จิรัฐ บวรวัฒนะ
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการเปลี่ยนแปลงของ Rose Media ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนสามารถสร้างจุดเด่นให้กับบริษัทได้ และหนึ่งในกำลังสำคัญของ Rose Media ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอีกคนหนึ่งก็คือ คุณจิรัฐ บวรวัฒนะ รองประธานสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด ที่วางแผนคิดค้นกลยุทธ์ทางด้านธุรกิจและการตลาดมากมาย จนเรียกได้ว่ามีสิ่งดีที่แปลกใหม่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
“ผมไม่ใช่นักการตลาด ผมเป็นนักพัฒนาธุรกิจ ผมเคยไปคุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เขาบอกว่าผมเป็นพวกครีเอทีฟ แต่ไม่ใช่แบบที่วางของสวยๆ งามๆ เขาเรียกผมว่าเป็นบิสิเนสครีเอทีฟ”
คุณจิรัฐเรียนจบทางด้าน Entrepreneurship Management College of Management โดยตรงจากมหาวิทยาลัยมหิดลเริ่มทำงานในหลายบริษัท เมื่อสั่งสมประสบการณ์ได้พอสมควร จึงมาลงเอยที่ Rose Media กระทั่งปัจจุบัน
“Rose Media ถือว่ามีความเป็นครอบครัวสูง แต่สิ่งที่ต้องปรับตัวแรกๆ ก็คือการเป็นธุรกิจครอบครัว เราก็ต้องมามองว่าจะมาพัฒนาอย่างไร สิ่งหนึ่งที่ผมตั้งใจคืออยากจะพัฒนา Rose Media ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และหาจุดยืนที่ชัดเจน”
ก่อนหน้านั้น จุดแข็งของบริษัทก็คือเรื่องเพลงและคาราโอเกะ แต่จุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็คือ การได้ลิขสิทธิ์ฉายโดราเอมอนในโรงภาพยนตร์ เมื่อออกจากโรงหนัง วีซีดีก็ยังขายดีอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงมีการซื้อลิขสิทธิ์การ์ตูนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณ จิรัฐเองจึงเริ่มวางกลยุทธ์ พร้อมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะต้องเป็นที่ 1 ในตลาดการ์ตูนให้ได้
“วันนั้นเราตั้งเป้าหมายที่ดูจะเป็นความฝัน แต่เราอยากให้คนนึกถึงเหมือนกับที่เห็นแกรมมี่แล้วคิดถึงเพลง เห็นสยามสปอร์ตแล้วคิดถึงกีฬา เห็น Rose ก็ต้องนึกถึงการ์ตูน แล้วเราก็วางขั้นตอนต่อไปว่าการจะทำให้ตลาดการ์ตูนโต มันต้องพัฒนาตลาด ถ้าย้อนไปดูจะรู้ว่าปัญหาคือคอขวดในการขายการ์ตูน กับประเภทคนที่ชอบดูการ์ตูน ถ้านึกถึงการ์ตูน เราก็จะนึกถึงช่อง 9 เสาร์อาทิตย์การ์ตูนก็เลยมีอยู่แค่นี้ แต่เราไปดูที่ญี่ปุ่น เขาจะมีการ์ตูนอีกแบบหนึ่งในคนกลุ่มที่คนโตๆ ดู หรือย้อนไปที่เด็กเล็ก เขาก็จะมีการ์ตูนอีกแบบให้เด็กดู แต่ที่ผ่านมา บ้านเรามีแต่ดราก้อนบอล ขบวนแปลงร่างห้าสีต่างๆ เราก็เลยคิดว่าการ์ตูนคือเรื่องของเด็ก
“เราค่อยๆ ทำตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้วว่าเราจะเปิดช่องที่ไม่ได้อยู่ดีๆ นึกจะเปิดก็เปิดนะ มันต้องวางแผนให้ดี เราเริ่มมีการ์ตูน 1-6ขวบ เป็น Pre School 6-12 ขวบ เป็น Kid Boy Girl และ 12 ปีขึ้นไปเป็นวัยรุ่น จากที่สมัยก่อนปีหนึ่งเราซื้อการ์ตูนแค่ประมาณ 20 เรื่อง เดี๋ยวนี้ปีหนึ่งเราซื้อประมาณ 200 เรื่องซึ่งเยอะมาก เพราะเรามีช่องการ์ตูนที่ได้รับความนิยมในเคเบิลทีวีท้องถิ่น เรามีมาร์เก็ตแชร์สำหรับคนดูทั้งหมดมากกว่า 6 ล้านครัวเรือน
“จริงๆ เราเริ่มต้นทำรายการชื่อว่ารายการ แก๊งค์การ์ตูน ทางช่อง 5 ตอนเช้า อันนี้คือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จากรายการการ์ตูนในวันนั้นก็กลายเป็นช่องการ์ตูนในวันนี้ ที่ทันสมัยและวัยรุ่นหน่อย แต่เด็กก็ดู และเรายังทำหนังอยู่นะครับ คอนเสิร์ต ลิเก ตลก ทุกอย่างไม่ได้มาโฟกัสที่การ์ตูอย่างเดียว เพราะเป้าหมายของเราคือ แฟมิลี่เอนเตอร์เทนเมนท์ คือดูได้ทุกคนในครอบครัว แต่เราจะยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง”
ไอเดียของคุณจิรัฐนั้นมาจากความคิดที่ไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหน เขาก็ใช้สมองอันชาญฉลาดของเขาปรับปรุงให้ Rose Media มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอๆ
“เวลาผมไปนั่งรถไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น ผมจะเจอคนอยู่ 3 ประเภท หนึ่งคือประเภทที่อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ สองคือหลับ สามคือคนที่เล่นกับมือถือตั้งแต่ดูหนังเล่นเกม ฟังเพลง เพราะฉะนั้นมือถือเป็นชีวิตของเขาเลย แล้วประเภทนี้เป็นประเภทที่เยอะที่สุด ยังไม่พอเวลาเราไปประเทศอื่นๆ เขาจะมีการสัมนาต่างๆ คนเราจะมีอยู่ 3 จอ คือจอทีวี จอคอมพิวเตอร์ และจอมือถือ เราก็มาคิดดูว่าทำไมเราไม่เริ่ม แน่นอนวิดีโอมันจะค่อยๆ ตกลงไปเรื่อยๆ ถ้าเราไม่ขยับขยายอะไรก็กลัวว่าจะตายไป เราจึงได้ขยายธุรกิจใหม่ๆของโมบายมีเดีย”
สิ่งที่ยากในการทำงานสำหรับเขาก็คือการทำงานกับคนหลายประเภท ตั้งแต่พนักงาน ลูกค้า หรือแม้กระทั่งคู่แข่ง ที่มีปัญหาแตกต่างกันออกไป แต่เขาก็พยายามจัดสรรสิ่งต่างๆ ให้กับคนเหล่านี้อย่างลงตัวที่สุด
“การตอบสนองความต้องการของลูกค้าก็นับเป็นความยาก แต่การจะดูแลให้ทีมงานทำงานได้ดีและมีความสุขก็เป็นความยากที่ไม่แพ้กัน ถ้าเกิดเป็นทีมงานของเรา เราก็พยายามมองว่าเขาชอบอะไรก็พยายามจัดสรรให้เขามีความสุข เพราะแต่ละคนจะมีความสุขในแต่ละมุม ลูกค้าก็เหมือนกัน ความสุขของเขาอยู่ที่ราคา บางทีอยู่ที่แพ็คเก็จจิ้ง อย่างตอนหลังๆ เราก็จะออกแพ็กเก็จที่แหวกแนว น่าสนใจ
“วีซีดีแผ่นผีตอนนี้เดินไปไหนก็เจอ มันเป็นอุปสรรคนะ แต่สำหรับผม เราต้องตอบโจทย์ลูกค้าก่อนว่าเขาซื้อแผ่นผีเพราะอะไร มันเร็วกว่า ถูกกว่า ถ้าอย่างนั้นเราจะมาสู้เรื่องราคากับเขาได้ไหม มันอาจยากในช่วงแรก แต่เราลงราคาต่ำได้แต่ต้องรออีกสักปีหนึ่งถ้าช่วงแรกเราสู้เรื่องราคาไม่ได้ เราก็สู้เรื่องแพ็จเก็จจิ้ง หรือหนังที่ออกมาจากการซูม ดูไม่ได้เลย ผมก็ออก Mobile มา ซึ่งเร็วกว่าและชัดกว่า เรากำลังตอบโจทย์เรื่องคน ความยากมันอยู่ตรงที่ต้องตอบโจทย์คน”
เขาบอกว่าในหนึ่งอาทิตย์ เขาใช้ความคิดทั้ง 7 วัน ไม่มีแม้จะหยุดคิด ซึ่งถือว่าเหนื่อยไม่น้อยทีเดียว แต่แม้จะทำงานหนักเพียงใด เขาก็ไม่เคยลืมที่ให้เวลาสำหรับครอบครัวเสมอ
“เผอิญแฟนผมกับผมคุยเรื่องเดียวกันคือเรื่องงาน และเวลาว่างคุยเรื่องอะไรก็คุยเรื่องงาน เพราะงานมันคือความสนุกของชีวิตเรามีคนเคยถามว่าไม่เครียดเหรอ ผมว่ามันเป็นความสนุกมากกว่า วันเสาร์อาทิตย์ ชีวิตผมก็ไปอยู่กับลูก พาเขาไปเล่น พาไปทุกที่ที่เขาอยากไป อย่างช่วงหลังๆ ผมชอบไปจังหวัดจันทบุรี ผมว่าที่นั่นมีทะเลที่บริสุทธิ์ ไปหัวหินนี่เบื่อมาก พัทยานี่เซ็งเลย แต่ไปจันทบุรี อาหารอร่อยมาก ถูกแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นห้องพัก อาหาร แล้วนอกจากทะเลยังมีภูเขา มีน้ำตก ไปไหว้พระ ครบเลย ชีวิตตอนนี้คิดอยู่อย่างเดียวเลยคือเสาร์นี้จะพาลูกไปไหนดี (หัวเราะ)”