ภาคิน พลอยภิชา

ภาคิน พลอยภิชา

เรากำลังอยู่ที่ The Oasis Spa สปาสุดหรูกลางเมือง ณ สุขุมวิท 31 ของคุณภาคิน พลอยภิชา และหุ้นส่วนสำคัญอย่างคุณโทบี้ เอแลน ที่ออกมาตอนรับพวกเราอย่างเป็นกันเอง คุณภาคินเล่าให้เราฟังถึงความเป็นมาของธุรกิจ Oasis Spa ว่า

 

“โลเคชั่นที่ได้ตอนแรกมันเป็นกลางสวนในเมืองเชียงใหม่ ไม่รู้จะชื่ออะไรดี พอดีไปถามเพื่อนๆ เขาก็ให้คำว่า Oasis Spa มาเราก็คิดว่ามันเป็นชื่อที่ใครๆ เขาก็มีกันได้ เราก็เลยเอาเชียงใหม่ใส่เข้าไป เป็น Oasis Spa ที่เชียงใหม่ก็ได้ แล้วเราก็ขยายไปเรื่อยๆ ตอนหลังก็เลยเขียนว่า Oasis Spa ไปเปิดที่ไหนก็ใส่จังหวัดข้างล่างไปก็แล้วกัน”

 

The Oasis Spa นั้นเปิดสาขาตามจังหวัดต่างๆ ด้วยกัน 5 สาขา คือ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ 2 สาขา ซึ่งแต่ละที่นั้นล้วนแล้วแต่ผ่านกระบวนการมาตฐานการทำสปาในแบบคุณภาพทั้งสิ้น

 

คุณภาคินจบปริญญาในสาขาฟิสิกส์ สาขาที่แตกต่างกับธุรกิจที่ทำอยู่โดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังบอกว่ามันนำมาปรับใช้กันได้

 

“การเรียนฟิสิกส์มันสอนให้เรามีกระบวนการคิดที่เป็นสัจธรรม เป็นความจริง สอนให้มีหลักการคิดเพื่อที่จะหาข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของความถูกต้อง จริงๆ ก็เอามาใช้กับการทำงานของเราได้เหมือนกัน”

 

พอเรียนจบเขาก็ได้เข้ามาทำงานกับบริษัทที่เกี่ยวกับการผลิตยาถึง 2 แห่ง ในตำแหน่ง Medical Representative ซึ่งรับผิดชอบกิจกรรมทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ยาเป็นหลัก ทำให้เขาได้สั่งสมประสบการณ์ทางด้านการตลาดนานกว่า 10 ปี

 

ช่วงนั้นเองที่เขาเริ่มชอบที่จะเข้าสปาอย่างสม่ำเสมอ พอได้เดินทางท่องเที่ยวไปยังต่างประเทศ ก็ได้มีโอกาสใช้บริการสปาในต่างแดน ทำให้เขาได้สัมผัสว่าสปาในต่างประเทศกับสปาของไทยไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก นั่นเป็นการจุดประกายให้เขาเห็นว่าเมืองไทยเองก็สามารถมีสปาที่ดีได้ไม่แพ้ต่างประเทศ หลังจากนั้นกลับมา 1 ปี เขาก็เริ่มทำธุรกิจสปา โดยได้ร่วมทุนกับคุณโทบี้ เอแลน เปิดสปาสาขาแรกที่เชียงใหม่

 

“เราเริ่มจากที่เราคิดว่ามันเป็นธุรกิจที่ดีได้ แค่นั้นเอง มันเป็นภูมิปัญญาของคนไทยในเรื่องของการนวด เรื่องของสมุนไพร เชื่อมั้ยครับว่าเดือนนึงเราวางไว้แค่รายได้ 8,000 บาท เราอยากได้แค่นี้จริงๆ เมื่อเฉลี่ยหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อวัน ตอนนั้นเราก็ต้องลาออกจากงานนะ เพราะเงินทั้งชีวิตที่เก็บมา เราเอามาลงกับตรงนี้หมด พอเปิดปุ๊บ เราก็ทุ่มเลยทั้งกายทั้งใจ เอาประสบการณ์จากที่ทำงานมา คุณโทนี่ก็เหมือนกัน เราก็เอาประสบการณ์ทั้งหมดมารวมกัน”

 

“พอถึงเวลาเปิดร้าน ลูกค้าต่างชาติก็เข้ามาอย่างที่เราตั้งใจไว้เลย เพราะเรามองว่าเชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นเมืองที่น่าจะเหมาะกับการทำธุรกิจสปา มันสงบเงียบ มีวัฒนธรรมที่ชัดเจน อย่างภูเก็ตก็มีจุดขายเป็นทะเล เราดูจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มาเชียงใหม่ก็คิดว่าน่าจะรองรับธุรกิจได้”

 

จากธุรกิจสปาสาขาแรกที่เปิดได้ไม่นาน เพียงแค่ปีเดียวเขาก็ขยายธุรกิจสปามาเป็นสาขาที่สอง เรียกได้ว่าเติบโตอย่างรวดเร็วโดยที่ตัวเองนั้นคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ

 

“เราทำงานด้านการบริการมาก่อน ก็เลยเห็นความสำคัญของการบริการเยอะมาก ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยืนไหว้ลูกค้าอยู่หน้าบ้านหรือพูดจาเพราะๆ กับลูกค้า แต่มันรวมถึงการให้บริการตั้งแต่ พนักงานตอนรับ มาถึงพนักงานขับรถ พนักงานนวด เรียกว่าทุกส่วนของการบริการ เราเน้นเรื่องการฝึกอบรมบุคลากร เอาเทคโนโลยีมาใช้ค่อนข้างเยอะมาก เราพัฒนาโปรแกรมในระบบคอมพิวเตอร์ให้เป็นสากล อย่างระบบการจองหรืออะไรในหลายๆ ส่วน

 

“ผมจะดูแลในส่วนงานสายบริการเทรนนิ่ง หรือ พีอาร์ ส่วนคุณโทบี้ก็จะดูในเรื่องของโอเปอเรชั่นทั้งหมด แต่เราสองคนก็ต้องรู้กันหมดรู้ทุกเรื่อง เราก็จะรับผิดชอบในส่วนปลีกย่อย ตอนนี้ผมประจำอยู่ที่เชียงใหม่ ออฟฟิศใหญ่ ซึ่งจะมีเทรนนิ่งเซ็นเตอร์ 
รับเทรนพนักงานทุกคนมาเรียนที่เชียงใหม่ 45 วัน แล้วก็จะส่งมาประจำแต่ละสาขา

 

“ตั้งแต่ที่เราเปิดสปา ไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวเลขที่เห็นจะเป็นตัวเลขจริงๆ มีผู้ชายที่เป็นผู้ชายแบบจริงๆ เข้ามาใช้บริการสปา 40% คือถ้าเราเอาความรู้สึกไปจับ เราจะจับไม่ได้หรอก ตั้งแต่ปีแรกเราเก็บข้อมูลตั้งแต่เพศ เชื้อชาติ เก็บหมด เราก็ตกใจเหมือนกัน แล้วที่มาเป็นคู่จะมาใช้บริการค่อนข้างมาก ทั้งผู้หญิงผู้ชายสามีภรรยาจะมาด้วยกัน แล้วอายุก็ประมาณ 29 จนถึงไม่เกิน 40 ตอนแรกเราคิดว่าศักยภาพของคนมาสปาน่าจะ 40 อัพ แต่ผิดคาด

 

“เราเคยเจอสภาวะเศรษฐกิจไม่ดีมาก่อน อย่างปีนี้ค่อนข้างแรงสุด แต่เราจะใช้วิกฤตตรงนี้ให้เป็นโอกาส บางคนอาจจะจมอยู่และเครียดไปกับมัน แต่เราต้องเข้าใจสถานการณ์ ต้องพัฒนาบุคลากร พัฒนาระบบองค์กรภายใน ปีนี้เราจะมีกิจกรรมส่งเสริมการขายทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนให้เยอะขึ้น

 

คุณภาคินมีหลักในการทำงานก็คือพยายามสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานทุกคน โดยจะอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ที่มีระบบการทำงานแบบสากล เป็นเหมือนการผสมผสานความอบอุ่นแบบไทยๆ มาไว้กับการทำงานอย่างมืออาชีพทำให้เขาสนุกกับการทำงานมาก

 

“ผมมีความสุขในการทำงานมากเลยนะ อย่าคิดว่ามันเหนื่อย สามารถทำงานได้อาทิตย์ละ 7 วัน แล้วก็ไม่เคยหยุด เวลาไปเยี่ยมสาขาต่างๆ เราจะเห็นมุมมองที่ต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ นะ มันก็มีกิจกรรมที่มีความสุข ตอนแรกเรายอมรับเลยว่าเราทำงานเพราะอยากได้เงินเยอะ พอเรามีกิจการ ปีแรกเราก็อยากมีรายได้เยอะ แต่หลังจากนั้นเราก็มีความผูกพันกับพนักงาน คราวนี้สิ่งที่ตัวเองทำงานหนักขึ้นมันไม่ใช่เพื่อตัวเราเองแล้ว ตอนนี้เราจะทำอะไรเราก็คิดถึงพนักงานมากขึ้น เพราะเรามีพนักงาน 170 คน ถ้าเราเป็นอะไรขึ้นมา เราจะรู้สึกผิด

 

“เมื่อก่อนที่อยู่บริษัท เรายอมรับเลยว่าต้องโชว์ออฟแบรนด์เนมดีๆ มันเป็นทัศนคติของเด็กสมัยก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้นเลยนะ คือเดี๋ยวนี้เดินช้อปปิ้งก็ไม่รู้จะซื้ออะไรแล้วนะ ไม่อยากได้อะไร อยากได้แค่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น มุมมองเปลี่ยนไปเยอะมาก”

 

นอกจากเรื่องของของสปาแล้ว เขายังมีอีกสองสิ่งที่อยากทำนั่นก็คือ ร้านธุรกิจร้านอาหารกับงานด้านไอที

 

“เราชอบงานด้านบริการ อย่างร้านอาหาร แต่ถ้าทำเพื่อเป็นรายได้คงไม่ใช่ แต่ถ้าเราจะสร้างคือสร้างสีสันให้เมืองเชียงใหม่เราก็คงจะพัฒนาเพื่อให้มีร้านอาหารดีๆ แต่เชียงใหม่ก็มีร้านอาหารดีๆ เยอะมากนะครับ แล้วอีกอย่างหนึ่งคือสิ่งที่อยากทำแล้วต้องทำด้วยคือการพัฒนาในส่วนของไอที เพราะเรามีระบบอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราปรับให้มันเข้ารูปแล้วก็ทำมาร์เก็ตติ้ง เราจ้างเพื่อมาทำของ Oasis Spa โดยเฉพาะ แต่เราก็อยากทำให้มันมีอีกหนึ่งแขนงเพื่อหารายได้ให้กับบริษัท แล้วก็จะตั้งในส่วนนี้ขึ้นมา เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ประสบความสำเร็จครับ”

แดดยามบ่ายสาดแสงลงกระทบสระน้ำเปล่งประกายระยิบระยับ