจากเวทีประกวด Utip freshy Idol ก่อนค่ะต่อยอดมาจากตอนทำอีเว้นท์ พอประกวดเสร็จปุ๊บ น้องๆ ที่ผ่านเข้ารอบการประกวดมาก็ต้องอยากเติบโตในวงการบันเทิง เราก็เลยเกิดบริษัทนี้ขึ้นมาเพื่อต่อยอดและพัฒนาให้เขาได้เข้าไปทำงานในวงการบันเทิง
“น้องๆ ที่ผ่านการประกวดโครงการนี้แล้วไปเติบโตในวงการบันเทิงก็มีหลายคนนะ เช่น น้องเต้ย จรินทร์พร, น้องมิงค์ ดาวกระจาย, น้องมายด์ ณภศศิ, น้องเบสท์กับน้องบุ๊ค วงโอลีฟส์ เป็นต้น ไม่ได้เป็นโมเดลลิ่งนะคะ ไม่ได้หาเด็กมาเข้าสังกัด แต่เป็นการพัฒนาเด็กในโครงการค่ะ น้องๆ ที่ผ่านการประกวด Utip สวัสดิการดีมาก เรียนทุกอย่างฟรีโดยเราจะจ้างอาจารย์ที่เก่งๆ มาสอน ทั้งเรื่องแอคติ้ง ร้องเพลง เต้น โยคะ บุคลิกภาพ ฯลฯ มีพี่เลี้ยงคอยดูแลทั้ง PR และ AR เวลาน้องไปทำงานก็เป็นหน้าตาของลูกค้าด้วย”
การทำธุรกิจย่อมต้องพบเจออุปสรรคบ้างเป็นเรื่องธรรมดา มุมมอง กำลังใจ และการฟันฝ่าต่างหากที่ทำให้ธุรกิจก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง
“อุปสรรคมีทุกวันค่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นลูกน้องต้องโทรมาแล้ว คือเป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจเองไม่ได้ กับมีปัญหาอะไรสักอย่างที่ต้องบอกเรา ในเมื่อเราทำหลายอย่าง เราก็ต้องตั้งสติดีๆ ปัญหาไหนที่แก้ไม่ได้ก็ต้องทำใจค่ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็มีความรู้สึกเครียดจะเป็นจะตายนะ เหมือนโลกจะถล่ม แต่เดี๋ยวนี้ทำใจค่ะ โลกคงไม่ถล่มวันนี้หรอก ซึ่งกำลังใจจากครอบครัวนั้นสำคัญนะ ถ้าครอบครัวเราดีก็เหมือนมีแบ็คอัพ มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันได้ทุกเรื่อง เหมือนจะล้มก็มีคนพยุงค่ะ ปรึกษากันทั้งบ้านเลย มีพ่อ แม่ และพี่ชาย ด้วยธรรมชาติของที่บ้านจะชอบคุยเรื่องงานกันนะ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ กับพี่เขตต์ ฐานทัพ ก็คุยบ่อยนะ เขาก็เริ่มชินกับเรื่องธุรกิจของเราแล้ว บางทีก็เถียงกัน แต่จะเป็นเรื่องงานนะคะ (หัวเราะ) จริงๆ ต้องบอกว่าพี่เขตต์มีส่วนร่วมในธุรกิจทุกงานเลยนะ ก็จะปรึกษาเขาตลอด
“ทุกวันนี้แนทก็ยังไม่คิดว่าเราประสบความสำเร็จนะ แต่ถ้าเทียบกับสองปีที่แล้วก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แนทว่าฟังก์ชั่นของความสำเร็จคือการเอาใจใส่นะ ทุกคนสามารถทำธุรกิจได้ เพียงแต่ต้องใส่กับมันไปเยอะๆ ถ้าไม่รู้ก็เรียนรู้ซะ ต้องศึกษาหาข้อมูลตลอดเวลา”